คนไร้ศาสนา

ติดตาม
คนไร้ศาสนา
หนังสือ ธรรมะ
ใบไม้เปรียบเหมือนชีวิตสัตว์ ใบไม้กลายเป็นสีเหลืองเปรียบเหมือนคนชรา สายลมที่โหมพัดทำให้ใบไม้ร่วงหลุดจากกิ่ง เปรียบเหมือนกับความตาย รู้สึกว่าธรรมชาติได้ให้บทเรียนอันมีค่าแก่มนุษย์ไว้ในทุสิ่งทุกอย่าง "สัพเพ อนัตตา สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนว่างเปล่า" savanna
sawanna sawanna : เจ้าของเรื่อง
246

อ่าน

0

ตอน

2

คอมเมนต์

    "ใบไม้เปรียบเหมือนชีวิตของสัตว์

    ใบไม้กลายเป็นสีเหลืองเปรียบเหมือนความแก่ชรา

    สายลมที่โหมพัดทำให้ใบไม้ร่วงหลุดจากกิ่งเปรียบเหมือนกับความตาย

    ธรรมชาติได้ให้บทเรียนอันมีค่าแก่มนุษย์ไว้ในทุกสิ่งทุกอย่าง

   "สัพเพ อนัตตา สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนว่างปลเปล่า"

       

พระภิกษุหนุ่มนั่งอยู่ริมบ่อน้ำเพ่งพิจารณาธรรมชาติโดยรอบในอารามที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองและร่วงหล่นสู่พื้นตามฤดูกาลเมื่อถูกลมโชยพัดแม้จะเป็นลมเพียงเล็กน้อยก็หลุดปลิดหลุดปลิวลงพื้น บ่อน้ำที่เคยเต็มเปี่ยมให้ได้เห็นระลอกผิวน้ำวิ่งพริ้วตามแรงลมก็ลดลงห่างจากแคร่ที่นั่งห่างลงมากจนแทบมองไม่เห็นระลอกน้ำวิ่งเข้ากระทบฝั่ง

    อากาศเริ่มร้อนขึ้นกว่าทุกทุกวันที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงบ่ายพอพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้วอากาศจะเปลี่ยนมาเป็นเย็นสบาย ครั้นตกดึกอากาศก็จะค่อนไปทางหนาว จนต้องคลี่สังฆาฏิออกห่มทุกคืน ตอนเช้ามืดอากาศเย็นสบายที่สุดจนถึงเที่ยงวัน ถ้าเปรียบหน้าร้อนของไทยในจังหวัดอื่น ๆ แล้ว เชียงใหม่ถือเป็นจังหวัดที่น่าอยู่อีกจังหวัดหนึ่งในช่วงนี้เพราะมีช่วงร้อนไม่มากนัก แต่กระนั้นร่องรอยของฤดูก็ยังปรากฏอยู่ทั่วไป ขอบฟ้าทุกด้านกลายเป็นสีแดงสลัวจนบางวันมองแทบไม่เห็นภูเขาเพราะบรรยากาศอบอวลไปด้วยควันไฟป่า บางวันพระในเวลากลางคืนในเวลาที่พระภิกษุหนุ่มกำลังอยู่บนทางจงกรมยังสามารถมองเห็นเปลวไฟที่กำลังไหม้ป่าเป็นแนวยาวบนภูเขา เมื่อภูเขาและท้องฟ้าดำมืดเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้มองเหมือนว่าไฟกำลังไหม้ท้องฟ้า เพราะท่ามกลางความแห้งแล้งนี่เองต้นพิกุลในเขตวัดที่ออกดอกสีขาวต่างก็ร่วงพลูกลงสู่พื้นเป็นสายเพื่อลมโชยพัดมาต้องและยังช่วยกระตุ้นให้กลิ่นของดอกพิกุลหอมลอยตามลมอบอวลไปทั่วบริเวณวัด

    ในเวลาเดียวกันต้นทองกวาวก็ออกดอกสีส้มแสดแลสพรั่งเต็มต้น แว่วเสียงเพลงที่เพื่อนชาวอีสานชอบร้องให้ฟังบ่อย ๆสมัยยังไม่ได้บวช ก็สอดแทรกขึ้น "ดอกจานบานสพรั่งหน้าแล้ง ...." ดอกของมันช่างสดใสสดชื่นตามากตัดกับดอกกาลพฤกษ์ที่กำลังออกดอกสีขาวปนชมพูชูช่อไสว ทำให้บริเวณวัดคล้ายดินแดนอาทิตย์อุทัยที่เต็มไปด้วยดอกซากุระบาน ความงดงามของดอกไม้พันธุ์ไทยทำใหภิกษุหนุ่มแทบลืมอากาศที่กำลังอบอ้าวในตอนนั้นไปได้ แถมยังมีเสียงของฝูงจักจั่นที่กำลังส่งเสียงร้องคล้ายกำลังร้องเพลงเพราะมีเสียงสูงต่ำเหมือนเป็นการร้องเพลงกลุ่มใหญ่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นขับกล่อมธรรมชาติได้อย่างลงตัว

    ในฤดูร้อนเช่นนี้พระภิกษุหนุ่มได้สังเกตุเห็นว่าท่ามกลางธรรมชาติที่เป็นไปอย่างสอดคล้องกันนั้นทางฝ่ายของผู้คนกลับเข้ามาเดินเที่ยวในวัดมากเป็นพิเศษ เพื่อหลบร้อนบ้าง เพื่อชมความงามของธรรมชาติบ้าง เพื่อได้สนทนากับพระบ้างได้ทำบุญตักบาตรบ้างเป็นบางกลุ่ม บางพวกบางฝ่าย แต่คนส่วนใหญ่เมื่อมาเห็นพระท่านเดินจงกลุ่มก็มักจะหยุดยืนดูสักพักแล้วก็เดินจากไป น้อยคนนักที่จะเดินมาหาแล้วสนทนาด้วยอย่างกับชายหนุ่มสามคนที่เพิ่งมาจากกรุงเทพโดยสองคนนั้นอยู่ที่เชียงใหม่เป็นหลักช่วยพ่อแม่ค้าขายอยู่ที่นี่เคยมาที่วัดนี้อยู่บ้างกับครอบครัวเป็นครั้งคราว โดยครั้งนี้เขาได้พาเพื่อนหนุ่มแวะมาในช่วงเวลาปิดเทอม หลังจากที่พวกเขาสังเกตเห็นพระหนุ่มเดินจงกรมอยู่สักพักแล้วกลับมานั่งนิ่ง ๆ ที่แคร่ริมน้ำเขาดูกริยาบถของพระหนุ่ม ดูรูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณผ่องแผ้ว ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งมองเห็นดวงตาที่ที่นิ่งดุจเหยี่ยวหากแต่แววตากลับเยือกเย็นแฝงไปด้วยความเมตตาอบอุ่น บุคลิคโดยรวมดูสง่า สุขุม นุ่มลึก เกินอายุที่มองดูจากภายนอกที่เห็นด้วยตาเปล่าที่พวกเขาประเมินว่าอายุคงไม่ห่างจากพวกเขามากเท่าใดนัก

    หลังจากยินดูสักพักจึงขยับเข้ามาหาพลางก้มลงกราบ พระท่านบอกให้นั่งลงอีกมุมหนึ่งจากนั้นก็เปิดฉากการสนทนาอย่างคล่องแคล่วฉะฉานสมกับเป็นคนค้าขายและเป็นเด็กเมือง กล้าพูด กล้าถามหรือที่เรียกว่าเหมาะเป็นเด็กรุ่นใหม่ สมัยเทคโนโลยี!

    "หลวงพี่ ช่วยเทศน์ให้เพื่อนผมคนนี้ฟังด้วยเถอะครับ"

    เขาหันไปหาเพื่อนหนุ่มนักศึกษาก่อนจะหันมาจ้องพระหนุ่มตาแป๋วคล้ายกำลังครุ่นคิดในใจว่าพระภิกษุหนุ่มตรงหน้านี้จะเป็นพระมีคุณลักษณะแบบไหนบ้างหนอ...ในขณะที่พระภิกษุหนุ่มของยังคงอยู่ในท่าสงบนิ่งเช่นเดิม ชายหนุ่มจึงได้เอ่ยอธิบายต่อไปว่า

    "คือเพื่อนผมเขาเป็นนักศึกษาแพทย์ปี ๒ เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพช่วงปิดเทอมครับหลวงพี่"

    "ผมเคยมาที่นี่กับเตี่ยสองสามครั้งครับ..เห็นสวยสงบดีผมเลยชวนมาที่นี่"เพื่อนอีกคนแทรกขึ้น

    "คืองี้...เพื่อนผมว่าเขาเป็นคนไม่มีศาสนาผมกับเขาเถียงกันเรื่อย แต่ผมเถียงแพ้เขาทุกที จนปัญญาจะอธิบายครับหลวงพี่ ผมอยากให้หลวงพี่เทศน์หน่อยครับ"

    ชายหนุ่มพูดปนเสียงหัวเราะคล้ายเรื่องที่อธิบายนั้นให้มันเป็นเรื่องติดตลกฟังแล้วจะได้ไม่ดูแรงมากนัก ทำให้เพื่อนหนุ่มอีกคนพลอยหัวเราะไปด้วยอีกคน แต่สำหรับหนุ่มนักศึกษาแพทย์ที่กำลังถูกกล่าวถึงไม่ได้ยิ้มแย้มไปด้วยสีหน้ามีแต่ความจริงจังทำให้พระภิกษุหนุ่มกวาดสายตามองชายหนุ่มทั้งสามอย่างเข้าใจถึงนิสัยของคนทั้งสามตรงหน้าในเวลาอันน้อยนี้ได้ไม่ยากนัก ก่อนจะเอ่ยถามหนุ่มนักศึกษาแพทย์ออกไปเสียงนุม

    "เป็นความจริงอย่างที่เพื่อนโยมบอกหรือโยม"

    "จริงครับ"

    เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมั่นใจ หากแต่พระภิกษุหนุ่มไม่ได้แปลกใจอะไรเลยกับความรู้สึกนี้เพราะใครก็ตามที่มีต้นทุนทางทรัพย์ที่พ่อแม่ต้นตระกูลมีให้ อยากได้อะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากไปเที่ยวไหนก็ได้ไป ย่อมเป็เช่นนี้แล เพราะก่อนมาบวชนั้นท่านก็ไม่ได้ต่างไปจากหนุ่มคนนี้นัก

    "อาตมายังสงสัย" ท่านเอ่ยเสียงราบเรียบ 

"เมื่อโยมพูดว่าไม่นับถือศาสนาอะไร...อาตมายังไม่เคยเห็นใครไม่นับถือศาสนาอะไร?"

    "ก็ผมนี่แหละ คนไม่มีศาสนา"เขายืนยันหน้าตาขึงขัง

    "ถ้าหลวงพี่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ดูผมไว้เลยครับ ผมนี่แหละคนแรก"

    "ยังโยมยังไม่ใช่คนแรก เพราะอาตมายังเชื่อว่าโยมยังนับถือศาสนาอยู่"

    "ก็ผมบอกหลวงพี่อยู่นี่ไงว่าผมไม่นับถือศาสนาไหนเลย"แก้มของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย

    "บางทีชาตินี้ทั้งชาติอาตมาอาจไม่มีโชคพอที่จะได้พบับคนไม่มีศาสนาเลยก็ได้นะโยม"

    คำพูดของพระภิกษุหนุ่มรุ่นพี่ดูเหมือนจะยั่วยุโทสะหนุ่มนักศึกษาเข้าแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขายกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ๆ

    "หลวงพี่ก็ไม่ยอมเชื่อผม ผมก็ไม่รู้จะพิสูจน์ให้เห็นได้ยังไง"

    "เขาไม่มีศาสนาจริง ๆ นะครับหลวงพี่"

 เพื่อนคนที่สองที่เงียบอยู่นานรีบสนับสนุนขึ้น

    "เขาไม่เคยไปวัด ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ ไม่เคยทำบุญ ไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษอะไรเลยครับหลวงพี่" ขณะที่ภิกษะหนุ่มยิ้มน้อยๆตอบเสียงปกติกลับมา

    "เพียงแค่นั้นจะถือว่าไม่มีศาสนาไม่ได้หรอกโยม..."

    "แล้วแบบไหนละครับถึงจะเชื่อได้ว่าเป็นคนไมมีศาสนาได้"

    "ที่จริงคนที่นับถือศาสนาเป็นจำนวนมากก็มีนะที่ไม่สวดมนต์ไหว้พระ ไม่ไปวัด ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป เหมือนที่โยมว่าเมื่อครู่นี้ แต่เขาก็ยังมีศาสนาอยู่นะโยม"

    สามหนุ่มมีสีหน้าฉงนโดยเฉพาะนุกศึกษาแพทย์หนุ่มคนนั้นหัวคิ้วทั้งสองย่นเข้าหากัน

    "วัดวา พระสงฆ์ เป็นแต่เพียงสถาบันศาสนา ส่วนการทำบุญให้ท่านไหว้พระสวดมนก็เป็นแต่เพียงพิธีกรรม ทั้งสออย่างเป็นเพียงเปลือกนอกของศาสนาเท่านั้นโยม...แก่นแท้ของศษสนายังมีอีก"

    ชายหนุ่มทั้งสามปิดปากเียบมีสีหนาครุ่นคิดสักครู่ นักศึกษาแพทย์หนุ่มจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับพระภิกษุหนุ่มก่อนจะยิงคำถามออกไป

    "ถ้าอย่างนั้นท่านก็บอกมาสิครับว่า...แก่นแท้ของศาสนาคืออะไร?"

    คำถามนี้แล่นวาบเข้าถึงหัวใจพระหนุ่มเพราะคำ ๆ นี้มันเคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้วเช่นกันอดที่จะเห็นภาพเด็กหนุ่มคนนี้เป็นเงาสะท้อนของตัวเองออกมาอีกครั้งไม่ได้กับเวลา สิบปีที่ผ่านมาจึงเหมือนๆม่ใช่เรื่องยาวนานนัก...แต่ตอนนนี้ท่านรู้คำตอบแล้ว เด็หนุ่มทั้งสามต่างหากที่ยังต้องการคำตอบท่านจึงต้องทำหน้าที่นี้ต่อไป

    "แก่นแท้ของศาสนามีอยู่ บางคนอาจไม่นับถือสถาบันศาสนา บางคนอาจไม่นับถือพิธีกรรม แต่ทุกคนต้องนับถือแก่นแท้ของศาสนา ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม"

    "เอ...แต่ผมไม่ทราบว่า พวกคอมมูนิสต์ไม่มีศาสนาไม่ใช่หรือครับ"

    "ตรงกันข้าม คอมมูนิสต์นั่นแหละคือคนที่เคร่งศาสนาที่สุด"

    "สาสนาอะไรครับ?"

    ทั้งสามคนถามขึ้นเกือบเป็นเสียงเดียวกัน

    "ก็ศาสนาคอมมูนิสต์นะซี"

    คำตอบของพระหนุ่มทำให้ทั้งสามหัวเราะขึ้นพร้อมกันแต่ท่านไม่ยอมปล่อยระยะเวลให้ยืดออกไปอีกรีบกล่าวถามสวนเสียงหัวเราะนั้นกลับไป

    "เพื่อจะให้โยมเข้าใจแก่นศาสนาง่ายขึ้น อาตมาขอถามหน่อยเถอะว่า ในชีวิตยี่สิบกว่าปีของโยมนี้ เคยประสบทุกข์หนัก ๆ บ้างหรือเปล่า"

    "หลายครั้งครับ" เขาตอบหน้าตาตื่น ๆ

    "ทำไมละครับ"

    "แล้วโยมเอาตัวรอดพ้นจากทุกข์เหล่านั้นมาได้ยังไง"

    "ก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งละครับ ถ้าเป็นเรื่องเงินทอง พ่อผมก็ช่วยแก้ปัญหา ถ้าเป็นเรื่อการงานเพื่อฝูงก็ช่วยเหลือบ้าง ถ้าเป็นความเจ็บป่วยหมอก็ช่วยบรรเทาทุกข์"

    "แสดงว่า...โยมยังไม่เคยประสบทุข์จริง ๆ เจอแต่ทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คนอื่นช่วยแก้ให้ได้อย่างง่ายดาย " พระท่านพูดยังไม่ทันขาดคำ เพื่อนของนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งก็หัวเราะขึ้นคิกคักและกระซิบที่หูเขาเบา ๆ ทำให้เขหน้าแดงขึ้นมาและยิ้งแห้ง ๆ ร้อง "อ้อ" ขึ้นแล้วสารภาพแบบตรงไปตรงมาว่า

    "เคยครับทุกข์หนัก ๆ ที่ไม่มีใครช่วยได้ก็เคย มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับหัวใจนิดหน่อย แต่ผมก็ภูมิใจที่ผมเอาตัวรอดมาได้"

    "ดีมาก" พระภิกษุหน่อมเสริม

    "แล้วโยมเคยประสบทุกข์หนักหรือเปล่า...อาตมาหมายถึงทุกข์ชนิดนี้ แล้วโยมแก้ทุกข์หนักคราวนั้นโดยวิธีไหน? ลองเล่าให้อาตมาฟังด้วยได้ไหม เอาเฉพาะวิธีแก้ของโยมนะ"

    "ก็...ไม่มีอะไรครับ" 

นักศึกษาหนุ่มเอ่ยอย่างกระหยิ่มใจเล็กน้อยขณะที่เพื่อนมองด้วยใบหน้ายิ้มๆ

    "เมื่อพ่อแม่,เพื่อนฝูง,เงินทอง,ความรู้,ช่วยอะไรผมไม่ได้ ผมก็ใช้วิธีอดทน ก้มหนาสู้กับมัน...วันคืนผ่านไปก็รู้สึกว่าความระทมทุกข์มันลดลงของมันเอง ในที่สุดก็รู้สึกสบายเบาขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งบัดนี้ผมอาจจะหัวเราะเยาะกับเหตุการณ์ครั้นั้นได้อย่างสบายครับหลวงพี่"

    "จริงหรือเปล่า" เพื่อนอีกคนแซว

    "จริง!"เขายืนยังน้ำเสียงเข้มแข็งสีหน้าจริงจัง

    "เอาล่ะ...อาตมาเชื่อโยม"พระภิกษุหนุ่มตัดบทขึ้น

    "หมายความว่า โฐมใช้วิธีอดทนในการแก้ทุกข์ซึ่งก็ได้ผลดีมาก ถ้าโยมต้องประสบทุกข์หนัก ๆ อีก โยมก็คงใช้วิธีนี้อีก ถ้ามีเพื่อนฝูงประสบทุกข์หนักมาขอคำแนะนำโยมคงแนะนำเขาให้อดทน ใช่ไหม?"

    "ใช่ครับ "เขารับคำอย่าภาคภูมิใจ

    "ผมแนะนำมาหลายรายแล้ว และทุกรายที่เชืผมก็สบายทุกคน "เขายิ้มน้อย ๆ

    "มีคนหนึ่งไม่ยอมเชื่อ ในที่สุดมันก็ยิงตัวตาย ผมว่ามันบ้าชัด ๆ "

    "เห็นไหมล่ะ..."

    พระภิกษุหนุ่มกล่าแทรกอย่างได้ที

    "อาตมาพูดไว้แต่ต้นแล้วว่า โยมเป็นคนมีศาสนาก็จริงอย่างอาตมาว่า ไม่เพียงแต่มีไว้เฉย ๆ แต่ยังประกาศเผยแผ่เสียด้วย"

    "ท่านหมายความว่ายังไง"หนุ่มพ่อค้าคนที่เป็นเพื่อนคนแรกถามด้วยความสงสัย

    "ศาสนาทุกศาสนาเกิดขึ้นมาเพราะชีวิตมันเต็มไปด้วยทุก ถ้าไม่มีทุกข์ศษสนาจะไม่เกิดขึ้นเลย ศาสนาทุกศาสนา ถ้าว่าโดยเนื้อแท้แล้วไม่ใช่อะไรอื่น คือวิธีแก้ทุกข์นั่นเอง ทุกข์หนัก ๆ ชนิดที่ไม่มีวิธีแก้ได้ เื่อโยมประสบทุกข์โยมมีวิธีแก้ทุกข์อย่างได้ผล....นั่นแหละคือศาสนา..ละโยม"

    ชายหนุ่มทั้งสมไม่ได้กล่าวโต้แย้งหรือปฏฺเสธแต่อย่างใดเพียงแต่ผงกศีรษะรับขึ้นลงช้า ๆ แสดงว่าเห็นด้วยกับคำอธิบายของพระภิกษุหนุ่ม จึงเป็นโอกาศอันดีที่พระหนุ่มได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า

    "ทุกคนย่อมมีความทุกข์ ต่อให้เป็นมหาเศรษฐ๊มีเินเป็นหมื่น ๆ ล้านก็ไม่พ้นทุกข์ และทุกคนย่อมมีวิธีแก้ทุกข์แบบใดแบบหนึ่ง อาจจะเป็นแบบส่วนตัวของเขา ของใครของมัน หรือแบบส่วนรวมที่เขานิยมนับถือก็ได้ วิธีการแก้ทุกข์เขานิยมเลื่อมใสและใช้อยู่เป็นประจำนั่นแหละ คือศาสนาของเข ฉะนั้นอาตมาจึงกล้ายืนยันตั้งแต่แรกว่า ทุกคนตองมีศาสนา"

    "ท่านละครับ ม่วิธีแก้ทุกข์ส่วนตัวบ้าหรือเปล่า"

    หนุ่มพ่อค้าคนที่สองถาม

    "อาตมาไม่มีวิธีแก้ทุกข์ส่วนตัว อาตมาเลื่อมใสในพุทธวิธีแก้ทุกข์ จึงยอมรับเอามาใช้ เท่าที่พิจารณาดูอาตมาเห็นแน่ชัดแล้ว่า ไม่มีศาสดาองค์ใดได้วิจัยเรื่องทุกข์และรู้จักทุกข์ได้ดีไปกว่าพระพุทธเจ้าวิธี จนอาตมาต้องตามรอยพระองค์สละชีวิตทางฆารวาส และตอนนี้อาตมาก็ได้เวลาที่อาตมาจะต้องปฏิบัติกิจวัตรแก้ทุกข์แล้ว...."

    พูดพลางพระภิกษุหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นยืน

    "โอกาสหน้าถ้ามาเวลแวะมาสนทนากันอีกนะคุณโยม อาตมาจะอธิบายวิธีแก้ทุกข์ให้ฟัง"

    หนุ่มทั้งสามก้มกราบภกษุหนุ่มอย่างนอบน้อมเป็นพิเศษกว่าตอนที่มาถึงและับปากอย่างกระตือรือร้นว่าจะแวะมาสนทนาอีก ก่อนจะลาจากไป ปล่อยให้ภิกษุหนุ่มเข้าทางจงกรมเพื่อถอนรากทุกข์คือกิเลสต่อไป.!










สารบัญ

CONTENT

รายการรีวิว

REVIEW

ปักหมุด