เรื่อง คู่มือเศรษฐีนีชาวนาฉบับสาวน้อยทะลุมิติ
ป่าเขาที่มีฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ตกดิน คล้ายข้ามพ้นผ่านขอบสีทองึ่ชั้น แสงพระอาทิตย์ยามอัสดงลอดผ่านประตูและหน้าต่างสาดส่องไปทั่ว้าหลังใหญ่ ทำให้ดูอบอุ่นเป็นพิเศษ
เจินจูลืมตาตื่นขึ้นมาพบเข้ากับสีเืงทองอร่ามทั่วทั้งห้อง เมื่อดึงสติับมาก็รู้สึกตกใจที่เธอหลับจนถึงยามโพล้เพล้เพียงี้
เสียงเด็กอ่อนวัยของผิงอันดังสะท้อนมาจากนอกห้อง เธอเงี่ยหูตั้งใจฟัง เป็นหัวข้อควรระวังในการเลี้ยงกระต่ายที่เขากำลังถ่ายทอดให้แก่ท่านแม่ เจินจูอดยิ้มไม่ได้ ความจำของผิงอันไม่เลวเลย หลายเรื่องที่เคยพูดกับเขาเพียงรอบเดียวแต่เด็กน้อยก็สามารถจำได้จนหมด เด็กที่ฉลาดเช่นี้ไม่ไปเข้าเรียนเขียนอ่านหนังสือช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเืเกิน
ในหมู่้าไม่มีการก่อตั้งโรงเรียนขึ้นเอง หากอยากไปเรียนหนังสือรู้ตัวอักษรก็ต้องไปที่หมู่้าต้าวันข้างๆ ครอบครัวหลิวซิ่วไฉตรงทางเข้าหมู่้าได้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นมาเอง แต่นักเรียนในโรงเรียนมีไม่มาก ค่าเล่าเรียนสูงและยิ่งกว่านั้นคนชนบทไม่ได้ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของการเรียนหนังสือมากเท่าไรนัก
ปีี้ผิงอันเพิ่งจะอายุครบเจ็ดปี เป็นอายุที่เหมาะแก่การเข้าเรียนรับการชี้แนะความรู้พอดี
เจินจูขบคิดในใจอยู่ครู่ึ่ ตอนี้เป็นางเดือนสิบตามปฏิทินจันทรคติจีน หากว่าแผนการเลี้ยงกระต่ายสำเร็จ รอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าน่าจะรวบรวมค่าซ่อมแซม้าจนพอ ตอนนั้นก็สามารถ่ผิงอันเข้าเรียนได้แล้วเช่นกัน
เจินจูตื่นนอนมาด้วยจิตใจเบิกบานสดชื่น พลิกตัวลงจากเตียงแล้วพับผ้าห่มเก็บเสร็จเรียบร้อยอย่างคล่องแคล่ว นี่เป็นความรู้สึกอย่างึ่ที่ไม่เคยมีมา่ เธอในอดีต ต้องใช้เวลามากกว่าสิบนาทีเพื่อดิ้นรนฝืนลุกตื่นเช้าให้ทันเข้างาน ทุกครั้งนึกถึงทีไร มักรู้สึกว่าร่างกายอ่อนเพลียเมื่อยล้าลืมตาไม่ขึ้น วันเสาร์-อาทิตย์ถ้านอนไม่ถึงสิบเอ็ดโมงหรือเที่ยงก็จะไม่ลุกเด็ดขาด เป็นแบบอย่างภาวะสุขภาพจิตในเมืองใหญ่ที่ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เธอในตอนี้จิตใจกระฉับกระเฉง ไม่รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงหรือลังเลว่าจะลุกหรือไม่ลุกดีเลยแม้แต่น้อย นี่น่าจะเป็นสรรพคุณของหญ้าจิตวิญญาณ เจินจูยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ “เป็นวันที่กระปรี้กระเปร่าวันึ่ ดีชะมัดเลย!”
เมื่อมีเสียงเท้าที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง ผิงอันผู้มีสายตาแหลมคมก็หันหน้ามาทางเธอ่จะโบกมือและตะโกนอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ มาทางี้เร็วเข้า ท่านเข้ามาดูนี่สิ!” หลี่ซื่อก็มองมาจากทางหางตาและอมยิ้มอยู่ด้านข้าง
เจินจูเข้าไปดูใ้ๆ กรงไม้สูงรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสอันึ่ ทำจากแผ่นไม้ชิ้นเล็กตอกเชื่อมเข้ากัน ระหว่างแผ่นไม้มีรอยแยกเป็นซี่ๆ ส่วนด้านในมีกระต่ายกำลังแทะผักป่าสะอาดอยู่ในมุมึ่ นางอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “กรงมาจากไหนกัน? คงไม่ใช่ของ้าเราหรอกใช่หรือไม่?”
“ฮิๆ ของ้าเอ้อร์หนิวน่ะ พอท่านอาเจิ้งทำที่พักไก่เืก็ไม่เอากรงไก่ี้แล้ว เอ้อร์หนิวับ้าไปบอกพวกเขาว่า้าเราจะเลี้ยงกระต่าย ท่านอาเจิ้งเลยให้พวกเรามา ให้พวกเราใช้ไป่” ผิงอันรู้สึกดีใจสุดจะบรรยาย ปกติเจ้าหนุ่มน้อยนี่ต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับเอ้อร์หนิวที่อยู่ในวัยใ้เคียงมากเป็นแน่
“อื้ม ไม่เลว ใช้เลี้ยงกระต่ายได้พอดี พื้นที่ก็กว้างขวางพอ ข้างล่างมีร่องพอเหมาะสะดวกสบายต่อการทำความสะอาดมูลกระต่ายด้วย รอให้ลูกกระต่ายคลอดออกมาแล้วก็ยังใช้ต่อได้อีก ผิงอัน เจ้าขอบคุณท่านอาเจิ้งหรือยัง?” เจินจูพยักหน้าไปพลางถามไปพลาง
ผิงอันพยักหน้าตอบรับโดยมิรอช้า “บอกแล้ว ข้ายังนัดหมายกับเอ้อร์หนิวแล้วด้วย รอให้้าเราเลี้ยงกระต่ายได้มากๆ ่ จะเรียกเขามากินเนื้อกระต่ายด้วยกัน ท่านพี่ ท่านว่าแบบี้ดีหรือไม่?” เขากระวนกระวายใจเล็กน้อย กระต่ายเพิ่งเริ่มเลี้ยงก็รับปากจะให้เนื้อคนอื่นไปแล้ว
“ย่อมดีเยี่ยมแน่นอน พวกเจ้าช่วยตัดหญ้าที่กระต่ายชอบกินแล้วเลี้ยงมันให้ดี อยากจะกินอย่างไรก็กินได้ รอให้กระต่าย้าเราเยอะจนเป็นฝูงแล้วก็ให้้าเขาเสียสักตัวตัว” เจินจูตอบด้วยรอยยิ้ม เธอยังหวังให้พวกเขาลงมือช่วยเืเป็นอย่างยิ่ง อาศัยเพียงเธอคนเดียวเลี้ยงกระต่ายุ่มใหญ่ทั้งหมด เพียงแค่คิดก็เหนื่อยจนอ่อนแรงแล้ว เธอตั้งใจว่าทุกวันจะหยดน้ำแร่สามหยดลงไปในอาหารให้หลี่ซื่อกับผิงอันทาน ค่อยๆ บำรุงสภาพร่างกายทั้งคน ผ่านไปช่วงึ่ผิงอันคงจะสามารถใช้ชีวิตกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเด็กปกติ ต้องเลี้ยงผู้มีความสามารถตัวน้อยให้ดีๆ เาะเรื่องเลี้ยงกระต่ายต้องพึ่งพาเขาแล้ว
“จริงหรือ นั่นย่อมดีเป็นอย่างยิ่ง ท่านพี่ ข้ากับเอ้อร์หนิวปรึกษากันแล้ว ทุกวันพวกเราจะขึ้นเขาไปตัดหญ้ามาเยอะๆ พอกระต่ายเป็นฝูงแล้วต้องแบ่งให้เอ้อร์หนิวด้วยเล่า” ผิงอันทำการรับรองด้วยการตบหน้าอกเล็กของตนเบาๆ พยายามเพื่อให้ได้กระต่ายตัวแทนเอ้อร์หนิว เขารู้สึกดีใจมากจริงๆ
เจินจูคิดแล้วก็พยักหน้าในใจ กริยาท่าทางที่คิดแทนประโยชน์ของเพื่อน นิสัยเจ้าหนุ่มน้อยนี่ไม่เลวเลย ไม่ได้มีนิสัยตระหนี่เห็นแก่ตัวเาะฐานะทาง้าลำบากยากแค้น เป็นคนที่สามารถอบรมสั่งสอนได้
หลี่ซื่อฟังบทสนทนาระหว่างทั้งคนอยู่ด้านข้างเงียบๆ มองเจินจูที่ผอมจนเห็นกระู แต่ใบหน้าเล็กๆ ับมีท่าทางมีชีวิตชีวา ในใจนางมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง แม้เมื่อ่เจินจูจะัใคร่น้องชาย แต่มักกระทำมากพูดน้อย ตัวหลี่ซื่อเองก็พูดไม่ได้ ในใจจึงแอบวิตกกังวลและแสดงออกมาได้ไม่ดีนัก จนกระทั่งบรรยากาศใน้าค่อนข้างน่าอึดอัดอยู่ทีเดียว ตอนี้พี่น้องหญิงชายคนอยู่ร่วมกัน ัใคร่มเียวกันอย่างสงบสุขราบรื่น หลี่ซื่อมองด้วยความปลื้มปิติ ในดวงตาอดเผยรอยยิ้มล้ำลึกออกมาไม่ได้
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไปทางทิศตะวันตกแล้ว หลี่ซื่อจึงหมุนกายเดินเข้าไปในครัวเร่งทำอาหารเย็น กำลังคิดว่าใน้ายังมีแป้งสาลีจำนวนึ่ นางลังเลเล็กน้อย ่จะเททั้งหมดลงไปในกะละมัง นวดแป้งเข้าด้วยกันอย่างตั้งอกตั้งใจ
ตอนเจินจูกำลังหนีบจมูกเดินออกจากห้องปลดทุกข์ ปากก็พึมพำว่าหากหาเงินได้แล้วเรื่องแรกคือต้องจัดการสุขานี่ให้ดี หลังใช้กระบวยตักน้ำล้างมือเสร็จแล้ว เธอก็วิ่งมาที่ห้องครัว ่จะพบเรื่องน่าแปลกใจเล็กน้อย เธอเห็นหลี่ซื่อกำลังนวดแป้ง จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ใน้าหลังี้กินอาหารประเภทเส้นน้อยมาก สาเหตุง่ายๆก็คือแป้งสาลีแพงมาก ราคาแป้งครึ่งกิโลกรัมสามารถซื้อธัญพืชได้ถึงึ่กิโลกรัม ครอบครัวหูใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสน แป้งสาลีจำนวนมากที่กำลังจับกันเป็นก้อนี้น่าจะเป็นแป้งนึ่งวอวอโถว [1] หรือไม่ก็หมั่นโถว หากทำเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียวคงทำออกมาได้น้อยมาก
“ท่านแม่ ท่านจะทำวอวอโถวหรือหมั่นโถวใช่หรือไม่เจ้าคะ” เธอถามด้วยความอยากรู้!
หลี่ซื่อยิ้มพลางทำท่าทางกางมือยืดความยาว “เส้นบะหมี่?”
เจินจูดีใจ ชาติ่เธอเป็นคนทางใต้ ไม่ชอบทานบะหมี่เท่าไรนัก แต่ธัญพืชกินมาเยอะแล้ว จึงรู้สึกว่าบะหมี่น่าทานขึ้นมา ในโลก่พวกเธอทานบะหมี่หลากหลายชนิดมาก เช่น หมี่เฟิ่น [2] จ้าเฟิ่น [3] จ้วนเฟิ่น [4] หยางยู่เฟิ่น [5] เป็นต้น แต่ละอย่างเป็นบะหมี่ที่มีความอร่อยโดดเด่นต่างกันไป นึกถึงตอนี้ที่ับไปกินไม่ได้แล้ว เธอก็รู้สึกอยากทุบหน้าอกตนเองเสียทีึ่
มองไปที่หลี่ซื่อที่นวดแป้งเสร็จด้วยความคล่องแคล่วว่องไว ่จะเอาผ้าคลุมวางไว้ด้านข้าง ต่อจากนั้นก็ทำความสะอาดหม้อใส่น้ำจุดไฟเรียบร้อยเสร็จภายในอึดใจเดียว เจินจูมองตามขั้นตอนต่างๆ อย่างะเี เธอคอยช่วยเติมฟืนบ่อยๆ ผ่านไปไม่นานหลี่ซื่อก็หยิบไม้นวดแป้งออกมาเริ่มนวดแป้ง นางนวดแป้งจนระดับความหนาพอเหมาะด้วยความรวดเร็ว ทันทีหลังจากนั้นก็นำแป้งมาหั่นเป็นท่อนซ้อนกันเป็นชั้นๆ เสียงเขียงดัง “ตึกๆ” ตามมาติดๆ เส้นบะหมี่หั่นไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เจินจูมองอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่งอยู่ด้านข้าง เธอไม่เคยนวดเส้นบะหมี่มา่เลยรู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างมาก
หลังจากรอจนน้ำในหม้อเริ่มเดือดปุดๆ หลี่ซื่อค่อยเอาเส้นใส่ลงไป นางหยิบตะเกียบมาคนครู่ึ่ หลังจากนั้นก็ออกจากแท่นหน้าเตาไป ไม่นานก็ถือหอมเล็กับมา ล้างหั่นะเีอย่างชำนาญ ล้วงไข่จากในตะกร้าออกมาฟองึ่พร้อมตอกใส่เข้าไป เริ่มคนเบาๆ หลี่ซื่อเห็นเจินจูจ้องมองอย่างตั้งใจ จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ หลังจากนั้นจึงหยิบกระปุกเือออกมาจากในตู้อย่างระมัดระวังใส่ลงไปเพียงเล็กน้อย เจินจูที่มองอยู่ด้านข้างพึมพำขึ้นมาในใจว่า “บะหมี่หม้อี้ใส่เือน้อยเกินไปแล้ว” เธอมองหลี่ซื่อที่หยิบกระปุกน้ำมันค่อนข้างเล็กออกมาอีกครั้ง ใช้ช้อนไม้ขูดก้นกระปุกเบาๆ เจินจูชะโงกหน้าไปดู พบว่าน้ำมันในกระปุกอยู่ตรงก้น เมื่อใส่น้ำมันครึ่งช้อนไปในหม้อ หลี่ซื่อก็วางฝาปิดับลงไปอย่างระมัดระวัง
เจินจูมองแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก จำได้ว่าเมื่อ่มักจะโวยวายตอนลดน้ำหนักอยู่บ่อยๆ บางครั้งทานผักต้มน้ำเปล่า ไม่ใส่น้ำมันสักหยด แค่คิดก็รู้แล้วว่ารสชาติของผักนั้นเป็นอย่างไร ตอนี้คนทั้งครอบครัวล้วนผอมราวกับผู้ประสบภัย น้ำมันจึงายเป็นอาหารที่เข้าถึงยาก
หลี่ซื่อดูว่าระดับความร้อนของไฟได้ที่แล้ว จึงหั่นผักดองใส่ลงไปจำนวนึ่อย่างฉับไว คนเล็กน้อยให้เข้ากัน่จะโรยต้นหอมซอยไว้ด้านบน ิ่นหอมลอยออกมาจากหม้อ เจินจูที่ได้ิ่นหอมจึงืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว เห็นว่าหลี่ซื่อตักเส้นบะหมี่ขึ้นมาแบ่งใส่เป็นถ้วยๆ เธอจึงใช้มือยกบะหมี่ับเข้าไปยังห้องโถง หลังจากวางลงด้วยความระวังก็แอบใส่น้ำแร่ลงไปในบะหมี่
สามคนทานอาหารมื้อเย็นเสร็จด้วยจิตใจที่ชื่นมื่น ผิงอันชมท่านแม่หลี่ซื่อของเขาทันทีว่า “ท่านแม่ ฝีมือทำอาหารของท่านนับวันยิ่งดีขึ้น บะหมี่วันี้ทำได้อร่อยมากๆ ข้าซดน้ำแกงเสียเี้ยงเลย” ่าวจบก็เลียปาก ท่าทางอาลัยอาวรณ์
หลี่ซื่อมองแล้วยิ้ม ที่จริงในใจนางก็มีความประหลาดใจเล็กน้อย กรรมวิธีเหมือนกันแท้ๆ ไม่ได้ใส่วัตถุดิบพิเศษอะไรเพิ่ม ับรู้สึกอร่อยกว่าเมื่อ่เล็กน้อยจริงๆ หรือเป็นเาะไม่ได้ทานบะหมี่มานานมากแล้ว? คิดได้ดังี้ความหดหู่ในใจก็ค่อยๆ รื้นขึ้น
หลังเก็บกวาดถ้วยและตะเกียบเสร็จอย่างรวดเร็วฉับไวแล้ว หลี่ซื่อก็ยกถ้วยยาเข้ามา เจินจูหน้ากระตุกเล็กน้อย ในใจลืมคิดไปว่ายังมีตอปัญหาตอี้อยู่ อยากแสร้งถ่วงเวลาออกไป แต่เห็นแววตาคาดหวังที่แสดงความห่วงใยัใคร่ของหลี่ซื่อแล้ว เธอจึงรับถ้วยมาดื่มลงไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความขมสามารถทนได้มากกว่าหวงเหลียน [6] ทั่วทั้งใบหน้าของเธอย่นเป็นคุณยายตัวน้อย
ค่ำคืนี้ หลังเจินจูล้างหน้าบ้วนปากก็ไม่ได้รีบเข้านอน เาะงีบหลับางวันและตื่นค่อนข้างเย็น ดังนั้นเลยอยู่บนเตียงดินที่ห้องใหญ่ หาเรื่องคุยกับผิงอันไปเรื่อยเปื่อย แถมยังอยู่ภายใต้ตะเกียงน้ำมันแสงสลัว หลี่ซื่อเข้ามาใ้หน้าตะเกียง มือสาละวนเย็บพื้นรองเท้า เสียงด้ายป่านผ่านทะลุพื้นรองเท้าดังสะท้อนในความมืด
เจินจูมองด้วยความทึ่ง รองเท้าใน้าตลอดทั้งปีสี่ฤดูล้วนอาศัยหลี่ซื่อทำด้วยมือขึ้นมาคนเดียว ทุกวันตอนเย็นมักจะใช้ตะเกียงน้ำมันส่องแสง ใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงในการทำ ขนาดทำเช่นี้แล้วยังไม่ทันความเร็วของการชำรุด รองเท้าทุกคนหลุดลุ่ยแล้วก็ต้องปะ ปะแล้วก็หลุดลุ่ยอีก สวมจนไม่สามารถปะได้ถึงจะเลิกสวม
เจินจูเด็กนักแรงกำลังไม่เพียงพอ และยังไม่เคยเรียนรู้ว่าพื้นรองเท้าเย็บอย่างไร เธอมองหลี่ซื่อใช้ที่เจาะ เจาะลงไปแรงๆ ่ แล้วใช้เข็มสอดทะลุ เย็บถักไปมาอย่างตั้งใจ
หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นมองเธอ ยิ้ม แล้วหาผ้าเก่าๆ ชิ้นึ่ออกมาจากตะกร้าปัก ่ให้เธอ เจินจูรับมาดู อดที่จะอึดอัดไม่ได้ บนผ้าวาดแบบรูปร่างดอกไม้เอาไว้ ปัวกๆ ไปแล้วีบ เป็นของเก่าที่เจินจูในอดีตใช้ฝึกฝีมือ ดูจากรอยเย็บที่บิดเบี้ยวแล้วเหมือนว่ายังไม่ชำนาญ ก็ดี ตนเองทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น พอจะยอมรับความสามารถของร่างเก่าได้
ถือเข็มกับด้ายเย็บปักเลียนแบบ งานด้านเย็บปักทำมือเหล่าี้สำหรับเจินจูแล้วไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร เมื่อ่ตอนที่ครอสติสเป็นที่นิยมเธอก็ไม่เคยลองทำมา่ สามารถจับเข็มเย็บเงื่อนได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ภายใต้แสงจากตะเกียงน้ำมัน ผ้าปักีบดอกไม้ที่เืเสร็จด้วยรอยเย็บยุ่งเหยิง เมื่อกางออกพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็พอมองอย่างถูๆ ไถๆ ออกว่าเป็นลายดอกไม้ เจินจูเบะปากอย่างจำใจ “ไอ๊หยา” เธอยืดเอวอย่างเกียจคร้าน ก้มหน้าปักเป็นชั่วโมง ปวดไปทั้งลำคอและแผ่นเอว หลี่ซื่อนั่งท่าเช่นี้มากกว่าชั่วโมงทุกวัน กระูคงแข็งหมดแล้วกระมัง
“ท่านแม่ พักเสียหน่อยเถิด อย่านั่งนานเช่นี้เลย จะปวดเอวเอาได้นะเจ้าคะ” เจินจูเอ่ยโน้มน้าว ผิงอันที่อยู่ด้านข้างเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้ว แต่หลี่ซื่อยังยุ่งกับงานของตนไม่หยุด
หลี่ซื่อเงยหน้ามองสีของท้องฟ้า แล้วจึงหันมาพยักหน้าให้เธอ มือผอมบางวางพื้นรองเท้าในมือลง ่จะลุงจากเตียง ยืนถือตะเกียงน้ำมันแสดงเจตนาว่าจะ่เจินจูับห้องไปนอน
“ท่านแม่ ไม่ต้อง่ข้าหรอก วันี้พระจันทร์สว่าง พอมองได้เห็นอยู่ ข้าจะับห้องเอง ท่านรีบนอนเถิด” ขณะพูดเธอก็วิ่งออกจากห้องโถงหายวับไปกับตา หลังจากปิดประตูลงเรียบร้อย ก็ไม่ได้รีบับห้อง แต่หันหลังับ เืบไปมอง เมื่อแน่ใจว่าหลี่ซื่อไม่ได้ตามออกมา จึงแอบย่องไปห้องครัวอย่างเบามือเบาเท้า
เชิงอรรถ
[1] วอวอโถว ลักษณะเป็นโคน ตรงก้นเป็นหลุม สีเืงนวลสวย เป็นอาหารประเภทแป้งอีกแบบึ่ของคนจีนทางเหนือ โดยทำจากแป้งข้าวโพดและถั่วเืง ซึ่งในอดีตจะเป็นอาหารหลักของคนจน รสชาติจะแห้งกระด้างกว่าก้อนหมั่นโถว
[2] หมี่เฟิ่น เป็นอาหารว่างที่มีลักษณะพิเศษชนิดึ่ของพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศจีน คนเจียวโหยวมักเรียกเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่ หมี่เฟิ่นใช้ข้าวจ้าวเป็นวัตถุดิบหลัก
[3] จ้าเฟิ่น เป็นเส้นที่เกิดจากการหมักและใส่ส่วนผสมจำพวกเนื้อสัตว์และอื่นๆ ผสมแล้วใช้เครื่องกดออกมาเป็นเส้นพ
[4] จ้วนเฟิ่น เป็นอาหารว่างลักษณะพิเศษในกวางตุ้งและยูนนาน วัตถุดิบหลักทำจากข้าวจ้าวคุณภาพสูง
[5] หยางยู่เฟิ่น หรืออีกชื่อว่าทู่โต้วเฟิ่น เป็นอาหารว่างพื้น้าที่มีชื่อเสียงชนิดึ่ มีต้นกำเนิดจากราชสำนักในราชวงศ์หมิง วัตถุดิบหลักคือแป้งมันสำปะหลัง
[6] หวงเหลียนหรืออึ่งโน้ย เป็นึ่ในสมุนไพรแห้ง ที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุดในทางการแพทย์แผนจีน
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา