My wife is a detective
MY WIFE IS A DETECTIVE
ภรรยาผม เป็นยอดนักสืบ
ตอน ฆาตกรรมในงานแต่ง
การแต่งงาน? บางคนบอกว่ามันเป็นตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของลูกผู้ชายทุกคนบางคนก็บอกว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงชีวิตที่มีแต่ความมืดมนอนธการบางคนก็บอกว่ามันเป็นโซ่พันธนาการที่มัดเราไว้อย่างแน่นหนาที่สุดจนยากที่จะดิ้นไปไหนได้แต่สำหรับผมแล้วมันกลับตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง จะมีสักกี่คนที่มองว่าการแต่งงานเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดในชีวิตของเราหากจะนับดูแล้วก็คงเป็นผู้หญิงทุกคนกับผู้ชายอีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นผมเอง ก็จะไม่ให้เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดได้อย่างไรละในเมื่อเจ้าสาวของผมในวันนี้เธอสวยซะยิ่งกว่านางฟ้าซะอีกเธออยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ แต่งหน้าพอประมาณซึ่งก็ดีแล้วเพราะถ้าเธอแต่งหน้าจัดกว่านี้ละก็ผมก็คงจะมองไม่เห็นความสวยที่เป็นธรรมชาติของเธอกันพอดีผมยาวสีดำของเธอถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยไว้บนศีรษะ ชุดเจ้าสาวสีขาวของเธอประดับไว้ด้วยลูกไม้เต็มไปหมดกระโปรงที่บานออกรอบทิศทางยาวจรดพื้นจนต้องให้เพื่อนเจ้าสาวเป็นคนคอยจับปลายไว้เวลาเธอเดินแต่นั่นก็ไม่สามารถปิดบังรูปร่างที่สูงโปร่งอย่างนางแบบของเธอได้ จะว่าไปแล้วผมว่าเธอสวยกว่านางแบบในนิตยสารชุดแต่งงานทั้งหลายเสียอีก
ผมกับเธอพบกันเมื่อสามปีก่อนในตอนนั้นบริษัทที่เธอทำงานอยู่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น...อ้อ!เดี๋ยวก่อนนะนี่ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยใช่ไหม...อะไรนะ?รวมถึงเจ้าสาวของผมด้วยงั้นเหรอ...เอาละ ถ้ายังงั้นผมขอแนะนำตัวเองหน่อยก็แล้วกัน ผมมีชื่อว่าร.ต.ท.ปิยะพงษ์ นามวงศ์อายุ 28 ปีมีชื่อเล่นว่าเซิญซึ่งเป็นชื่อที่ออกจะแปลก ๆ อยู่เนื่องจากไม่เป็นที่คุ้นหูของใครหลาย ๆ คนนัก พ่อของผมเคยบอกผมตั้งแต่ตอนผมเด็ก ๆ ว่าชื่อของผมเป็นชื่อของแม่น้ำเล็ก ๆ สายหนึ่งที่ไหลพาดผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์บ้านเกิดของผม พ่อเคยบอกว่าถึงแม้แม่น้ำเซิญจะเป็นเพียงแม่น้ำสายเล็ก ๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความสำคัญของมันในฐานะที่เป็นสายน้ำลดลงไปแม้แต่น้อยเพราะยังไงซะสายน้ำก็ยังคงเป็นสายน้ำอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ
ผมเป็นนายตำรวจหนุ่ม(ที่น่าจะไฟแรง)สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางหน่วยงานของผมมีหน้าที่หลัก ๆ ในการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนตำรวจท้องที่ในการป้องกันและปราบปรามตลอดจนการสืบสวนในคดีต่าง ๆผมเข้าประจำในหน่วยนี้ตั้งแต่จบจากโรงเรียนนายร้อยมาใหม่ ๆ จวบจนกระทั่งบัดนี้ก็เกือบเป็นเวลาสามปีแล้วตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมามีคดีต่าง ๆ มากมายผ่านเข้ามาอีกทั้งยังเป็นคดีที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นอย่างยิ่ง ในแต่ละคดีผมและทีมงานต้องใช้เวลาไปอย่างมากมายในการสืบสวนหาพยานหลักฐานและนำตัวคนผิดมาลงโทษ บางคดีถึงกับต้องใช้เวลาข้ามปีเลยทีเดียวกว่าที่จะปิดแฟ้มลงได้ แต่เหตุการณ์ที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้นับว่าเป็นความน่าพิศวงอย่างหนึ่งในแวดวงการสืบสวนของเรามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าสาวของผมเอง
ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านหลาย ๆ ท่านไม่มากก็น้อยคงจะรู้จักนักสืบชื่อดังต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น“โคนันยอดนักสืบ”“คินดะอิจิยอดนักสืบ”“เชอร์ล็อก โฮล์มส์”หรือต่าง ๆ อีกมากที่ปรากฏตัวตามหน้าหนังสือหรือหน้าจอโทรทัศน์ต่าง ๆนักสืบเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีไหวพริบที่โดดเด่น ฉลาดเป็นกรด อีกทั้งยังเป็นตัวดูดเรื่องเลวร้ายชั้นยอดเสียด้วยคือเมื่อพวกเขาปรากฏตัวที่ไหนที่นั่นย่อมจะมีเหตุหาฆาตกรรมขึ้นเสมอ ๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องในนิยายเท่านั้น ในชีวิตจริงคงไม่มีคนอย่างนั้นอยู่แน่ ๆ อย่างน้อยผมก็เชื่ออย่างนั้นมาตลอดจนกระทั่งมาถึงวันนี้...วันแต่งงานของผมเอง...
เอาละ ผมยืดเยื้อมานานแล้วเห็นทีจะได้เวลาแนะนำตัวเจ้าสาว(และภรรยาในอนาคต)ของผมเสียที เธอเป็นคนสวยมาก รูปร่างสูงโปร่ง มีใบหน้ารูปไข่รับกับขนคิ้วที่โก่งราวกับคันธนู ริมฝีปากรูปกระจับของเธอมีสีชมพูระเรื่ออยู่ตลอดเวลา เธอมีอายุ 27 ปีอ่อนกว่าผมหนึ่งปีทำให้ผมชอบเรียกเธอว่า“น้องฟ้า”อยู่เสมอ ๆ ทั้งที่เธอชอบบอกว่าอายุห่างกันแค่ปีเดียวไม่เห็นต้องเรียกว่าน้องฟ้าก็ได้แค่เรียกฟ้าเฉยๆ ก็พอแล้วแต่ผมก็ไม่ชอบเรียกเธอว่าฟ้าเฉย ๆ อยู่ดี เรียกว่าน้องฟ้ามันน่าเอ็นดูกว่ากันเยอะเลยเธอมีชื่อจริงว่าสิริมา อริยะไพบูลย์ซึ่งอีกไม่นานก็คงต้องเปลี่ยนเป็น“นามวงศ์”แล้วก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมกับเธอพบกันเมื่อสามปีก่อนในวันที่บริษัทที่เธอทำงานอยู่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นแต่นั่นคงเป็นเรื่องที่เราต้องเอาไว้มาคุยกันในภายหลัง ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอนั้นผมถึงกับตกอยู่ในภวังค์โลกทั้งโลกของผมหยุดนิ่งไปหมดถึงแม้ว่าผมจะเคยเห็นผู้หญิงสวยมานักต่อนักแล้วแต่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่ความสวยของผู้หญิงเหล่านั้นจะทำให้ผมตกตะลึงได้มากไปกว่าการจ้องหน้าอันสวยซึ้งตามธรรมชาติของเธอคนนี้ด้วยความที่เราต้องร่วมมือกันในการสืบสวนคดีครั้งนั้นทำให้เราสนิทสนมกันมากขึ้นหลังจากคดีปิดลงไปผมก็ยังคงติดต่อกับนักบัญชีสาวคนนี้อยู่เรื่อย ๆจนกระทั่งมันกลายมาความสัมพันธ์อันสุดแสนวิเศษอย่างที่เป็นอยู่นี้
ก็อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าเธอชื่อเล่นว่า“ฟ้า”และผมก็มักเรียกเธอว่า“น้องฟ้า”เพราะฉะนั้นหากผมเอ่ยถึงคำว่าน้องฟ้าก็ขอให้หมายถึงว่าที่ภรรยาของผมเอง ในวันนี้น้องฟ้าอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ เป็นชุดแต่งงานแบบสากลเราทั้งคู่ตกลงกันว่าจะจัดงานกันสองวัน วันแรกเป็นการใส่ชุดไทยและทำพิธีแต่งงานแบบไทย ๆ ซึ่งนั่นก็ผ่านมาแล้วหนึ่งวันซึ่งจัดขึ้นที่บ้านของเจ้าสาวในเขตบางกะปิความจริงวันนี้สมควรเรียกว่าเป็นงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของเรามากกว่าเราเลือกจัดกันที่โรงแรมแถว ๆ ถนนศรีนครินทร์ซึ่งอยู่ติดกับห้างดังแห่งหนึ่งเหตุผลก็เพราะแถวนั้นรถไม่ติดและไปมาสะดวกเนื่องจากเสร็จจากงานเลี้ยงแล้วผมกับเธอก็จะถูกส่งตัวเข้าห้องหอในคอนโดใกล้ ๆ กันนั่นเอง
งานเลี้ยงของเราถูกจัดขึ้นที่ชั้น 6 ของโรงแรมเป็นห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่จุแขกเหรื่อได้ประมาณหนึ่งร้อยถึงสองร้อยคน ด้านหน้าห้องจัดเลี้ยงเป็นลิฟต์ตัวใหญ่ที่นำพาแขกส่วนใหญ่เข้ามาในงานส่วนมากแล้วแขกของเราก็จะเป็นเพื่อนร่วมงานและญาติสนิทมิตรสหายที่รู้จักกันนับรวม ๆ แล้วก็ประมาณ 150 คนได้เนื่องจากทั้งผมและเธอก็ค่อนข้างจะมีพรรคพวกมากโขอยู่ แขกแต่ละคนของเราก็จะนั่งประจำโต๊ะจีนที่จัดเตรียมไว้ให้โดยมีโต๊ะที่โดดเด่นตั้งอยู่หน้าเวทีเป็นโต๊ะของทางแขกผู้ใหญ่ของผมกับเธออันประกอบไปด้วย พ่อกับแม่ของเธอ สารวัตรเอกชัยผู้บังคับบัญชาในหน่วยของผมร.ต.อ.ขันติซึ่งเป็นรุ่นพี่ของผมในหน่วยอีกทั้งยังเป็นรุ่นพี่ที่สนิทกับผมในสมัยเรียนที่โรงเรียนนายร้อยด้วยผมเรียกเขาว่าพี่ติส่วนพ่อกับแม่ของผมนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของโต๊ะซึ่งประจันหน้ากับพ่อกับแม่ของเจ้าสาวพอดี พ่อของผมเป็นกำนันอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพิ่งเคยเข้ากรุงเทพฯเพียงครั้งสองครั้งแต่แกเป็นคนติดจะวางมาดอยู่นิด ๆคือไม่ชอบให้ใครมาดูถูกว่าแกเป็นกำนันบ้านนอกแกจึงนั่งกอดอกจ้องหน้าพ่อของน้องฟ้าอย่างไม่วางตา พ่อของน้องฟ้าเป็นนายทหารยศพันเอกที่ปลดเกษียณแล้วทำให้แกออกจะมีมาดเข้มครึมเอาการอยู่ การจึงกลายเป็นว่าเมื่อเสือสองตัวมาเจอกันจึงออกอาการเขม่นกันเล็กน้อยแต่คงยังไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันความจริงแล้วก็เป็นเพียงการวางมาดใส่กันเท่านั้น แต่แม่ของเราดูเหมือนจะเข้ากันดีทั้งสองคนยิ้มแย้มแจ่มใสหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน ส่วนน้องสาวของผมที่มาจากต่างจังหวัดเหมือนกันนั่งอยู่ข้าง ๆ แม่ของผม เธอเรียนอยู่ชั้นม.6 ที่โรงเรียนประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ด้านตรงข้ามกับเธอมีหนุ่มหล่อคนหนึ่งนั่งอยู่ เขาเป็นเด็กมหาวิทยาลัยปีสามไว้ผมทรงนักร้องบอยแบนด์เกาหลีที่กำลังฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง น้องชายของเธอนั่นเอง ผมแอบเห็นสายตาของเขาที่จ้องมองน้องสาวผมไม่วางตาแต่ก็ต้องคอยหลบสายตาของพ่อผมที่จ้องมองตาขวางอยู่ด้วย
ส่วนผมกับเธอในตอนนี้กำลังเกาะกุมมือกันอยู่บนเวทีโดยมีพิธีกรรับเชิญชื่อสุริยะหรือไอ้ต้าร์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทผมเองคอยถามคำถามต่าง ๆ อย่างเอาเป็นเอาตายราวกับคุณสรยุทธ์มาเองเลยทีเดียว เนื่องจากทั้งพ่อและแม่ของเราต่างก็กล่าวคำอวยพรกันไปหมดแล้วอีกทั้งญาติผู้ใหญ่ต่าง ๆ ก็เช่นกัน งานในช่วงนี้จึงเหมือนกับเป็นการสนุกสนานเฮฮากับมุกสด ๆ ของไอ้ต้าร์เสียมากกว่า มันยกมือลูบพุงพลุ้ย ๆ ของมันก่อนจะตะโกนไปยังแขกเหรื่อในงานว่า
“พ่อแม่พี่น้องครับ วันนี้ท่านว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวของเราหล่อสวยกันไหมครับ”
เสียงเฮดังขึ้นมาจากแขกในงานพร้อมกับเสียงชนแก้วดังเคร้งคร้างก่อนจะมีเสียงตอบกลับมาว่า“หล่อ ๆ สวย ๆ กันทั้งนั้นเลย”
“ขอบคุณครับพ่อแม่พี่น้อง แต่ผมว่าเจ้าบ่าวยังหล่อน้อยกว่าผมนิดหนึ่งนะคร้าบ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”ไอ้ต้าร์หัวเราะกับมุกตลกฝืดของตัวเอง“พ่อแม่พี่น้องครับผมว่างานนี้มันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่งนะครับ”มันพูดต่อพลางทำท่าครุ่นคิด สักพักหนึ่งมันก็กระโดดลงไปจากเวทีพลางถือไมค์ไปยังโต๊ะของเพื่อนร่วมงานของผม
“พวกคุณตำรวจคิดว่างานนี้มันขาดอะไรไปหรือเปล่าครับ”มันแกล้งถามขึ้น จ่าสมบูรณ์ซึ่งกำลังกรึ่มๆ ได้ที่แล้วก็คว้าไมค์ไปจากมือของมันพลางตะโกนใส่ไมค์ว่า“งานแต่งมันก็ต้องมีการห้อมแก้มโชว์สิครับคุณพิธีกร”แขกเหรื่อในงานหลังจากที่ได้ยินคำพูดของลูกน้องผมก็ปรบมือกับยกใหญ่
“เป็นความคิดที่ดีมากครับ คราวนี้เราลองไปถามโต๊ะสาวสวยโต๊ะนี้กันดูดีกว่าว่าพวกเธอคิดว่างานนี้มันขาดอะไรไปหรือเปล่า”ไอ้ต้าร์ว่าพลางพาพุงพลุ้ย ๆ ของตัวเองเดินไปที่โต๊ะของเพื่อน ๆ น้องฟ้าที่อยู่ถัดมาอีกโต๊ะหนึ่ง อรวรรณหนึ่งในสาวสวยเพื่อนของเธอลุกขึ้นยืนพลางพูดใส่ไมค์ว่า“ใช่ค่ะคุณพิธีกรฉันเองก็อยากเห็นเจ้าบ่าวหอมแก้มเจ้าสาวเหมือนกัน”แขกเหรื่อในงานไชโยโห่ร้องขึ้นอีกครั้งพลางร้องตะโกนเชียร์ให้พวกเราหอมแก้มกันไม่หยุดจนในที่สุดผมเองก็ทนเสียงเรียกร้องไม่ไหวจึงคว้าไมค์ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาก่อนจะพูดว่า
“ช่วยกรุณาเงียบ ๆ กันหน่อยครับ...”เสียงของแขกในงานเงียบกริบลงทันที“เพราะผมเองก็ต้องการใช้สมาธิในการห้อมแก้มเจ้าสาวของผมเป็นอย่างมาก”สิ้นเสียงของผมแขกในงานก็ส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง ข้าง ๆ ผมน้องฟ้าเจ้าสาวของผมออกอาการขวยเขินจนแก้มแดงเป็นลูกตำลึงสุก จริงอยู่ที่ว่านี่ไม่ใช่การห้อมแก้มหรือจุมพิตกันครั้งแรกของเราแต่การห้อมแก้มต่อหน้าคนหมู่มากอย่างนี้ย่อมต้องมีอาการขวยเขินกันบ้าง เธอคว้าไมค์ไปจากมือผมแล้วพูดออกมาคำเดียวสั้น ๆ ว่า“บ้า”เสียงแขกเหรื่อหัวเราะกันเกรียวกราวแสดงถึงความชอบใจกันยกใหญ่
ผมก้าวออกมาข้างหน้าพลางยกมือเป็นสัญญาณว่าให้เงียบเสียงไว้เพราะตอนนี้ผมพร้อมที่จะหอมแก้มโชว์ทุก ๆ คนแล้ว ห้องทั้งห้องเงียบกริบ แขกทุกคนในงานจ้องมองมาที่เวทีตาเป็นมันทุกคนต่างก็ลุ้นระทึกกับวินาทีสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้น น้องฟ้าของผมหลับตาพริ้มพลางเอียงแก้มอันแดงระเรื่อมาให้ผม หัวใจของผมเต้นโครมครามจนแทบจะทะลุออกมานอกอกผมค่อย ๆ ยื่นจมูกไปใกล้ ๆ หน้าของเธอจนกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยมาปะทะจมูกของผม ในขณะที่จมูกของผมกำลังจะชนกับแก้มเธออยู่นั่นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากหน้าห้องจัดเลี้ยงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“กรี๊ด!!!!!!!!ช่วยด้วยค่ะ มีคนถูกแทง”เนื่องจากห้องทั้งห้องเงียบกริบอยู่แล้วทำให้ทุกคนได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นอย่างชัดเจนอารมณ์ของผมหยุดชะงักค้างอยู่ตรงนั้นพลางหันไปมองทางต้นเสียงอย่างตื่นตระหนก“ใครมาเล่นอะไรบ้า ๆ แถวนี้กันแน่นะ”ผมคิดพลางเหลียวมองไปทางต้นเสียงอย่างหัวเสีย
พนักงานชายของโรงแรมคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดรีบเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้แขกในงานถึงกับกรีดร้องขึ้นพร้อมกัน ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดของพนักงานโรงแรมล้มลงตรงหน้าลิฟต์โดยที่ตัวอีกครึ่งหนึ่งยังอยู่ในลิฟต์ บนตัวของเธอมีพนักงานหญิงของโรงแรมอีกคนหนึ่งนอนทับอยู่ บนตัวของพนักงานหญิงคนนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ดูคล้ายกับว่าพนักงานหญิงคนนั้นจะนอนหมดสติอยู่หรือไม่ก็คงเสียชีวิตไปแล้วเนื่องจากวงเลือดที่กระจายออกมานั้นส่งกลิ่นคาวคะคลุ้งไปทั่ว
สารวัตรเอกชัยกับพี่ติรุ่นพี่ของผมรีบลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้พลางสั่งลูกน้องที่อยู่ที่โต๊ะอีกตัวหนึ่งออกไปดูเหตุการณ์ทันที ส่วนน้องฟ้าดูเหมือนว่าจะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย เธอตัวสั่น ใบหน้าที่จากเคยเป็นสีแดงระเรื่อกลายเป็นซีดขาว ยกมือขึ้นกุมอกตัวเอง ผมดึงเธอเข้าไปกอดเพื่อปลอบใจพลางลูบที่แผ่นหลังเธอเบา ๆ
“ไม่ต้องตกใจนะครับคนดีของพี่”ผมพูด เธอซุกหน้าเข้ากับอ้อมอกของผม ตัวของเธอสั่นเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม“พี่อยู่นี่แล้วครับไม่ต้องตกใจ”ผมพูดอีก เธอพยักหน้ารับอย่างช้า ๆแววตาตื่นตกใจค่อย ๆ หายไป ผมยิ้มให้กับเธอก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากเธอเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า“รออยู่ที่นี่นะครับพี่จะออกไปดูเหตุการณ์หน่อย”
ผมทำท่าจะผละจากเธอไปแต่เธอกลับคว้าข้อมือของผมไว้แน่นผมจึงหันไปมองอย่างสงสัยเห็นเธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ คำหนึ่ง“ขอฟ้าไปด้วยคนค่ะ”เธอพูด
“จะดีหรือครับ”ผมพยามห้ามเธอ ผมไม่อยากให้เธอมาเจออะไรแบบนี้เลย ยิ่งเป็นในงานแต่งของเราด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่
“ไม่เป็นไรค่ะฟ้าทนได้ พี่เซิญอย่าลืมสิค่ะว่าฟ้าเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วนะ”เธอหมายถึงเหตุฆาตกรรมที่บริษัทของเธอเมื่อสามปีก่อน
“แต่นี่มันงานแต่งของเรานะครับ”
“ให้ฟ้าไปด้วยเถอะนะคะ อย่างน้อยก็ให้ฟ้าได้อยู่ข้างกายพี่ให้หายตกใจก่อนก็ได้ค่ะ”เธอพูดพร้อมกับทำหน้าตาหน้าสงสารเต็มที่เจอลูกอ้อนเข้าอย่างนี้ผมจึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก
แขกเหรื่อส่วนใหญ่ของเราถูกกันไว้ไม่ให้เข้าไปมุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตอนนี้บริเวณลิฟต์หน้าห้องจัดเลี้ยงจึงมีเพียงตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสวบสวนกลางสามสี่นายและผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้น เมื่อผมกับน้องฟ้าเดินเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุพี่ติกับสารวัตรเอกชัยกำลังพินิจพิเคราะห์คนสองคนที่นอนทับกันอยู่อย่างเคร่งเครียดสาวน้อยที่นอนอยู่ด้านล้างหายใจถี่ ๆ หนัก ๆ ด้วยความตกใจพลางส่งเสียงร้องให้คนช่วยด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง
“ทำใจดี ๆ ไว้นะครับคุณผู้หญิง ผมจะช่วยยกคนที่นอนทับคุณอยู่ออกมาไม่ต้องตกใจไปครับ”พี่ติพยายามพูดปลอบใจสาวคนนั้นพลางสั่งให้ลูกน้องยกคนที่นอนทับเธออยู่ออกมา
จ่าสมบูรณ์พร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งช่วยกันจับร่างที่ไม่ไหวติงของผู้หญิงคนนั้นให้หงายขึ้นทันทีที่จับร่างนั้นให้หงายได้สำเร็จทุกคนก็ร้องอุทานขึ้นพร้อมกัน ร่างของหญิงคนนั้นชุ่มไปด้วยเลือด ที่หน้าอกด้านซ้ายมีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักลงไปจนมิดด้าม ดวงตาของเธอเหลือกค้างไร้ประกาย ทรวงอกไม่ไหวติงแม้แต่น้อยนั่นแสดงว่าเธอเสียชีวิตแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนผู้หญิงที่อยู่ด้านล่างหลังจากที่ร่างกายเป็นอิสระแล้วก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นด้วยความตกใจเธอกระเถิบตัวไปนั่งพิงอยู่ที่ประตูลิฟต์ที่เปิดค้างไว้พลางร้องไห้ไม่หยุด ตามเนื้อตามตัวของเธอเปรอะไปด้วยเลือดของเพื่อนร่วมงาน
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณ”พี่ติคุกเข่าลงข้างเธอพลางเอ่ยปากถาม
“ฮือ ฮือ...”แต่เธอกลับเอาแต่ร้องไห้พร้อมกับส่ายหัวไปมา
“คุณครับ...ตั้งสติให้ดี ๆ แล้วกรุณาบอกผมว่าเกิดอะไรขึ้นเถอะครับ”พี่ติถามย้ำอีกครั้งแต่เธอก็เอาแต่ร้องไห้และส่ายหัวไปมาอยู่อย่างนั้น
“เธอคงกำลังตกใจน่ะ เอาไว้ถามทีหลังเถอะ”สารวัตรเอกชัยยื่นมือไปแตะไหล่พี่ติพลางพยุงหญิงสาวคนนั้นให้ลุกขึ้นก่อนจะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่หญิงในหน่วยของเราที่มาร่วมงานให้พาตัวเธอไปสงบสติอารมณ์ระหว่างที่หญิงสาวคนนั้นถูกเจ้าหน้าที่หญิงพาตัวไปเธอก็ยังร้องไห้ไม่หยุด เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมือและใบหน้าที่เปรอะไปด้วยเลือดแล้วเดินตามเจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นไปยังห้องอีกห้องหนึ่งของโรงแรม ผมและน้องฟ้ามองตามเงาหลังคู่นั้นไปจนลับสายตา
“เสียใจด้วนนะหมวดที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในงานสำคัญของคุณ”สารวัตรเอกชัยเอื้อมมือมาตบบ่าผมเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับสารวัตร ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอยู่แล้ว”ผมตอบสารวัตรเอกชัยก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ“ไหน ๆ มันก็เกิดขึ้นในงานของผมแล้วผมก็ขอรับคดีนี้ไว้เองนะครับสารวัตร”ผมพูดต่อ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วนี่น่ะ สืบสวนเหตุฆาตกรรมในงานแต่งของตัวแบบนี้ก็คงจะเป็นความทรงจำที่แปลกไปอีกแบบหนึ่งถึงแม้ผมจะไม่ค่อยชอบนักก็เถอะ
“เอาอย่างนั้นก็ได้”สารวัตรพยักหน้ารับ“เดี๋ยวพวกเราจะช่วยอีกแรงหนึ่ง”
“หวังว่าน้องฟ้าคงจะไม่ตำหนิพี่นะครับ”ผมหันไปถามว่าที่ภรรยาของผม
“ไม่หรอกค่ะ ฟ้าเองก็จะช่วยพี่อีกแรงหนึ่ง”เธอพูดพลางบีบมือให้กำลังใจผม
ดังนั้นในระหว่างที่พวกเรากำลังรอให้พยานที่เห็นเหตุการณ์สงบสติอารมณ์อยู่นั้นการสอบสวนจึงเริ่มขึ้น ผมเรียกผู้จัดการแผนกจัดเลี้ยงของโรงแรมขึ้นมาถามก็ได้ความว่า ผู้ตายชื่อนางสาวพุทธิดา ศรกุลอายุ 23 ปี เป็นพนักงานแผนกจัดเลี้ยงของโรงแรมนี้มาได้ปีกว่า ๆ แล้ว
“วันนี้หนูดาเธอมีคิวบริการอยู่ที่ห้องจัดเลี้ยงตรงชั้นล่างเรานี่เองค่ะ เป็นงานเลี้ยงฉลองของบริษัทหนึ่งที่ทำยอดขายได้ทะลุเป้าน่ะคะ”ผู้จัดการสาวพูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“แล้วเพื่อนของเธอละครับมีคิวบริการอยู่ที่ห้องเดียวกันหรือเปล่า”ผมถามต่อ
“ค่ะ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากเข้ามาสมัครงานที่นี้พร้อม ๆ กันน่ะคะ”
“ยังเป็นนักศึกษาอยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ เป็นนักศึกษาของวิทยาลัยในเครือของโรงแรมเรานี่เอง”
“อืม...ถ้างั้นคงจะเป็นนักศึกษาฝึกงานน่ะสินะ”
“ค่ะ นักศึกษาของวิทยาลัยนี้ก่อนจบก็ต้องมาฝึกงานที่โรงแรมนี้ทุกคนค่ะ ไม่งั้นก็จะไม่จบ เป็นวิชาภาคบังคับน่ะคะ”
“แล้วคุณพอจะรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้ตายไหมครับ”
“ก็ไม่ค่อยรู้มากเท่าไหร่หรอกค่ะ รู้แค่ว่าที่บ้านเธอค่อนข้างจะยากจนนิดหนึ่ง ที่เธอมาเรียนที่นี้ได้ก็เพราะเป็นนักเรียนทุนน่ะคะในที่ทำงานเธอก็ดูเป็นคนตั้งใจดีนะค่ะ เข้ากับทุกคนได้ดีไปหมดหัวหน้าทุกคนก็ชอบเธอเพราะเธอเป็นคนตั้งใจทำงานสุด ๆ ฉันเองก็ยังชอบนิสัยเธอมากเลยค่ะ”
“แล้วเพื่อน ๆ ในที่ทำงานละครับคุณเคยสังเกตหรือเปล่าว่ามีปฏิกิริยากับเธอยังไงบ้าง”คราวนี้เป็นพี่ติถามขึ้นบ้าง
ผู้จัดการสาวทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนจะตอบออกไปว่า“ก็ดีนะค่ะ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าหนูดาเป็นคนนิสัยดีมากเข้ากับทุกคนได้ดีไปหมดแล้วอีกอย่างเธอก็เป็นคนสวยด้วยจึงไม่ค่อยเห็นใครเกลียดเธอเลยค่ะโดยเฉพาะพวกผู้ชายนะคะรุมแจกขนมจีบให้เธอเต็มไปหมด”ผมกับพี่ติพยักหน้ารับแล้วจดข้อความลงในสมุดพก
“ขอบคุณครับผู้จัดการ ผมคงรบกวนเวลาคุณแค่นี้แหละเดี๋ยวเอาไว้ถ้ามีเรื่องสงสัยอะไรอีกผมจะเรียกคุณมาถามแล้วกันครับ”ผมเอ่ยปากขอบคุณเธอ ๆ ก็พยักหน้ารับแล้วเดินหลบออกไปแต่โดยดีก่อนไปเธอยังฝากให้ผมจับคนร้ายให้ได้โดยเร็วที่สุดด้วยเธอบอกว่าสงสารเหยื่อที่ต้องมาตายตั้งแต่อายุยังน้อยส่วนเรื่องครอบครัวของผู้ตายเธออาสาจะเป็นคนติดต่อแจ้งข่าวร้ายให้ซึ่งผมเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
พอผู้จัดการสาวผละจากไปแล้วผมก็ก้าวเดินเข้าไปดูในลิฟต์ซึ่งคาดว่าคงจะเป็นที่เกิดเหตุโดยมีน้องฟ้าเกาะกุมมือผมอยู่ไม่ยอมห่างไปไหน ที่บริเวณผนังของลิฟต์มีหยดเลือดหลายหยดติดอยู่ ที่ข้าง ๆ รอยเลือดนั้นมีรอยบุบเข้าไปของผนังคล้าย ๆ โดนของแข็งบางอย่างที่เป็นทรงกลมกระแทกเข้าไป ที่ด้านตรงข้ามกับรอยนี้ก็ปรากฏรอยลักษณะคล้าย ๆ กันนี้อยู่เช่นกันแต่ทางด้านฝั่งนี้เหมือนจะยุบลงไปมากกว่าฝั่งโน้นอยู่เท่าตัว
น้องฟ้าพยายามจะใช้สองมือไปแตะที่รอยนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นดีที่ผมคว้ามือเธอไว้ได้ทันก่อน
“อย่าครับ เดี๋ยวหลักฐานจะปนเปื้อน”ผมเตือนเธอ
“ขอโทษค่ะ”เธอทำหน้ารู้สึกผิดผมจึงถือโอกาสอธิบายว่าก่อนที่กองพิสูจน์หลักฐานจะมาถึงเราต้องคงสภาพที่เกิดเหตุไว้ให้เหมือนเดิมที่สุดเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของหลักฐานเพราะหลักฐานที่มีขนาดเล็กเช่นรอยนิ้วมือหรือแม้กระทั่งเส้นผมอาจจะหลุดหายได้ถ้าหากผู้เห็นเหตุการณ์ครั้งแรกหรือพนักงานสอบสวนทำการแตะต้องหรือเคลื่อนย้ายหลักฐานนั้นโดยไม่ถูกวิธี
จากนั้นผมจึงพาว่าที่ภรรยาของผมเข้าไปตรวจสอบสภาพศพ(ด้วยตาเปล่า)อีกครั้งซึ่งดูเธอก็มีความสนอกสนใจดี
“สภาพศพเป็นอย่างไรบ้างครับหมอ”ผมถามหมอผู้ชันสูตรศพที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่เหนือศพอย่างขะมักเขม้น
หมอกรกฏเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมพลางดันกรอบแว่นตาให้เข้าที่ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า“สภาพศพใหม่มากเพิ่งจะเสียชีวิตเมื่อไม่กี่นาทีมานี้เอง ดูสิเลือดยังอุ่นอยู่มาก”ผมลืมบอกไปว่าในกรณีของหมอผู้ทำการชันสูตรพลิกศพนั้นสามารถที่จะแตะต้องตัวศพเพื่อหาสาเหตุการตายอย่างคร่าว ๆ ได้ก่อนที่กองพิสูจน์หลักฐานจะมาถึงเช่นการแตะชีพจรหรือดูม่านตาของศพส่วนหมอกรกฏที่กำลังทำการตรวจศพอยู่นี้เป็นหมอประจำหน่วยของเราเอง ท่านเป็นหมอหนุ่มใหญ่อายุประมาณ 40 กว่า ๆ แล้วและถือว่าเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้คนหนึ่งเลยทีเดียว
“รูม่านตาขยายใหญ่แสดงว่าก่อนตายมีการตื่นตัวอย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อแข็งเกร็งโดยเฉพาะที่นิ้วมือทั้งสิบคล้าย ๆ กับกำลังออกแรงทำอะไรสักอย่างอยู่”หมอกรกฏพูดต่อ“ตำแหน่งที่มีดปักอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจพอดี ทำให้หลังจากถูกแทงก็คงจะเสียชีวิตทันที โอ๊ะ!ดูนี่สิ...ที่หัวดูเหมือนมีรอยกระแทกอยู่ด้วยกะโหลกศีรษะยุบเข้าไปคล้าย ๆ โดนของแข็งบางอย่างกระแทกเอาหรือไม่ก็หัวนี่แหละที่ไปกระแทกของแข็งบางอย่างเข้า”ผมกับน้องฟ้าหันขวับไปมองรอยบุบของผนังลิฟต์ทันที มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ตายอาจจะโดนจับหัวกระแทกเข้ากับผนังลิฟต์จนกะโหลกศีรษะร้าวอย่างที่หมอบอก แต่คนร้ายจะทำอย่างนั้นไปทำไมในเมื่อมีมีดที่สามารถเสียบทะลุหัวใจเหยื่อได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว
เราสำรวจสถานที่เกิดเหตุกันอยู่สักพักเจ้าหน้าที่หญิงที่นำพาพนักงานโรงแรมสาวที่เห็นเหตุการณ์คนแรกไปพักก็เดินมาบอกว่าตอนนี้เธอพร้อมจะให้ปากคำแล้วพร้อม ๆ กับที่เจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานเดินทางมาถึงพอดี ผมกับพี่ติจึงอาสาจะเป็นคนไปสอบถามพนักงานหญิงคนนั้นเองโดยที่สารวัตรเอกชัยจะคอยอยู่ข้างนอกเพื่อร่วมกันตรวจสอบที่เกิดเหตุกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานโดยละเอียดอีกครั้ง
ดังนั้นผม,พี่ติและน้องฟ้าที่ไม่ยอมห่างผมไปไหนจึงพากันเดินเข้าไปยังห้องข้าง ๆ ห้องจัดเลี้ยงของเราซึ่งเป็นห้องจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับงานเลี้ยงในคืนนี้ในห้องเต็มไปด้วยแก้วเปล่าและขวดไวน์พร้อมด้วยอาหารขบเขี้ยวเล็ก ๆ น้อยวางเรียงกันอยู่ ห้องนี้เป็นห้องที่ค่อนข้างจะแคบจึงมีพื้นที่เหลือพอให้เพียงวางโต๊ะยาวตัวหนึ่งกับเก้าอี้อีกสองตัวเท่านั้น เราจึงยกเก้าอี้ตัวหนึ่งให้พยานของเรานั่งส่วนอีกตัวหนึ่งนั้นผมเลื่อนมาให้น้องฟ้านั่งคอยอยู่ข้าง ๆ ระหว่างที่เราทำการสอบสวนอยู่
“น้องชื่ออะไรครับ”พี่ติเป็นคนเริ่มถามก่อน
“กัลยา พุ่มประสิทธิ์วงษ์ค่ะ”ดูท่าทางเธอคงสงบลงมากแล้วจึงตอบคำถามได้อย่างไม่ตะกุกตะกักแต่ที่ดวงตายังปรากฏวี่แววของความเสียใจอยู่
“เอาละน้องกัลยาก่อนจะเข้าเรื่องพี่อยากทราบว่าน้องกับผู้ตายรู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว”
“รู้จักกันมานานมากแล้วค่ะ หนูกับดาเรียนโรงเรียนมัธยมมาด้วยกันตั้งแต่ม.ปลายแล้วพอจบก็มาเข้าเรียนที่นี่ด้วยกันทั้งคู่เลยค่ะ ตอนมาสมัครทำงานที่นี่เพื่อเอาเกรดก็มาพร้อมกันค่ะ เราสองคนมักจะทำอะไรพร้อม ๆ กันเสมอ”
“งั้นก็แสดงว่าน้องกับผู้ตายก็ต้องสนิทกันมากน่ะสิ”คราวนี้เป็นผมถามบ้าง
“ค่ะ เราสองคนสนิทกันมากไปไหมมาไหนด้วยกันเสมอ”
“ถ้าอย่างนั้นน้องพอจะทราบไหมว่าผู้ตายเคยมีเรื่องบาดหมางหรือผิดใจกับใครมาก่อนหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ”เธอตอบโดยไม่ลังเลสักนิด
“น้องแน่ใจเหรอ เป็นเรื่องอะไรก็ได้นะ เช่นเรื่องความรักหรือเรื่องเงินทองอะไรประมาณเนี่ย”
“อืมจริงสินะถ้าเป็นเรื่องความรักละก็ไม่แน่ค่ะเพราะดาเป็นคนสวยมากแถมยังนิสัยดีด้วยจึงทำให้มีคนมาจีบเยอะแต่หนูก็ไม่เห็นเธอจะเลือกใครสักคนเลยค่ะ ขนาดเพื่อนผู้ชายในกลุ่มเดียวกันแท้ ๆซึ่งเป็นคนดีมากแถมยังเรียนเก่งด้วยมาชอบเธอ ๆ ยังปฏิเสธไปเลยค่ะ”
“แล้วน้องพอจะบอกได้ไหมว่าผู้ชายเหล่านั้นหลังจากที่โดนเธอปฏิเสธไปแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง อ้อ แล้วน้องพอจะทราบไหมว่าพวกผู้ชายที่มาชอบและบอกรักเธอน่ะมีกี่คนกันแน่”
“อืม...ก็เยอะอยู่นะคะราว ๆ สิบถึงยี่สิบคนเห็นจะได้ค่ะ ส่วนมากแล้วหลังจากที่โดนยายดาปฏิเสธไปก็ไม่ค่อยเห็นมีอะไรเลยค่ะ อาจเป็นเพราะว่าผู้ชายพวกนั้นคงจะทำใจยอมรับไว้แล้วครึ่งหนึ่งมั้งค่ะเพราะยายดาขึ้นชื่อมากเรื่องที่ไม่สนใจผู้ชายน่ะค่ะ”
“ไม่ค่อยสนใจผู้ชายงั้นเหรอ”พี่ติพึมพำขึ้นเบา ๆ
“ค่ะบางครั้งหนูยังรู้สึกแปลก ๆ เลย บางครั้งเธอยังมีท่าทีแปลก ๆ กับหนูด้วยค่ะ เช่นว่าถ้าเห็นหนูอยู่กับผู้ชายหลาย ๆ คนก็จะงอนหรือไม่ก็โกรธไปเลยค่ะ”
“เป็นพวกเลสเบี้ยนงั้นเหรอ”พี่ติกับผมทำตาโต
“โอ๊ะไม่หรอกค่ะ หนูไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้นแน่ ๆ...แต่ถ้าเป็นยายดาละก็อืมหนูก็ไม่ทราบจริงๆค่ะ”
“เอาละ ๆ”พี่ติพูดต่อ“งั้นน้องลองเล่าเรื่องตอนที่น้องไปเจอศพครั้งแรกให้พวกพี่ฟังสิว่าเป็นยังไง ตอนนั้นน้องอยู่ที่ไหนไปทำอะไรถึงได้มาเจอศพเข้า”
“ค่ะ”เธอพยักหน้าพลางขยับตัวเพื่อเปลี่ยนท่านั่งก่อนจะเล่าถึงตอนที่เธอไปพบศพเข้า“วันนี้ที่ห้องจัดเลี้ยงชั้นล่างของพวกคุณมีงานจัดเลี้ยงพนักงานบริษัท ๆ หนึ่งน่ะค่ะซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้ชายซะส่วนใหญ่ พนักงานพวกนี้นิสัยแย่มากค่ะคือเมาแล้วชอบทำลายข้าวของมาก พวกเขาทำแก้วแตกไปหลายใบเลยค่ะอีกทั้งยังชอบลวนลามพนักงานอย่างพวกหนูด้วยแต่พวกหนูก็ต้องทนล่ะคะเพราะมันเป็นงาน พวกเราเริ่มงานกันตอนประมาณหนึ่งทุ่มกว่า ๆ ตลอดเวลาต้องทนพฤติกรรมแย่ ๆ ของพนักงานพวกนั้นมากจนยายดาเพื่อนหนูทนไม่ไหวจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ในตอนนั้นเป็นเวลาสักประมาณสามทุ่มกว่า ๆ ได้แล้วละค่ะแต่หนูว่ามันมีเรื่องแปลก ๆ อยู่คือก่อนออกไปเห็นเธอคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ก็ไม่รู้ค่ะท่าทางเคร่งเครียดเอาการแต่หนูก็สนใจได้เท่านั้นแหละค่ะเพราะมีผู้ชายคนหนึ่งมาจับก้นหนู หนูตกใจมากจึงผละออกมาและบอกกับผู้จัดการว่าหนูทนไม่ไหวแล้ว ผู้จัดการเองก็คงจะเห็นใจละคะสักพักจึงให้หนูขึ้นมาเอาแก้วที่เก็บอยู่ที่ห้องนี้แหละเอาลงไปแทนใบข้างล่างที่พนักงานบริษัทนั้นทำแตกเต็มไปหมด พอหนูขึ้นมาถึงที่ชั้นนี้หนูก็นึกขึ้นมาได้ว่าลืมเอากุญแจที่ต้องใช้เปิดตู้เพื่อเอาแก้วที่เก็บไว้ข้างในออกมาจึงรีบลงไปเอาที่ผู้จัดการที่อยู่ชั้นล่างน่ะคะ หนูมายืนรอลิฟต์อยู่สักพักสังเกตเห็นว่าลิฟต์วิ่งขึ้นมาจากชั้นล่างสุดพอมาถึงชั้น 6 ประตูลิฟต์ก็เปิดออกแล้วร่างของยายดาก็ล้มมาทับหนูที่ยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์พอดีน่ะคะตอนนั้นหนูตกใจมากจึงร้องออกมาสุดเสียงจนพวกคุณวิ่งออกมาดูนี่แหละ”
“ในลิฟต์ไม่มีใครอื่นอยู่เลยงั้นเหรอ”ผมถามต่อ
“ใช่ค่ะ ไม่มีแน่นอน พอประตูลิฟต์เปิดออกเท่านั้นแหละ...หนูไม่อยากพูดเลยคะ”พูดถึงตรงนี้เธอก็ทำท่าจะร้องให้ขึ้นมาอีกจนพวกเราทำอะไรกันไม่ถูก จู่ ๆ น้องฟ้าก็ลุกขึ้นแล้วกระซิบบอกผมว่าขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อยซึ่งผมเองก็ไม่ขัดข้องอะไร หลังจากที่น้องฟ้าออกไปแล้วผมกับพี่ติก็ถามคำถามกับพยานของเราอีกสักพักหนึ่งซึ่งก็ไม่ได้ความอะไรมากมายนักเพราะตอนนี้อารมณ์ของเธอเริ่มกระเจิงอีกแล้วผมจึงเรียกให้เจ้าหน้าหญิงคนเดิมเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ส่วนผมกับพี่ติก็พากันเดินออกไปข้างนอก
เมื่อมาถึงด้านนอกบริเวณที่เกิดเหตุ ผมก็เห็นเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานทำงานกันอย่างขะมักเขม้นแต่ไม่ยักเห็นว่าที่ภรรยาของผม สงสัยเธอคงเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าห้องน้ำนานหน่อย
“อ้าวผู้หมวด มาพอดีเลย”วิชัยเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐานเอ่ยทักเมื่อเห็นผมเดินมาแต่ไกล“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่ผมมางานของหมวดไม่ได้ พอดีงานช่วงนี้มันยุ่งจริง ๆ น่ะ คนตายกันเพียบเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ไหน ๆ ก็มาแล้วนี่ไม่ใช่เหรอ”ผมว่าพลางตบไหล่เขาเบา ๆ
“แหม นี่ถ้าไม่มีงานเข้าละก็ผมคงไม่ได้มางานนี้แน่ ๆ เลย”วิชัยหัวเราะแก้เขิน“เอ้อ ว่าแต่เจ้าสาวของหมวดสวยดีนี่ครับ ใช้ได้เลยแหละ”วิชัยล้อผม
“อ้าว เจอกันแล้วเหรอเห็นเมื่อกี้บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำนี่”ผมจำได้ว่าน้องฟ้ากับวิชัยยังไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้ง
“แหม เจอกันแล้วละครับหมวด เมื่อกี้เจ้าสาวของหมวดยังเดินเข้ามาดูพวกผมทำงานอยู่เลย แล้วยังถามอะไรแปลก ๆ อีกด้วย”
“ถามอะไรงั้นเหรอ”ผมทำหน้างง
“ก็ไอ้รอยตรงผนังนั้นนะครับหมวด เธอถามว่ามันมีความกว้างเท่าไหร่กันเหรอ ผมก็เลยตอบไปตามความเป็นจริงน่ะครับแล้วสักพักเธอก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเฉยเลย ก่อนไปยังขอยืมสายวัดของผมไปด้วยแน่ะ”
สายวัดงั้นเหรอ?น้องฟ้าจะเอาไปทำอะไรกันน่ะ เหรอเธอห่วงว่ารอบเอวตัวเองจะขึ้น หรือต้องการจะวัดส่วนสูง ไม่ใช่หรอกน่าในสถานการณ์แบบนี้เธอคงไม่ห่วงเรื่องพวกนี้หรอก ผมเองก็รู้จักน้องฟ้าดีพอ คิดว่าเธอน่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างอยู่ แน่ ๆ แต่มันคืออะไรกันนะ...ช่างเถอะเดี๋ยวค่อยเอาไว้คิดที่หลังก็ได้ตอนนี้ผมว่าเรามาสนใจหลักฐานที่อยู่ตรงหน้านี้ดีกว่า
ในส่วนของร่องรอยในลิฟต์เราไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยเนื่องจากลิฟต์นี้เป็นลิฟต์ที่มีคนใช้กันอย่างมากมายในแต่ละวันฉะนั้นการจะตรวจหารอยนิ้วมือในลิฟต์จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย เราได้ข้อมูลเพิ่มเติมเพียงน้อยนิดตรงที่ว่ารอยบุบทั้งสองรอยที่อยู่ตรงข้ามกันนั้นรอยหนึ่งที่ทางซ้ายมีลักษณะคล้ายกับโดนของแข็งกระแทกแรง ๆ ไปหนึ่งครั้งส่วนรอยที่อยู่ทางด้านขวามือนั้นคล้าย ๆ กับโดนของแข็งกระแทกไปนับครั้งไม่ถ้วนเพราะสังเกตเห็นรอยบุบได้อย่างชัดเจน ผมสันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะจับศีรษะของเหยื่อกระแทกเข้ากับผนังลิฟต์จนเกิดเป็นรอยบุบอย่างที่เห็น สักพักหนึ่งหมอกรกฏที่ได้ตรวจร่างกายของเหยื่ออย่างละเอียดอีกรอบแล้วนั้นก็ลุกขึ้นเดินมาหาผมพร้อมกับสารวัตร ตอนนี้ศพได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมาจากประตูลิฟต์แล้วและถูกนำไปวางไว้ในห้องจัดเลี้ยงของเรา ส่วนแขกคนอื่น ๆ สารวัตรเอกชัยได้ขอให้กลับบ้านไปก่อนเพราะเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้คงไม่มีใครมีกะจิตกะใจอยู่กินต่อแน่ ๆ ผมได้รู้ด้วยว่าครอบครัวของผมได้กลับไปแล้วเช่นกันแถมยังกลับไปพร้อมกับครอบครัวของน้องฟ้าด้วย เห็นบอกว่าทั้งหมดจะค้างที่บ้านน้องฟ้าไปก่อน ไม่รู้ว่าแม่ไปพูดอีท่าไหนพ่อจึงได้ยอมตกลงไปอย่างนั้นแต่ก็ดีแล้วละครอบครัวของเราจะได้สนิทกันมากขึ้น
เอาละ ตอนนี้เรากลับมาที่เรื่องคดีกันต่อ ระหว่างที่หมอกรกฏกับสารวัตรเดินมาหาผมนั้นน้องฟ้าก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เธอปล่อยผมที่ม้วนไว้เป็นมวยให้สยายออกจนผมยาวสลวยของเธอแผ่อยู่เต็มกลางหลัง ในตอนแรกผมขอให้เธอกลับไปพักผ่อนก่อนโดยผมจะให้คนไปส่งเธอที่คอนโดของเราแต่เธอก็ปฏิเสธ บอกว่าอยากอยู่ดูการสืบสวนต่อและอีกอย่างเธอก็อยากจะเข้าห้องหอพร้อมกับผมด้วย เจอลูกอ้อนแบบนี้เข้าไปผมจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยซึ่งสารวัตรกับพี่ติก็ไม่ได้ว่าอะไร
ดังนั้นในตอนนี้ที่งานเลี้ยงแต่งงานของเราจึงเหลือเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางหกเจ็ดคนซึ่งรวมผมกับสารวัตรและพี่ติเข้าไปด้วย เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานอีกสามคน หมอชันสูตรศพหนึ่งคน น้องฟ้าและพยานปากเอกหนึ่งคน อ้อ และก็ยังมีศพอีกหนึ่งศพด้วย
“เชิญมาทางนี้หน่อยดีไหมครับผู้หมวด ผู้กอง”หมอกรกฏผายมือเชื้อเชิญพวกเราให้เข้าไปในห้องจัดเลี้ยงที่ยกศพไปวางไว้ในนั้น“ผมอยากจะอธิบายให้ละเอียดพร้อม ๆ กับอยากให้เห็นภาพไปด้วย”หมอพูดต่อ พวกเราทั้งหมดจึงเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับหมอ เมื่อมาถึงแล้วหมอกรกฏก็เริ่มอธิบายทันที
“สาเหตุการตายมาจากมีดที่ปักหน้าอกตรงนี้...”หมอเว้นช่วงพูดนิดหนึ่งเพื่อชี้ให้เราดูมีดที่เสียบอยู่บนหน้าอกของศพ“มีดนี้เสียบเข้าทะลุหัวใจพอดีอ้อเราตรวจสอบรอยนิ้วมือบนมีดแล้วพบว่ามีรอยนิ้วมือของคนสามคนปรากฏอยู่ ซึ่งตรงนี้ผมจะให้คุณวิชัยเป็นคนอธิบายต่อไป...แต่ตอนนี้ผมอยากให้ดูรอยตรงนี้ก่อน”หมอว่าพลางจับหัวของศพให้ยกขึ้นเพื่อชี้ให้เราเห็นรอยร้าวบนกะโหลกศีรษะของเหยื่อ“ผมได้ตัดผมของเหยื่อออกไปครึ่งหนึ่งเพื่อที่จะเห็นรอยนี้ได้อย่างชัด ๆ กะโหลกของเหยื่อมีรอยร้าวที่เห็นได้อย่างชัดเจนคล้าย ๆ กับการเอาศีรษะไปกระแทกของกับของแข็งบางอย่าง ซึ่งน่าจะเป็นรอยในลิฟต์ที่ปรากฏอยู่นั้น รอยที่อยู่ในลิฟต์นั้นเข้ากันพอดีกับขนาดศีรษะของเหยื่อ”
“ทั้งสองรอยเลยเหรอค่ะ”จู่ ๆ น้องฟ้าที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยถามขึ้นเล่นเอาผมหันขวับไปมองด้วยความสงสัย เธอบิดตัวอย่างเขิน ๆ ก่อนจะบอกออกมาว่า“แหม ก็แค่อยากรู้เท่านั้นแหละค่ะ”เท่านั้นเองก็ไม่มีใครสงสัยเธออีกต่อไป แต่ผมมารู้ทีหลังว่าการกระทำแปลก ๆ ของเธอในวันนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้คดีนี้ของเราปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว
“ใช่ครับ ทั้งสองรอยมีขนาดใกล้เคียงกันมาก ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองคาดว่าน่าจะเกิดจากการโดนกระแทกหลาย ๆ ครั้งมากกว่าทำให้รอยที่อยู่ทางขวาของลิฟต์จึงมีขนาดใหญ่กว่ารอยทางซ้าย”หมอกรกฏตอบก่อนจะอธิบายต่อไป“ตามร่างกายของผู้ตายมีรอยฟกช้ำหลายแห่ง เช่นตรงนี้...ตรงนี้...ตรงนี้...”หมอกรกฏว่าพลางชี้ให้พวกเราเห็นรอยเขียวช้ำตามลำคอ ท่อนแขนและใบหน้า“ในตอนแรกที่รอยนี้ยังไม่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นเพราะว่าผู้ตายเพิ่งจะเสียชีวิตมาใหม่ ๆ หลังจากที่ผ่านไปสักพักแล้วรอยนี้จึงปรากฏขึ้น ดูรอยตรงท่อนแขนนี่สี่ครับ ถ้าหากว่ารอยนี้เป็นรอยมือของคนร้ายนั่นก็แสดงว่าคนร้ายคนนี้ต้องเป็นคนที่ตัวเล็กมาก ๆ แน่เลยเพราะดูจากขนาดนิ้วมือแล้วมีขนาดเล็กและเรียวยาวมาก”
“หรือไม่งั้นก็อาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ใช่ไหมค่ะ”น้องฟ้าว่าที่ภรรยาของผมถามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครสงสัยเธออีกแล้วเนื่องจากทุกคนกำลังเคร่งเครียดกันอยู่
“จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายตัวเล็ก ๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละครับ ในข้อนี้มันเป็นอะไรที่เกินกว่าผมจะคาดเดาได้จริง ๆ”
“อย่างนั้นเหรอค่ะ ถ้างั้นเชิญคุณหมอต่อเถอะค่ะ”น้องฟ้าว่าพลางก้มหน้าจ้องมองพื้นโดยไม่สนใจใคร
“ในส่วนของผมคงจะมีแค่นี้แล้วละครับ ต่อไปคงจะต้องยกหน้าที่ให้คุณวิชัยแล้วในเรื่องของรอยนิ้วมือที่ผมได้เกริ่นไปเมื่อสักครู่”หมอกรกฏพูดก่อนจะทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ ศพ“เชิญคุณวิชัยเถอะครับ”
วิชัยลุกขึ้นยืนพลางกระแอมหนึ่งครั้งก่อนเอ่ยปากขึ้นว่า“จากการตรวจสอบของเราพบว่ามีดที่ใช้ฆ่าคุณพุทธิดาในครั้งนี้ เป็นมีดปอกผลไม้ที่มีราคาแพงเล่มหนึ่ง ตัวมีดและด้ามถูกทำขึ้นมาอย่างประณีต ดูด้ามที่สลักด้วยงาช้างนี่สิครับมีอักษรภาษาอังกฤษเล็ก ๆ สลักเอาไว้ว่าเมด อิน ออสเตรเลียเสียด้วยแต่เราอย่าไปสนใจเรื่องนั้นเลยครับ มาว่าถึงรอยนิ้วมือบนมีดกันดีกว่าบนรอยมีดปรากฏรอยนิ้วมือของคนอยู่สามคน คนหนึ่งคือรอยนิ้วมือของผู้ตายเอง คนที่สองคือชายที่ชื่อสิทธิเดช จันทร์เทืองผมได้ตรวจสอบไปยังกองประวัติแล้วพบว่าไม่เคยมีคดีต้องโทษมาก่อนตอนนี้เรากำลังให้คนตามหาตัวอยู่ ส่วนคนที่สามนั้นเป็นรอยนิ้วมือของนางสาวกัลยา พุ่มประสิทธิ์วงษ์ตรวจสอบแล้วไม่เคยมีคดีต้องโทษเช่นกัน”
ทันทีที่น้องฟ้าได้ยินชื่อของกัลยาร่างเธอก็สะท้านขึ้นคราวหนึ่งก่อนสงบนิ่งดังเดิม
“กัลยาเป็นคนที่พบศพเป็นคนแรกเพราะฉะนั้นก็เป็นไปได้ว่าการที่รอยนิ้วมือของเธอไปปรากฏอยู่บนมีดนั้นเป็นเพราะตอนที่ศพล้มลงมาทับเธอมือของเธออาจจะโดนด้ามมีดโดยบังเอิญก็ได้”พี่ติที่นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วออกความเห็น ซึ่งผมเองก็เห็นว่าเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน จะเห็นได้ว่าในตอนที่เธอพยายามจะผลักศพให้พ้นไปจากตัวนั้นมือของเธอคลำสะเปะสะปะไม่หยุดเพราะฉะนั้นในเรื่องที่ว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยจึงใช้ไม่ได้อีกทั้งในตอนที่เธอให้ปากคำก็ไม่มีพิรุธอะไรปรากฏให้เห็น ในตอนนี้ประเด็นความสนใจของเราจึงพุ่งเป้าไปที่ชายที่ชื่อสิทธิเดชนั้น เขาเป็นกุญแจสำคัญที่น่าจะช่วยเราคลี่คลายปัญหาในข้อนี้ได้ ในตอนนี้พวกเราจึงรอแค่เพียงว่าทางตำรวจคงจะตามตัวเขามาได้ในไม่ช้า
ในระหว่างนั้นผมได้เรียกตัวพยานสาวของเรามาสอบปากคำอีกรอบ ทันทีที่ผมถามเธอว่ารู้จักคนชื่อสิทธิเดชหรือเปล่าเธอก็แสดงท่าทางตกใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดเผยออกมาว่า นายสิทธิเดชเป็นหนึ่งในหนุ่ม ๆ ที่มารุมแจกขนมจีบให้กับผู้ตาย ซึ่งเป็นคนที่ตามตื้อเธอมากที่สุด ไม่ว่าจะถูกบอกเลิกกี่ครั้งนายคนนี้ก็ยังไม่ยอมเลิกรา จนกระทั่งวันหนึ่งจู่ ๆ นายคนนี้ก็หายหน้าไปซะเฉย ๆ จนกระทั่งชื่อของเขามาปรากฏขึ้นอีกครั้งในวันนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าฆาตกรอาจจะเป็นนายสิทธิเดชก็ได้ เนื่องจากเขาแค้นที่ถูกบอกเลิกหลายครั้งจึงได้ก่อเหตุขึ้น”พี่ติพูดมีเหตุผล ในส่วนของผมแล้วผมก็มีความเอนเอียงไปในทางนี้มากเหมือนกัน เนื่องจากคำบอกเล่าของกัลยา เธอบอกว่าก่อนที่ผู้ตายจะขอตัวไปห้องน้ำเห็นเธอคุยโทรศัพท์อย่างเคร่งเครียดการอาจจะกลายเป็นว่า นายสิทธิเดชคนนี้ได้โทรเข้ามานัดคุยปัญหากับผู้ตาย โดยบอกผู้ตายว่าตนรออยู่ที่ชั้นล๊อบบี้ของโรงแรมให้เธอลงไปหาหน่อย เมื่อผู้ตายลงไปพบจึงพากันเข้าไปคุยในลิฟต์ คาดว่าคงจะเคลียร์ปัญหากันไม่ได้นายสิทธิเดชจึงเกิดบันดาลโทสะใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้ตาย โดยจับหัวเธอกระแทกเข้ากับลิฟต์จนเกิดรอยบุบอย่างที่เห็น จากนั้นจึงใช้มีดที่เตรียมมาแทงผู้ตายจนเสียชีวิตก่อนจะหลบหนีออกไป เมื่อกัลยาซึ่งเป็นพยานของเรากดเรียกลิฟต์จากชั้น 1 มาที่ชั้น 6 เธอจึงกลายเป็นคนพบศพคนแรกผมได้เสนอความคิดนี้ออกไปทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง มีแต่น้องฟ้าของผมเท่านั้นที่นิ่งเงียบไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆดูเหมือนว่าเธอกำลังจะใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่
“ในที่เกิดเหตุไม่พบโทรศัพท์ของผู้ตายตกอยู่เลยใช่ไหมครับ”ผมถามขึ้นในข้อที่ยังคาใจผมอยู่
“ไม่พบเลยครับ เราตรวจจนทั่วแล้ว โทรเข้าเบอร์โทรของเธอที่ได้มาจากผู้จัดการก็ไม่ติดเลยครับ”จ่าสมบูรณ์ตอบ
“อืมน่าเสียดายนะ ถ้าหากว่ามีมือถือของเธอเราอาจจะตรวจสอบได้ว่าสายสุดท้ายที่เธอคุยเป็นใครกันแน่...เอาละจ่าถ้าอย่างนั้นคุณช่วยไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงแรมให้ผมทีว่ามีบุคคลน่าสงสัยเข้ามาที่นี่ในช่วงเวลาสองทุ่มถึงสามทุ่มครึ่งของวันนี้หรือเปล่า”การตรวจสอบกล้องวงจรปิดอาจจะช่วยให้เราหาตัวผู้ต้องสงสัยได้ง่ายขึ้น มีหลายคดีที่กล้องวงจรปิดมีส่วนช่วยอย่างมากในการสืบสวนสอบสวน อย่างเช่นในกรณีของวันนี้ หากคำบอกเล่าของพยานของเราเป็นจริง ตามเวลาที่ผู้ตายได้คุยโทรศัพท์อยู่และออกไปจากห้องจัดเลี้ยงเป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่า ๆ หากคนร้ายจะลงมือในช่วงเวลาต่อจากนี้อีกไม่กี่นาทีคนร้ายก็ต้องเข้ามาอยู่ในโรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการมองหาผู้ต้องสงสัย
จ่าสมบูรณ์รับคำสั่งของผมแล้วจึงพาพรรคพวกไปอีกสองคน ในระหว่างนี้น้องฟ้าที่นิ่งเงียบมาสักพักหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นพลางเดินไปที่พยานของเราที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องจัดเลี้ยง
“นั่นน้องฟ้าจะไปไหนครับ”ผมถาม
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฟ้าแค่อยากจะไปปลอบใจน้องเค้าเฉย ๆ ดูท่าทางน้องเค้าคงจะขวัญเสียมากทีเดียวนะคะนั่นนะ”เธอตอบ ผมจึงพยักหน้ารับเบา ๆ น้องฟ้าเป็นคนจิตใจดีอย่างนี้เสมอ ทุก ๆ ครั้งที่เธอเห็นคนอื่นมีเรื่องทุกข์ใจเธอมักจะเข้าไปให้กำลังใจและปลุกปลอบอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราไปนั่งกันอยู่ที่สวนหลวง ร.9 น้องฟ้าของผมสังเกตเห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างสระน้ำเป็นเวลานาน เธอเองก็สะกิดให้ผมดูหลายครั้งและบอกว่าเด็กสาวคนนี้ท่าทางคงจะมีเรื่องทุกข์ใจอะไรสักอย่าง แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเด็กสาวคนนั้นถอยหลังห่างออกจากสระน้ำไปหลายก้าวก่อนจะวิ่งเข้าไปใหม่อีกครั้ง เด็กสาวคนนั้นกำลังจะพุ่งหลาวลงไปในสระน้ำอยู่แล้วดีที่น้องฟ้ารีบลุกขึ้นและวิ่งไปรวบเอวเธอไว้ได้ทัน เด็กคนนั้นร้องให้ฟูมฟายยกใหญ่บอกว่าอยากจะจบชีวิตของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมกับน้องฟ้าต้องปลุกปลอบกันอยู่สักพักเด็กคนนั้นจึงยอมสงบลงและเล่าให้เราฟังว่า เธอตั้งท้องกับเพื่อนหนุ่มของตัวเองแต่เพื่อนคนนั้นกลับไม่รับผิดชอบ ทำให้เธอเครียดมากจนอยากจะฆ่าตัวตายน้องฟ้าใช้คำพูดอยู่สองสามคำเตือนสติเด็กสาวคนนั้น จนในที่สุดเด็กสาวคนนั้นก็ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายแล้วหันมาขอบคุณเรายกใหญ่ เหตุการณ์ในวันนั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของผมเสมอ ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นผมมักจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และนึกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้คนอย่างน้องฟ้ามาเป็นคู่ชีวิต
น้องฟ้าเดินเข้านั่งลงตรงข้ามกับกัลยาพลางเอื้อมมือไปแตะไหล่เธอเบา ๆ“น้องไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมค่ะ”
กัลยาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับน้องฟ้าด้วยขอบตาแดงก่ำก่อนจะฝืนยิ้มออกมา“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ทำใจให้สบายเถอะนะค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกอีกไม่นานพวกตำรวจก็ต้องจับคนร้ายได้แน่”
“ขอบคุณค่ะ คุณเป็นเจ้าสาวในงานนี้เหรอค่ะ”พยานของเราถาม
“จ๊ะ เจ้าบ่าวของพี่คือคนโน้น”น้องฟ้าว่าพลางชี้มือมาทางผม ผมจึงได้แต่โบกมือทักทายตอบกลับไป
“ต้องขอโทษด้วยนะค่ะที่ทำให้งานของพวกคุณต้องวุ่นวายไปหมด”
“อุ๊ย ไม่ต้องขอโทษหรอกจ๊ะ น้องไม่ได้เป็นคนก่อเรื่องขึ้นนี้ ใช่ไหมจ๊ะ”น้องฟ้าจ้องหน้ากัลยาตรง ๆ พยานสาวของเราหลบสายตาน้องฟ้าวูบหนึ่งก่อนจะก้มหน้าพูดออกมาว่า
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ หนูต้องขอโทษจริง ๆ ไม่น่าเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นในงานมงคลเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดนั่นแหละจ๊ะ บังคับกันได้ที่ไหน...อุ๊ย ผมน้องสวยจังเลย พี่ขอจับได้ไหมจ๊ะ”จู่ ๆ น้องฟ้าก็เปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน ด้านกัลยาพยานของเราเมื่อโดนชมต่อหน้าก็แสดงอาการเขินอายเล็กน้อยพลางลูบที่ผมของตัวเองเบา ๆ
โดยไม่รอฟังคำตอบน้องฟ้าของผมก็ลุกพรวดขึ้นก่อนจะเดินอ้อมไปด้านหลังของกัลยาพลางยกมือลูบผมของเธออย่างแผ่วเบา“นุ่มจังเลยนะคะ ทำผมที่ร้านไหนมาเหรอ”น้องฟ้าชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ดูท่าทางพยานของเราคงจะหายเครียดบ้างแล้วจึงตอบชื่อร้านออกไป หัวข้อสนทนาต่อจากนี้ไปจึงเป็นเรื่องของความสวยความงามซะเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผิวพรรณหรือรูปร่างหน้าตาพวกเธอก็คุยกันได้อย่างออกรสออกชาติผมเองจึงละสายตามาจากพวกเธอแล้วหันมาสนใจกับปัญหาตรงหน้าต่อ
จากการตรวจสอบกับผู้จัดการของโรงแรมก็พบว่าเธอเคยเห็นนายสิทธิเดชมาตามตื้อผู้ตายอยู่บ่อยครั้งแต่เธอไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับนายสิทธิเดชคนนี้มากนัก รู้แค่ว่านายคนนี้เป็นคนหน้าตาดี ท่าทางดูเรียบร้อยไม่มีพิษมีภัยอะไร
“ออกจะเป็นคนน่ารักด้วยซ้ำค่ะ ดิฉันเองก็เคยคุยกับเขาอยู่สองสามครั้งแต่ไม่ได้ถามถึงรายละเอียดในตัวเขา”ผู้จัดการสาวให้ข้อมูลเรา
“คนน่ารักอย่างนั้นเหรอครับ?”
“ค่ะ คำพูดคำจาก็ดูดีไปหมดมิหนำซ้ำยังให้เกียรติพุทธิดามากด้วย ไม่เคยล่วงเกินอะไรเลย”
“ถึงแม้ผู้ตายจะแสดงท่าทีรังเกียจก็ตามเหรอครับ”
“ค่ะ แต่ดิฉันก็เห็นเขายังคงตามตื้อไม่เลิก จนกระทั่งวันหนึ่งจู่ ๆ เขาก็หายไปซะเฉย ๆ สงสัยคงจะถอดใจน่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรอกเหรอครับ”
“อ้อ อีกอย่างหนึ่งค่ะ”ผู้จัดการสาวทำท่าทางเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้“นายคนนี้ก็ดูท่าทางสนิทสนมกับกัลยาดีนะคะ เหมือนรู้จักกันมานานแล้วเลย”
“รู้จักกับกัลยา พยานของเราน่ะเหรอครับ”ผมถาม
“ค่ะ แต่ดิฉันคิดว่าคงเป็นเพราะนายคนนี้ต้องการให้กัลยาเป็นแม่สื่อให้ในการจีบพุทธิดามากกว่าจึงทำให้ทั้งสองสนิทสนมกัน คิดว่าคงไม่มีอะไรไปมากกว่านี้หรอกค่ะ”
“อืม”ผมพยักหน้ารับ แปลกที่พยานของเราไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเราเลยหรือจะเป็นเพราะในตอนนั้นเธอตื่นเต้นอยู่จึงลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป ผมนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่สักพักจ่าสมบูรณ์ที่ลงไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามคำสั่งผมก็กลับมาพร้อมกับแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ
“หมวดครับผมคิดว่าเราเจอตัวผู้ต้องสงสัยแล้วละครับ”จ่าสมบูรณ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นแผ่นซีดีให้ผม
ผมตบบ่าเขาด้วยความดีใจ“ดีมากจ่า เรามาดูกันเถอะว่ามีอะไรอยู่ในนี้บ้าง”หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีพวกเราทั้งหมดก็มานั่งรวมกลุ่มกันอยู่หน้าจอโปรเจ็คเตอร์ขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนหลังเวที ความจริงแล้วจอนี้มีไว้สำหรับฉายภาพของผมกับน้องฟ้าในช่วงเวลาที่ผ่าน ๆ มามากกว่าแต่นึกไม่ถึงว่ามันจะกลายมาเป็นจอภาพที่พวกเรากำลังจะใช้ชี้ตัวคนร้ายด้วยกัน
หลังจากที่จ่าสมบูรณ์จัดการต่อจอภาพเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็จัดการดึงภาพขึ้นจอใหญ่ทันที
บนจอปรากฏภาพห้องโถงบริเวณล๊อบบี้ของโรงแรมที่มุมบนขวาของจอภาพบอกเวลาไว้ว่าเป็นเวลาสองทุ่มห้าสิบแปดนาที ผมจ้องมองทางเข้าของโรงแรมด้วยใจจดใจจ่อ สักพักหนึ่งจึงปรากฏภาพผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในล๊อบบี้ของโรงแรม เขาเป็นคนร่างสูงโปร่งมองเห็นได้ราง ๆ ว่าสวมแว่นสายตากรอบสี่เหลี่ยม สวมชุดสูทสากลดูเรียบร้อยภูมิฐาน มือข้างหนึ่งยกขึ้นไว้แนบหูลักษณะเหมือนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แต่ในตอนนั้นผมไม่สามารถสังเกตสีหน้าของเขาออกได้เลยเนื่องจากคุณภาพของกล้องวงจรปิดยังไม่ดีพอ
“นี่แหละค่ะ ผู้ชายคนนี้แหละนายสิทธิเดชละ”จู่ ๆ ผู้จัดการสาวของโรงแรมก็โพล่งขึ้นมา ทุกคนส่งเสียงฮือฮาในลำคอ ผมในฐานะที่เป็นเจ้าของคดีจึงหันหน้าไปมองกัลยาพยานของเราเป็นเชิงถามว่า ใช่คนนี้หรือเปล่าที่ชื่อสิทธิเดชซึ่งเธอก็พยักหน้าตอบช้า ๆ เมื่อแน่ใจดังนี้แล้วผมจึงหันไปมองที่หน้าจอต่อ
ผู้ชายคนนั้นหรือนายสิทธิเดชเดินคุยโทรศัพท์อยู่บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรมสักพัก สังเกตจากท่าทางแล้วดูเหมือนว่าเขาจะกระวนกระวายน่าดู เวลาที่มุมหน้าจอบอกว่าเป็นเวลาสามทุ่มกับอีกหนึ่งนาทีแล้ว จู่ ๆ นายสิทธิเดชก็กระโดดดีใจจนตัวลอยพลางวิ่งไปที่หน้าลิฟต์ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นมุมกล้องก็เปลี่ยนไปเป็นกล้องอีกตัวหนึ่ง เป็นกล้องหมายเลขสองที่ติดตั้งอยู่ที่หน้าลิฟต์ ชายที่ชื่อสิทธิเดชกดลิฟต์ย้ำ ๆ ด้วยความรีบร้อนก่อนจะสำรวจดูความเรียบร้อยของตัวเอง ผมมองไปที่นาฬิกาที่มุมขวาบนของจอภาพ สามทุ่มสามนาที นั่นเป็นเวลาที่พยานของเราบอกว่าผู้ตายได้ขอตัวออกไปจากห้องจัดเลี้ยงพอดี ซึ่งตรงกับเวลาตรงหน้าจอนี้ นั่นก็แสดงว่าผู้ตายได้ลงมาหานายสิทธิเดชคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ช่วงวินาทีสำคัญกำลังจะมาถึง ถ้าเมื่อไหร่ที่ชายคนนี้ก้าวเข้าไปในลิฟต์ กล้องที่อยู่ในลิฟต์คงจะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้นและคดีนี้ของเราคงจะปิดลงอย่างสมบูรณ์เสียทีแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดไว้เสมอไป เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกกล้องที่อยู่หน้าลิฟต์ก็จับให้เห็นภาพว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในลิฟต์นั้น นางสาวพุทธิดา ผู้ตายนั่นเองชายที่ชื่อสิทธิเดชกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจพลางก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปในลิฟต์แต่ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลงก็มีชายหญิงคู่หนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในลิฟต์ด้วยหลังจากนั้นประตูลิฟต์จึงปิดลงอย่างสนิท
ตอนนี้ทุกคนกำลังใจจดใจจ่อกับสิ่งที่กล้องตัวที่ฝังอยู่ในลิฟต์จะบอกทุกอย่างแก่เรา...แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่จอสีฟ้าเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโปรเจ็คเตอร์ของเรา
“เกิดอะไรขึ้นจ่า ทำไมภาพไม่ขึ้นมาสักทีเล่า”ผมพูดอย่างหัวเสีย คนอื่น ๆ ก็หัวเสียไม่แพ้กัน ในวินาทีสำคัญแบบนี้หากมีสิ่งเร้าเพียงน้อยนิดก็อาจจะทำให้อารมณ์ของทุกคนระเบิดขึ้นมาได้ง่าย ๆ
“นี่แหละครับคือปัญหาของเรา”จ่าสมบูรณ์ตอบอย่างหมดอารมณ์“เจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคบอกว่ากล้องตัวนี้เสียมาหลายวันแล้วและยังดำเนินการซ่อมไม่เสร็จครับ”
“อะไรกัน!เป็นไปได้ยังไงกำลังจะได้รู้ทุกอย่างอยู่แล้วเชียว”ด้วยความที่ผมจดจ่อและคาดหวังกับกล้องตัวนี้มากเกินไปเมื่อมันใช้งานไม่ได้จึงทำให้ผมเผลอตะโกนออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นผมจึงรู้สึกว่ามีมือนุ่ม ๆ มาแตะที่หลังมือของผมเบา ๆ น้องฟ้านั่นเอง
“ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะค่ะ ถึงกล้องจะเสียแต่เรายังมีพยานอยู่ในนั้นอีกตั้งสองคนไม่ใช่เหรอค่ะ”น้องฟ้าเตือนสติผม จริงสินะ ผมลืมข้อนี้ไปเสียสนิทเลย ด้วยความโกรธแท้ ๆ เลยเชียวที่ทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาของผมลดลงไปอย่างมาก
ผมแตะมือน้องฟ้าเป็นเชิงขอบคุณเบา ๆ พลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อให้ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอ
เมื่อผมสงบสติอารมณ์ลงได้บ้างแล้วจึงหันกลับไปสนใจกับภาพที่หน้าจอต่อ จ่าสมบูรณ์ได้แบ่งหน้าจอออกเป็นหกช่องโดยในแต่ละช่องจะเป็นภาพที่ได้จากกล้องตัวที่ฝังอยู่หน้าลิฟต์แต่ละชั้นเพื่อรอดูว่าคนร้ายจะออกมาจากลิฟต์ที่ชั้นไหน พวกเราเฝ้ามองหน้าจออยู่ประมาณนาทีกว่า ๆ ก็พบว่าประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสี่ก่อนที่ชายหญิงคู่นั้นจะเดินออกมาพร้อมกันโดยปราศจากร่างของชายที่ชื่อสิทธิเดชกับผู้ตายเลย ก่อนประตูลิฟต์จะปิดลงชายหญิงคู่นั้นยังได้เหลียวกลับไปมองในลิฟต์อยู่หลายครั้ง จนเกิดข้อสงสัยแก่พวกเราว่าชายหญิงคู่นั้นเห็นอะไรกันแน่ถึงได้จ้องมองเข้าไปในลิฟต์ตั้งหลายครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นฝ่ายหญิงยังยกมือขึ้นกุมหน้าอกตัวเองอันเป็นท่าทางที่แสดงออกความตกใจอย่างเห็นได้ชัด ประตูลิฟต์ปิดลงอีกครั้งและความเงียบก็แผ่เข้ามาปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
เวลาผ่านไปหลายนาที ที่มุมขวาบนบอกเวลาไว้ว่าสามทุ่มสิบสองนาที เป็นเวลานี้ที่ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นหนึ่งอีกครั้ง พร้อม ๆ กับภาพของนายสิทธิเดชเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยสภาพตอตกแขนแนบลำตัว ท่าทางการเดินก็เหมือนคนที่ไร้เรี่ยวแรง ผมมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นท่าทางของคนที่หมดหวังอย่างสิ้นเชิงเขาเดินคอตกออกจากโรงแรมไป
ผมพยายามเพ่งมองเข้าไปในลิฟต์เท่าที่กล้องตัวนั้นจะช่วยผมได้ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของผู้ตายอยู่ในลิฟต์เลยภายในลิฟต์ว่างเปล่า อาจเป็นไปได้ว่าผู้ตายคงจะอยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่งของลิฟต์ที่กล้องตัวนี้ส่องไปไม่ถึง
“เดี๋ยวค่ะ ช่วยหยุดภาพลิฟต์ตอนที่ประตูเปิดไว้ให้หน่อยได้ไหมค่ะ”จู่ ๆ น้องฟ้าก็พูดขึ้นอีกครั้ง
จ่าสมบูรณ์แสดงท่าทางงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตาม“ตรงนี้ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ ตรงนั้นแหละ หยุดค่ะ”น้องฟ้าจ้องมองเข้าไปภายในลิฟต์ตรงที่ภาพหยุดไว้อย่างตั้งใจ“แค่นี้แหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”เธอพูดก่อนจะปล่อยท่าทางตามสบายเหมือนเดิม
ทุกคนออกจะงง ๆ กับการกระทำของน้องฟ้าอยู่แต่ในช่วงเวลานั้นก็ไม่ใคร่มีใครสนใจมากนักเนื่องจากทุกคนมัวจดจ่ออยู่กับรูปคดีมากเกินไป แม้แต่ผมเองก็ไม่ทันได้ใส่ใจด้วยซ้ำ
“ถ้าอย่างนั้นเรามารอดูภาพตอนที่คุณกัลยาพบศพกันเถอะ บางทีอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง”พี่ติพูดขึ้น
จ่าสมบูรณ์รับคำอย่างแข็งขัน“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมคิดว่าต่อจากนี้ไปแล้วคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉะนั้นผมจึงขอกรอภาพไปตอนที่คุณกัลยาพบศพเลยแล้วกันนะครับ”
“เชิญ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลยนะครับ”จ่าสมบูรณ์ว่าพลางดึงภาพจากกล้องหน้าลิฟต์ชั้นหกขึ้นจอใหญ่พลางกรอภาพไปที่เวลาที่พยานของเราอ้างว่าพบศพคือเวลาประมาณสามทุ่มกว่า ๆ ถ้าจะระบุให้แน่นอนก็น่าจะเป็นเวลาสามทุ่มสิบห้านาทีบวกลบไม่เกินนั้น
ทุกคนตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับภาพจนลืมสนใจคนข้าง ๆ ไป เวลาสามทุ่มสิบห้านาทีปรากฏภาพของกัลยาพยานของเราเดินออกมาจากห้องเก็บของข้าง ๆ ห้องจัดเลี้ยงนี้ เธอเดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าลิฟต์ พลางกดเรียกลิฟต์ก่อนจะยืนรอด้วยท่าทางที่เป็นปรกติ เวลาผ่านไปราว ๆ ครึ่งนาทีหรือมากกว่านั้น ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทุกคนแทบกลั้นหายใจพลางจ้องที่จออย่างไม่กระพริบตา แต่ทว่าเวลานั้นจู่ ๆ ไฟในห้องดับพรึบ!ลง ห้องทั้งห้องมืดสนิทจนมองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง
“อะไรกัน ไฟดับเหรอ”
“ไฟดับแน่ ๆ เลย”
“มาดับอะไรเอาตอนนี้นะ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลยเชียว”เสียงเอะอะโวยวายดังระงมไปหมด
“ไฟสำรองละใช้ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้เลยค่ะ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน”ผมจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของผู้จัดการโรงแรมที่นี่
“ชั้นอื่น ๆ ดับหมดหรือเปล่านะ”
“ไม่ทราบค่ะ ห้องนี้มืดมากจะเดินออกไปดูคงไม่ได้หรอกค่ะ”
เราเอะอะโวยวายอยู่ในความมืดประมาณนาทีกว่า ๆ จู่ ๆ ก็มีเสียงคนร้องพร้อมกับเสียงข้าวของกระจัดกระจายขึ้น“ว้าย!ตายแล้ว มีคนเดินชนฉันค่ะ”เสียงของกัลยาพยานของเรานั่นเอง
“คุณอยู่ไหนน่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า”พี่ติพูดขึ้นก่อนจะมีแสงสว่างวาบขึ้นในมือของเขา เป็นแสงจากโทรศัพท์มือถือนั่นเอง
“ตรงนี้ค่ะ”เสียงพยานของเราร้อง ถึงตอนนี้สายตาของผมเริ่มชินกับความมืดแล้วจึงพอมองเห็นราง ๆ ว่าพยานของเรานั่งอยู่กับพื้น ที่ข้าง ๆ มีเก้าอี้ตัวหนึ่งล้มอยู่
“ผู้จัดการสวิทช์ไฟอยู่ตรงไหน ช่วยไปดูทีสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น”เสียงของสารวัตรเอกชัยดังขึ้น
“ค่ะสวิทช์ไฟของห้องนี้น่าจะอยู่ที่ห้องเก็บของข้าง ๆ นี่เองค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปดูให้เดี๋ยวนี้แหละ”ผู้จัดการสาวพูดขึ้นพลางเดินคลำทางไปยังประตูหน้า สายตาของเธอคงจะเริ่มชินกับความมืดบ้างแล้วจึงไม่เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ เมื่อเธอเปิดประตูออกก็มีแสงลอดเข้ามาจากช่องประตูนั้น
“เอ๊ะ!นั่นแสงไฟเหรอ”ใครคนหนึ่งพูดขึ้น
“นั่นก็แสดงว่าไฟดับเฉพาะห้องนี้งั้นเหรอ”จ่าสมบูรณ์พูด
“นั่นสินะ เป็นไปได้ยังไงกัน”
“บางทีไฟสำรองอาจจะทำงานเฉพาะข้างนอกก็ได้นะ”
“นั่นสิ มีความเป็นไปได้มากทีเดียว”
พวกเราออกความเห็นกันอยู่สักพัก ไฟในห้องก็สว่างขึ้น แล้วผู้จัดการสาวก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในห้อง“ส...สวิทช์ไฟของห้องนี้ถูกโยกลงค่ะ”
“หา!ว่าไงนะ”พวกเราทั้งหมดอุทานพร้อมกัน
“โอ๊ะ!ตายแล้วคอมฯผม”จู่ ๆ จ่าสมบูรณ์ก็ร้องอุทานออกมา พวกเราหันพรึบไปมองทันที ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือ เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของจ่าสมบูรณ์ร่วงลงมาจากโต๊ะ จอแอลซีดีดับและมีรอยร้าวช่องใส่ซีดีเปิดอ้าออกและที่สำคัญไม่มีซีดีบันทึกภาพกล้องวงจรปิดอยู่ในนั้น!
“อะไรกัน มันหายไปได้ไง”ผมพูดขึ้น
“ต้องเป็นคนที่วิ่งชนฉันเมื่อสักครู่นี้แน่ ๆ เลยค่ะ”กัลยาพยานของเราพูดขึ้น เธอถูกประคองให้ลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
ทุก ๆ คนหันไปมองหน้าเธอ“เกิดอะไรขึ้น?”ผมถาม
“เมื่อสักครู่นี้ตอนไฟดับจู่ ๆ ฉันก็รู้สึกว่ามีคนเดินผ่านข้างหลังฉันไปค่ะ ฉันสงสัยจึงค่อย ๆ คลำทางไปตอนนั้นสายตาฉันเริ่มชินกับความมืดบ้างแล้วจึงพอมองราง ๆเห็นว่าคน ๆ นั้นเป็นผู้หญิง ฉันเห็นเธอขลุกขลักอยู่กับคอมพิวเตอร์ของคุณตำรวจฉันจึงเอื้อมมือไปพยายามจะแตะเธอคนนั้นแต่ดูเหมือนเธอจะรู้ตัวคะ เธอจึงวิ่งชนฉันอย่างแรงแล้วก็วิ่งหายออกไปเลย”
“เป็นคนร้ายอย่างนั้นเหรอ”ผู้จัดการสาวถามขึ้น
“ใช่...ต้องใช่แน่ ๆ ต้องเป็นคนร้ายแน่”กัลยาพูด“คนร้ายต้องการจะเก็บหลักฐานที่มัดตัวมันเองไว้มันจึงดับไฟในห้องนี้แล้วค่อย ๆ ย่องเข้ามาเอาแผ่นซีดีไป”
“แต่ว่าในห้องมืด ๆ อย่างนี้คนร้ายจะมองเห็นได้ยังไง”พี่ติพูด
“นั่นสิ แล้วอีกอย่างคนร้ายรู้ได้อย่างไรว่า เราเปิดซีดีอยู่ในห้องนี้”คราวนี้เป็นสารวัตรเอกชัยพูดขึ้นบ้าง
“ยังมีเรื่องของสวิทช์ไฟด้วย คนร้ายรู้ได้อย่างไรว่าสวิทช์ไฟของห้องนี้อยู่ตรงไหน ถ้าเป็นคนนอกย่อมไม่มีทางรู้แน่ ๆ”ผมพูดขึ้น
“หรือว่าคนร้ายจะเป็นคนในโรงแรมนี้หรือเปล่าครับหมวด”จ่าสมบูรณ์พูดกับผม
“มีความเป็นไปได้ คุณบอกว่าคนร้ายเป็นผู้หญิงใช่ไหมครับ...ถ้าอย่างนั้นคดีนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าคนร้ายอาจจะอิจฉาในความสวยของผู้ตายจึงวางแผนฆ่าเธอซะ...หรือทุกคนเห็นว่าไงครับ”ผมออกความเห็น
“แต่ว่า แค่ความอิจฉาแค่นี้ถึงกับต้องฆ่ากันเลยเหรอค่ะ”พยานปากเอกของเราพูดขึ้น“อีกอย่าง ยัยดาก็ไม่ใช่คนที่โอ้อวดความสวยของตัวเองให้คนอื่นหมั่นไส้ด้วย”
“ก็อาจจะใช่ครับ แต่บางทีมันอาจจะมีเบื้องหลังอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่านั้นอยู่ก็ได้ เรื่องนี้เรายังไม่รู้หรอกครับจนกว่าจะจับคนร้ายได้”
“อืมคนร้ายปิดสวิทช์ไฟจากข้างนอก แล้ววิ่งเข้ามาเอาแผ่นซีดีในห้องไป เป็นผู้หญิง ถ้าไม่ใช่พนักงานของโรงแรมนี้ที่คุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดีก็คงไม่มีใครอื่นอีกแล้วละ จ่าสมบูรณ์ คุณไปนำตัวพนักงานหญิงของโรงแรมนี้ที่เข้าข่ายต้องสงสัยเข้ามาสอบปากคำที”พี่ติพยายามวิเคราะห์ปัญหาและออกคำสั่งกับจ่าสมบูรณ์ทันที
“ครับผู้กอง”จ่าสมบูรณ์รับคำแล้วผละจากไป
“คุณตำรวจค่ะ แล้วผู้ชายที่ชื่อสิทธิเดชนั่นละ”ผู้จัดการสาวถามขึ้นดูท่าทางเธอกังวลอยู่ไม่น้อย
“นั่นสิ ถ้าหากว่าคุณกัลยาบอกว่าคนที่เข้ามาขโมยแผ่นซีดีไปเป็นผู้หญิง แล้วนายสิทธิเดชคนนี้จะมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยนะ”สารวัตรเอกชัยทำท่าครุ่นคิด
“สารวัตรครับ หรือว่าทั้งสองคนจะร่วมมือกัน บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นคนที่แอบหลงรักนายสิทธิเดชอยู่ก็ได้ เมื่อนายสิทธิเดชไหว้วานให้เธอร่วมมือด้วยเธอจึงยอมตกลงง่าย ๆ บางทีในแผ่นซีดีอาจจะมีหลักฐานที่มัดตัวเธออยู่ก็ได้เพราะว่าพวกเราเองก็ยังดูไม่หมดไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าอย่างนั้นคนร้ายจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเปิดซีดีอยู่ในห้องนี้”สารวัตรเอกชัยพูด
“เรื่องนี้เห็นจะเดาได้ไม่ยากครับ เนื่องจากห้องจัดเลี้ยงนี้เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น เพราะฉะนั้นคนร้ายก็อาจจะรู้ว่าเราต้องทำการสืบสวนเบื้องต้นที่ห้องนี้แน่ ๆ”พี่ติพูด
“แล้วทำไมคนร้ายถึงเลือกเวลาได้เหมาะเหม็งขนาดนั้นละ เรากำลังจะได้รู้อยู่แล้วเชียวว่าเหตุการณ์ที่พบศพครั้งแรกเป็นอย่างไร ไฟก็มาดับไปซะเฉย ๆ”
“เรื่องนั้น บางทีอาจจะเป็นเหตุบังเอิญก็ได้ครับ คนร้ายอาจจะต้องการขโมยซีดีตั้งแต่แรกแล้วจึงลงไปที่ห้องควบคุม แต่ไปช้ากว่าจ่าสมบูรณ์และพบว่าซีดีมีเพียงสำเนาเดียว จึงย้อนกลับมาวางแผนเพื่อขโมยซีดีในห้องนี้แทน”
สารวัตรเอกชัยทำท่าคิดตามคำพูดของพี่ติ“โดยการดับไฟในห้องนี้ แล้วย่องเข้ามาเอาซีดีในความมืด ด้วยความที่คุ้นกับสถานที่อยู่แล้วจึงไม่เป็นปัญหา แต่โชคร้ายที่คุณกัลยารู้ตัว จึงเผลอทำคอมพิวเตอร์ร่วงจากพื้น ด้วยความลนลานจึงวิ่งชนคุณกัลยาแล้ววิ่งหนีหายไป”
“แล้วเรื่องแสงละครับ”ผมพูดขึ้นบ้าง“ก็อย่างที่เห็นกันว่าไฟข้างนอกไม่ได้ดับเลย ถ้าหากว่าคนร้ายเข้ามาขโมยซีดีในห้องนี้จริงก็ต้องเปิดประตูก่อน ทำให้แสงลอดเข้ามา แต่พวกเรากลับไม่เห็นแสงเลย”
“อาจจะเป็นเพราะว่าเรากำลังวุ่นวายกันอยู่ อีกทั้งยังตกอยู่ในความตกใจจึงทำให้ไม่ทันได้สังเกตกันหรือเปล่า”พี่ติตั้งข้อสงสัย แต่ข้อสงสัยนี้ก็ต้องตกไปเมื่อพยานของเราโพล่งขึ้นว่า
“แต่ฉันเห็นค่ะ”ทุกคนหันไปมองหน้าเธอทันที เธอทำท่าอึกอักนิดหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น“เพราะแสงนั่นแหละที่ทำให้ฉันรู้สึกตัวว่ามีคนเดินผ่านหลังฉันไป ในขณะที่ทุกคนเอะอะโวยวายกันอยู่นั้น ฉันกลับตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่งเงียบไป หางตาจึงสังเกตเห็นแสงที่ลอดผ่านเข้ามาทางบานประตูเข้า ในตอนนั้นแหละฉันจึงได้รู้ว่ามีคนเข้ามาในห้องนี้เข้า”
“อย่างนั้นหรอกเหรอ...ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคนร้ายต้องเป็นพนักงานในโรงแรมนี้จริง ๆ นะซิ”พี่ติลงความเห็น ส่วนผมก็ได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เนื่องจากดูตามรูปการแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวว่าจะเป็นอย่างที่พี่ติกับสารวัตรเอกชัยถกเถียงกัน ตอนนี้รูปคดีจึงกลายเป็นว่ามีผู้ต้องสงสัยเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งผมจึงลองเรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาใหม่ดู เรียงตามลำดับเวลาได้ดังนี้
เวลา 20.58 น. นายสิทธิเดชเดินทางเข้ามาในโรงแรมเพื่อที่จะนัดคุยปัญหากับพุทธิดาผู้ตาย
เวลา 21.01 น. นางสาวพุทธิดาผู้ตายยอมลงมาคุยกับนายสิทธิเดช (สังเกตได้จากท่าทางดีใจของนายสิทธิเดช)
เวลา 21.03 น. นางสาวพุทธิดาผู้ตายลงมาถึงชั้นล่างของโรงแรม จากกล้องวงจรปิดที่ส่องให้เห็นพบว่ามีนางสาวพุทธิดาอยู่ในลิฟต์คนเดียว (ผู้ต้องสงสัยผู้หญิงที่ร่วมมือกันยังไม่ปรากฏตัว ผมสันนิษฐานว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะแอบอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของลิฟต์ที่กล้องส่องไปไม่ถึง)
ในเวลาเดียวกัน มีชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งเข้าไปในลิฟต์ด้วย (ทั้งสองคนเป็นพยานอีกคนหนึ่งที่อาจจะช่วยเราได้ ผมได้สั่งให้ลูกน้องไปตามมาสอบปากคำแล้ว)
ประมาณนาทีกว่า ๆ หลังจากนั้น ชายหญิงคู่นั้นก็ออกจากลิฟต์ที่ชั้น 4 ด้วยท่าทางที่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านไปหลายนาที ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเวลา 21.12 น. ลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นหนึ่งของโรงแรม นายสิทธิเดชเดินออกมาคนเดียว ด้วยสภาพเซื่องซึม (มองไม่เห็นผู้ตายอยู่ในลิฟต์แล้ว ผู้ต้องสงสัยที่เป็นผู้หญิงก็ยังไม่ปรากฏตัวเช่นกัน)
เวลา 21.15 พวกเรารอดูภาพจากกล้องวงปิดในตอนที่กัลยาพบศพครั้งแรก แต่จู่ ๆ ไฟก็ดับลง เกิดความโกลาหลวุ่นวายกันไปหมด (ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาที ผมได้ประสานงานไปยังตำรวจท้องที่ให้สกัดจับนายสิทธิเดชที่ออกจากโรงแรมไปแล้ว)
ช่วงเวลาที่ไฟดับแผ่นซีดีถูกขโมย กัลยาโดนชนจนล้มโดยผู้ต้องสงสัยที่เธออ้างว่าเป็นผู้หญิง (ส่วนเรื่องตอนที่หลังจากพบศพแล้วนั้นผมขอข้ามไปไม่พูดถึง เพราะได้บรรยายไว้แล้ว)
นี่คือการเรียบเรียงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเท่าที่ผมรวบรวมได้ จะเห็นได้ว่า เราไม่พบผู้ต้องสงสัยเป็นผู้หญิงอยู่ในฉากเลย ดังนั้นจึงทำให้คดีนี้ซับซ้อนขึ้นไปอีก ผู้ต้องสงสัยอีกคนเป็นใครกันแน่ และทำไมถึงทำตัวได้ลึกลับขนาดนี้...ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นจู่ ๆ ประตูห้องจัดเลี้ยงก็เปิดออก ตำรวจในเครื่องแบบนายหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู
“เราจับผู้ต้องสงสัยได้แล้วครับ”เขาพูดทุกคนลุกขึ้นทันที“รีบพาเข้ามา”ผมพูด ไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ถูกพาตัวเข้ามาในห้อง ในสภาพถูกใส่กุญแจมือไขว้หลัง ใบหน้าบ่งบอกถึงความตกใจระคนสงสัย
“โอ๊ะ!นั่นนายสิทธิเดชนี่”ผู้จัดการสาวของโรงแรมอุทานด้วยความตกใจ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เจ้าหน้าที่จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ผมส่งลงไปให้นำตัวหนุ่มสาวสองคนที่ปรากฏตัวอยู่ในกล้องวงจรปิดก็มาถึงพอดี เขานำตัวหนุ่มสาวสองคนที่ว่านี้มาด้วย ทันทีที่ทั้งสองพบหน้านายสิทธิเดชก็แสดงอาการตกใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สักพักหนึ่งสีหน้านั้นก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ส่วนกัลยาพยานของเรานั้นเมื่อเห็นหน้านายสิทธิเดชผู้ต้องสงสัยคนสำคัญแล้ว เธอก็ได้แต่ทำท่าทางกระอึกกระอักทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่งก่อนจะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอีก
นายสิทธิเดชเมื่อก้าวเข้ามาในห้องเขาก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความแปลกใจ พลันที่สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ศพของพุทธิดาที่วางอยู่กับพื้น ร่างของเขาถึงกับทรุดฮวบลงพลางปล่อยโฮออกมาโดยไม่อายใคร เขานั่งทิ้งตัวอยู่ที่ข้าง ๆ ศพก่อนจะละล่ำละลักพูดออกมาว่า
“ดา...ไม่จริง ใครทำอะไรเธอ...ไม่จริง ต้องไม่เป็นแบบนี้”เขาร้องไห้ฟูมฟาย“พวกคุณเป็นใครกัน พวกคุณทำอะไรดา พวกคุณฆ่าเขาใช่ไหม”เขายังร้องไม่หยุดและพยายามดิ้นให้หลุดจากกุญแจมือที่ถูกใส่ไขว้หลังไว้อยู่ จนกุญแจมือบาดเข้าไปในแขนเป็นรอยเลือดซิบ ๆ
“หยุดเล่นละครตบตาสักทีเถอะน่า นายสิทธิเดช”พี่ติพูดขึ้นพลางคุกเข่าลงจ้องหน้าผู้ต้องสงสัยของเราตรง ๆ นายสิทธิเดชก็จ้องหน้าพี่ติกลับไปเหมือนกัน เขากัดฟันกรอดก่อนจะตัดสินใจพุ่งกระโจนเข้าหาพี่ติอย่างไม่กลัวเกรง
“เล่นละครอะไรกัน คนที่ผมรักตายไปทั้งคนผมจะยังมีหน้ามาเล่นละครได้เหรอ”เขาโวยวาย พลางพยายามจะโถมเข้าหาพี่ติโดยไม่สนใจกุญแจมือที่บาดข้อแขนของตัวเองอยู่ เดือดร้อนถึงผมต้องช่วยดึงเขาขึ้นมานั่งไว้กับเก้าอี้เพื่อสงบสติอารมณ์ ผมไขกุญแจมือออกให้เขาแล้วเปลี่ยนมาคล้องข้างหนึ่งไว้กับขาโต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ แทน เมื่อมือข้างหนึ่งของเขาเป็นอิสระ เขาก็ยกมันขึ้นมาปิดหน้าพลางส่งเสียงครางในลำคอ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน บอกผมหน่อยเถอะ”เขาพูดด้วยท่าทีอ่อนแรง มีหยดน้ำตาไหลลงมาตามง่ามมือที่ปิดหน้าของเขา พี่ติทำท่าขยับจะพูดอะไรออกมาคำหนึ่งแต่ผมยกมือห้ามปรามไว้ก่อน
“ผมว่าเราพูดกับเขาดี ๆ เถอะครับพี่...”ผมบอกพี่ติเบา ๆ ก่อนจะหันไปทางนายสิทธิเดชต่อ“ก่อนอื่นเลยผมต้องขอโทษด้วยที่พาตัวคุณมาอย่างกะทันหันอย่างนี้ ผมขอแนะนำตัวก่อนก็แล้วกัน ผมมีชื่อว่า ร.ต.ท.ปิยะพงษ์ นามวงษ์ เป็นตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ส่วนที่เหลือทางด้านหลังนั้นเป็นตำรวจในหน่วยเดียวกับผมทั้งหมด”ผมค่อย ๆ ไล่เรียงแนะนำตัวคนอื่น ๆ ให้นายสิทธิเดชได้รู้จัก เขาเพียงแค่เงยหน้ามองผ่าน ๆ เท่านั้นไม่ได้สนใจอะไร ส่วนพยานของเราและพนักงานโรงแรมที่เหลือนั้นผมข้ามไปยังไม่ได้แนะนำตัวเนื่องจากทั้งหมดนั้นนั่งเยื้องออกไปทางด้านหลังของนายสิทธิเดช จึงทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นคนพวกนั้น ปิดท้ายผมแนะนำตัวน้องฟ้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมให้เขาได้รู้จัก“ส่วนนี่คือคุณสิริมา เจ้าสาวของผมเอง วันนี้เป็นวันแต่งงานของผมเอง งานทุกอย่างเกือบจะผ่านไปอย่างราบลื่นแล้วละ ถ้าหากว่าไม่มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นเสียก่อน ก็อย่างที่คุณเห็น ผู้ตายเป็นพนักงานของโรงแรมแห่งนี้ เธอถูกฆาตกรรมเมื่อเวลาประมาณสามทุ่มกว่า ๆ ซึ่งหลักฐานพยานต่าง ๆ ก็ล้วนแล้วแต่บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดในคดีฆาตกรรมครั้งนี้”
พยานของเราส่งเสียงครางในลำคออย่างลืมตัวพลางพูดออกมาว่า“เป็นไปไม่ได้หรอก ดาเป็นคนที่ผมรักมากที่สุด ผมไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่”
“แต่หลักฐานทั้งหมดมันยืนยันว่าอย่างนั้นครับ ผมได้ดูกล้องวงจรปิดของโรงแรมแล้ว พบว่าคุณเป็นคนสุดท้ายที่ติดต่อกับผู้ตายโดยตรง อีกทั้งมีดที่ใช้สังหารผู้ตายก็ปรากฏรอยนิ้วมือของคุณอยู่ด้วย ผมจึงอยากจะขอสอบถามคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้สักนิดหน่อย”
เมื่อได้ยินคำว่า“มีด”นายสิทธิเดชก็สะดุ้งสุดตัวพลางยกมือลูบคลำไปทั่วลักษณะเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่“มีด...มันอยู่ไหนนะ ตายละ ทำตกไว้หรือเปล่านะ”เขาพึมพำอะไรอยู่คนเดียว สักพักหนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมก่อนจะพูดออกมาว่า“เรื่องนี้ผมอธิบายได้ครับคุณตำรวจ แต่ผมรับรองได้เลยว่าผมไม่ได้ฆ่าเธอแน่ เธอเป็นคนที่ผมรักมากซะขนาดนั้น ผมไม่มีทางทำอะไรอย่างนั้นเด็ดขาดเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็พูดมาเถอะ ผมจะรอฟัง”ผมพูด
“อ้อ แล้วอย่าลืมว่าทุกคำพูดของนายมันจะใช้เป็นข้อปรักปรำนายได้นะ”พี่ติพูดขึ้นมาลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
นายสิทธิเดชไม่ได้สนใจคำพูดของพี่ติ เขาเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเปิดปากเล่าเรื่องของตัวเองออกมา“ผมมีชื่อว่า สิทธิเดช จันทร์เทือง ครอบครัวของผมทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมมีกำไรค่อนข้างจะดีอยู่ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าผมเป็นลูกคนรวยคนหนึ่งคงจะไม่ผิดนัก คุณพ่อของผมซื้อรถยนต์ให้ผมขับตั้งแต่จบม.ต้นใหม่ ๆ ดังนั้นพอขึ้นชั้นม.ปลายจึงทำให้มีสาว ๆ มากมายพยายามจะเข้ามาทำความรู้จักกับผม เรียกได้ว่าช่วงนั้นผมควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ากันเลยทีเดียว ถึงแม้จะอยู่แค่ม.ปลายก็เถอะแต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะจริงจังกับใครเลย ที่ผ่านมาผมแค่คบไปเล่น ๆ แก้เหงาเท่านั้น อีกอย่าง ผมก็ดูออกว่าผู้หญิงพวกนั้นรักเงินในกระเป๋าของผมมากกว่า ผู้หญิงทุกคนที่ผมเข้าไปทำความรู้จักมักไม่เคยแสดงท่าทีอิดออดเลยเมื่อผมชวนไปเที่ยวหรือไปทำอะไรอย่างอื่นดังนั้นตลอดช่วงระยะเวลาสามปีที่ผมเรียนอยู่ม.ปลายผมจึงได้แต่เฝ้ามองหาว่าจะมีผู้หญิงสักกี่คนกันที่แสดงท่าทางปฏิเสธผมอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักทีแต่ก็ไม่มีเลยสักคนจนกระทั่งช่วงที่ผมกำลังจะจบม.ปลายคาบเกี่ยวกับช่วงสอบเอ็นทรานส์เข้ามหาลัยผมก็ได้เจอเธอคนนั้น”พูดถึงตรงนี้นายสิทธิเดชก็หยุดพูดนิดหนึ่งพลางเหลียวไปมองศพของน.ส.พุทธิดา ด้วยแววตาปวดร้าว ก่อนจะพูดต่อไปว่า“ดา เธอเป็นนักเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งที่เลือกสนามสอบแข่งขันเอ็นทรานส์ที่เดียวกับผม ยิ่งไปกว่านั้นผมกับเธอยังสอบห้องเดียวกันด้วย แวบแรกที่ผมเห็นเธอนั้น ผมสะดุดตาในความสวยน่ารักของเธอมาก ทั้งผิวที่ขาวนวลเนียน ตากลมโต รูปร่างสูงสมส่วน เรียกได้ว่าเธอตรงสเปกผมทุกอย่างก็ว่าได้ ด้วยความที่เป็นเสือผู้หญิงอยู่แล้ว ผมจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับเธอแต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ปฏิเสธผมทันที โดยไม่สนใจว่าผมจะมีรถขับหรือหน้าตาดีแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นเธอจึงเป็นผู้หญิงที่ประทับใจผมมาก ผมตามไปเช็กประวัติเธอว่า เธอชื่ออะไร เข้าเรียนที่ไหน ด้วยฐานะของผมจึงทำให้ไม่ยากนักในการจ้างนักสืบมาสืบเรื่องพวกนี้ หลังจากที่รู้เรื่องของเธอแล้ว ผมก็ไปตามเทียวไล้เทียวขื่อเธอแทบจะทุกวันนับเป็นเวลาเกือบ ๆ สามปีเห็นจะได้จนเธอยอมตกลงเป็นเพื่อนกับผม เธอมักบอกกับผมว่าระหว่างเราไม่มีทางเป็นได้มากกว่าเพื่อนอยู่แล้ว แต่ถึงเธอจะพูดอย่างนั้นผมก็ไม่เคยท้อ ผมยังคงตามจีบเธอไปเรื่อย ๆ บางครั้งเธอก็ยอมไปไหนมาไหนกับผมบ้างแต่มีข้อแม้ว่าเธอจะต้องพาเพื่อนสนิทของเธออีกคนไปด้วยเสมอ ดังนั้นจึงทำให้เราสามคนเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากที่สุด แต่ผมก็ไม่เคยลืมว่าตัวผมนั้นรักเธอมากแค่ไหนผมเคยบอกความในใจให้เธอรู้หลายครั้งแต่เธอก็ยังคงยืนยันคำเดิมเสมอ ๆ
‘ระหว่างเรามันเป็นได้เพียงแค่เท่านั้นจริง ๆ’เธอบอกผม
‘ทำไมละ ฉันไม่ดีตรงไหนเหรอ ทำไมเธอถึงไม่ยอมรับรักฉันสักที’ผมถามเธอกลับไปบ้าง
‘ฉันรักเธอไม่ได้หรอก ฉันทำไม่ได้จริง ๆ’เธอพูดก่อนจะผละจากผมไปโดยไม่ใยดี ในขณะที่ผมกำลังท้อแท้หมดหวังอยู่นั้น เพื่อนสนิทของเธอก็ได้เดินเข้ามาปลอบผม เธอพูดประโยคที่ผมไม่คาดคิดออกมา
‘ถึงแม้ว่าดาจะรักเธอไม่ได้ ต...แต่ว่า ฉันรักเธอได้นะ ฉันจะรอเธออยู่เสมอ’เธอพูดออกมาในทำนองนี้ทำเอาผมอึ้งไปเลย ความจริงแล้วในช่วงนั้นผมได้ละทิ้งนิสัยเสือผู้หญิงไปหมดแล้วตั้งแต่ได้พบกับพุทธิดา ในใจผมตอนนั้นมีเพียงดาคนเดียวเท่านั้น เมื่อเพื่อนของเธอพูดประโยคนี้ออกมาทำให้ ทำให้อารมณ์ที่ผมอัดอั้นไว้เพราะโดนดาปฏิเสธมาหลายครั้งระเบิดออกมา ผมผลักหน้าอกเธอล้มลงแล้วตะคอกออกไปว่า
‘อย่ามาพูดแบบนี้กับฉันอีกนะ ฉันรักดาเพียงคนเดียวเท่านั้น ชาตินี้ฉันไม่มีวันรักใครได้อีกแล้ว’พอผมพูดจบเธอก็จ้องหน้าผมไม่กระพริบ สักพักหนึ่งเธอก็ลุกขึ้นมาแล้วยิ้มให้กับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพูดออกมาว่า
‘ยายดานะยายดา มีผู้ชายดี ๆ มาหลงรักอย่างนี้ทั้งทีทำเป็นเล่นตัวไปได้’ถึงแม้เธอจะยิ้มไปพูดไปแต่ผมก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของเธอไม่เป็นปรกติเอาเสียเลย น้ำเสียงนั้น แฝงความเยือกเย็นอยู่อย่างบอกไม่ถูก เธอยิ้มให้ผมอีกครั้งหนึ่งก่อนจะเดินมาแตะไหล่ผมเบา ๆ เป็นเชิงขอโทษ
‘ฉันต้องขอโทษนายจริง ๆ ที่พูดอย่างนั้นออกไป ฉันเข้าใจแล้วละว่านายรักยายดามากแค่ไหน เอาละ ต่อจากนี้ไปฉันจะเป็นกำลังใจให้นายเอง แต่ขอให้นายรู้ไว้อย่างหนึ่งนะว่าถ้าหากวันใดไม่มียายดาแล้ว ฉันอยากให้นายหันมามองฉันบ้าง...สักนิดก็ยังดี’เธอพูดพร้อมกับร้องไห้ออกมา ผมเองก็รู้สึกผิดอยู่นิด ๆ ที่เผลอพูดแรง ๆ กับเธอไปผมจึงพยักตอบหน้าตกลงไปว่า‘ตกลง ถ้าเธอรอฉันได้นะ’
หลังจากวันนั้นอีกสองสามเดือนผมก็ถูกพ่อส่งให้ไปดูแลบริษัทสาขาของเราที่ตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นการชั่วคราวเนื่องจากผู้จัดการสาขาที่นั่นป่วยหนักจนทำงานไม่ได้ ด้วยความกะทันหันทำให้ผมไม่มีเวลาได้บอกลาพุทธิดากับเพื่อนของเธอ แต่เมื่อมาคิดดูอีกแง่หนึ่ง การที่ผมจากไปเงียบ ๆ แบบนี้ก็คงจะดีอยู่บ้าง อย่างน้อยช่วงที่ผมหายไปจากชีวิตเธอ เธออาจจะรู้ตัวเองก็ได้ว่าเธอขาดผมไม่ได้ ฟังดูอาจจะเหมือนละครน้ำเน่า แต่ผมก็คิดอย่างนั้นจริง ๆ
ผมไปอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ประมาณสามถึงสี่เดือนกว่า ๆตลอดช่วงเวลานั้นผมโทรมาหาพุทธิดาอยู่สองสามครั้ง แต่ละครั้งผมก็ยังคงพูดเหมือนเดิมว่าผมรักเธอมากแค่ไหน แต่ก็เธอก็ยังยืนยันคำเดิมอยู่เช่นกัน ผมเริ่มรู้สึกท้อแท้และหมดหวังมาก จนคิดจะฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเธอ แต่ดีที่เพื่อนของผมที่ประเทศสิงคโปร์ห้ามไว้ได้ทันหลังจากที่ผู้จัดการสาขาหายดีและกลับมาทำงานได้แล้วนั้นผมก็บินกลับมาที่เมืองไทย ผมเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เองครับ หลังจากจัดการธุระอะไรต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบมาหาเธอที่โรงแรมนี้ทันที
ผมมาถึงที่โรงแรมเป็นเวลาประมาณสองทุ่มกว่า ๆ เกือบสามทุ่มแล้ว ผมพยายามโทรเรียกให้พุทธิดาลงมาคุยด้วย เราคุยกันอยู่สักพักหนึ่งเธอก็ตกลงว่าจะลงมาคุยกับผมในลิฟต์ เนื่องจากตอนนั้นเป็นเวลางานของเธอ ถ้าหากว่ามีคนเห็นเธอแอบมาคุยกับผมในเวลางานละก็เธออาจจะโดนดุเอาได้ผมดีใจจนกระโดดโลดเต้นแล้ววิ่งไปรอเธออยู่ที่หน้าลิฟต์ สักพักเธอก็โดยสารลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่าง วินาทีแรกที่ผมเจอเธอผมดีใจมาก ถ้าหากเป็นไปได้ผมก็อยากจะกระโดดกอดเธอที่ตรงนั้นเลย แต่ติดตรงที่ความรู้สึกที่เธอมีให้ผมนี่สิ เมื่อคิดถึงข้อนี้ทำให้ผมได้แต่อดกลั้นไว้แล้วก้าวเข้าไปในลิฟต์ด้วยอาการตื่นเต้น ก่อนลิฟต์จะปิดลงมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งวิ่งเข้ามาในลิฟต์ด้วย แต่ผมไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่นิด ก็ในเมื่อโลกของผมตอนนั้นมันมองเห็นเพียงแค่พุทธิดาเท่านั้นที่อยู่ในสายตาผม
‘ชั้นไหนค่ะ’เธอถามหนุ่มสาวคู่นั้น ดูเธอจะไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรเลยกับการที่ได้เจอผมครั้งนี้ แวบแรกผมแอบรู้สึกน้อยใจขึ้นมาตงิด ๆ แต่ก็ยังเข้าข้างตัวเองว่าคงเป็นเพราะหนุ่มสาวคู่นั้นทำให้เธอเกรงใจไม่กล้าพูดกับผม แต่ผมนี่สิ ตอนนั้นเรียกได้ว่าความเกรงอกเกรงใจไม่มีเหลืออยู่แล้ว ผมคว้าข้อมือเธอขึ้นมาจับแล้วเอ่ยถามว่า
‘ฉันกลับมาแล้วนะ เธอคิดถึงฉันหรือเปล่า ดูสิฉันมีของมาให้เธอด้วย’แต่เธอก็สะบัดมือผมออกอย่างรวดเร็วพลางพูดว่า
‘ฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่าระหว่างเราไม่มีทางเป็นได้มากกว่าเพื่อน’
‘ฉันรู้ แต่เธอจะไม่ดูของที่ฉันซื้อมาให้หน่อยเหรอ’ผมพูดก่อนพยายามจะล้วงกระเป๋าเพื่อเอาแหวนที่ผมซื้อมาให้เธอดู แต่เธอชิงห้ามไว้ก่อนว่า
‘ไม่มีประโยชน์หรอก นายเก็บไว้เถอะ’น้ำเสียงของเธอตอนนั้นเย็นชามาก‘ฉันไม่มีทางรักนายได้จริง ๆ นายเข้าใจฉันสักทีเถอะ’
‘ทำไมละ’ผมถาม ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเธอจึงรักผมไม่ได้ ก็ในเมื่อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ผมก็ทำดีกับเธอตลอด แต่เธอจะรักผมสักเพียงนิดก็ยังไม่ได้เลยเหรอยังไง ในตอนนั้นอารมณ์ผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ผมคิดแต่เพียงแค่ว่าจะทำยังไงก็ได้เพื่อให้เธอหันมาสนใจผมบ้าง ถึงแม้จะต้องตายก็ยอม ใช่...ตอนนั้นผมคิดที่จะฆ่าตัวตายต่อหน้าเธอจริง ๆผมควักเอามีดที่เตรียมไว้ออกมา ใช่แล้ว วันนี้ผมตั้งใจจะมาคุยกับเธอให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมจะต้องทำทุกวิถีทางให้เธอรับรักผมให้ได้ ผมจึงเตรียมมีดมาด้วย แวบแรกที่เธอเห็นมีดเธอรู้สึกตกใจอย่างมากพลางร้องละล่ำละลักออกมาว่า
‘นั่นนายจะทำอะไรน่ะ นายเอามีดมาทำไม’เธอพูดก่อนจะถอยหลังกรูดออกไป เธอคงคิดว่าผมจะเอามันมาทำร้ายเธอกระมัง
‘ก็ในเมื่อเธอไม่เคยสนใจฉันเลย ไม่เคยที่จะเห็นความดีของฉันเลย ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะตายให้เธอดูตรงนี้แหละ’ผมพูดพลางยกมีดขึ้นมาจะกรีดข้อมือของตัวเอง แต่เธอกลับวิ่งมาคว้ามือผมไว้
‘นายอย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ’เธอพูดถึงตรงนี้ลิฟต์ก็มาถึงที่ชั้นสี่แล้ว หนุ่มสาวคู่นั้นรีบลนลานวิ่งออกไปอย่างตกอกตกใจ แต่พวกคุณเชื่อหรือเปล่า ว่าตอนนั้นผมไม่ได้สนใจพวกเขาเลยสักนิด แม้แต่หน้าพวกเขาผมก็ยังจำแทบไม่ได้ เมื่อสองคนนั้นออกไปแล้วเธอก็พูดกับผมต่อว่า‘ถึงต่อให้นายตายไปฉันก็รักนายไม่ได้หรอก นายเลิกทำอะไรบ้า ๆ สักทีเถอะ’เธอพูดก่อนจะคว้ามีดจากมือผมโยนทิ้ง
‘ทำไมละ’ผมถามด้วยความหมดอาลัยตายอยาก ชีวิตในตอนนั้นของผมมันไม่เหลืออะไรอีกแล้วจริง ๆ
‘คือว่าฉัน...มีคนรักอยู่แล้ว’เธอพูดพลางหลบสายตาผม ผมแทบไม่เชื่อสิ่งตัวเองได้ยิน ที่ผ่านมาผมเห็นคนที่เข้ามาจีบเธอมากมายแต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นเธอตกลงปลงใจกับใครเลย แล้วถ้าอย่างนั้นคนที่เธอรักเป็นใครกันแน่นะผมจับบ่าของเธอเขย่าอย่างแรงพลางพร่ำถามว่าคนที่โชคดีคนนั้นเป็นใคร เธอสะบัดหลุดจากผมแล้วพูดชื่อคนที่โชคดีนั้นออกมา สิ่งที่ผมได้ยินนั้นทำให้โลกทั้งโลกของผมแทบหยุดนิ่ง ผมไม่คาดคิดเลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะกลับกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ หลังจากที่เธอพูดคำตอบออกมา เราสองคนก็นิ่งเงียบไปหลายนาที จนกระทั่งเธอเอ่ยขึ้น
‘นายกลับไปเถอะ มันไม่มีประโยชน์แล้วละ’เธอพูดพลางกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นหนึ่ง ส่วนผมเองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วจึงยอมทำตามอย่างว่าง่ายผมเดินคอตกออกมาจากลิฟต์แล้วขับรถกลับบ้านด้วยจิตใจที่เหม่อลอย ผมขับรถออกมาจากโรงแรมไม่ทันไร ก็มีรถตำรวจคันหนึ่งวิ่งตามผมมาแล้วผลสุดท้ายก็ผมก็เลยมาอยู่ในห้องนี้แหละ”
หลังจากที่นายสิทธิเดชจบการเล่าอันยืดยาวของเขาแล้ว พี่ติก็พูดขึ้นว่า
“เอาละ แล้วเราจะเชื่อได้ยังไงว่าที่นายเล่ามาน่ะมันเป็นความจริงทั้งหมด”
“ผมสาบานได้ครับ”นายสิทธิเดชพูดอย่างหนักแน่น
“แล้วถ้าอย่างนั้นใครจะเป็นคนฆ่าเธอละ ฮึ ถ้าไม่ใช่นาย หลักฐานมันทนโท่อยู่อย่างนี้”ดูเหมือนพี่ติจะปักใจเชื่อแล้วว่า นายสิทธิเดชคือคนร้ายในคดีนี้ พี่เขาคงคิดว่าคดีจะปิดไปในลักษณะนี้อย่างแน่นอน ผมเองก็เกือบคิดอย่างนั้นเหมือนกัน นอกซะจากว่านายสิทธิเดชจะหาพยานหรือหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ซึ่งพยานที่ว่าก็ไม่ได้อยู่ไกลเลย...หนุ่มสาวสองคนนั่นเอง
“เอ่อ...คือพวกเราคิดว่า เขาพูดจริงนะครับคุณตำรวจ”หนุ่มคนนั้นพูดขึ้น
“หือ?”พี่ติว่าพลางหันไปหาหนุ่มสาวคู่นั้น“คุณว่ายังไงนะ”
“ผมคิดว่าเท่าที่เขาพูดมา มันเป็นความจริงครับ เราเห็นเขาพยายามจะฆ่าตัวตายจริง ๆในตอนที่อยู่ในลิฟต์น่ะครับ เราถึงได้ตกใจแล้วรีบวิ่งออกมาจากลิฟต์ยังไงละครับ พวกเราสองคนไม่เคยเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนเลย จึงทำตัวไม่ถูก พอลิฟต์เปิดออกพวกเราจึงหุนหันออกมาทันที แรก ๆ พวกเรานึกเสียใจอยู่เหมือนกัน ถ้าหากเขาฆ่าตัวตายจริง ๆ พวกเราคงรู้สึกผิดน่าดูที่มีโอกาสช่วยเขาแล้วแต่กลับตกอกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้เขาตายไป แต่ตอนนี้พวกเราก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาแล้วละ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ฆ่าตัวตายจริง ๆ”
พอหนุ่มคนนั้นพูดจบ ผมก็พลันนึกไปถึงสีหน้าของทั้งสองที่เจอหน้านายสิทธิเดชครั้งแรกในห้องนี้ คงเป็นอย่างนี้เองสินะ ในตอนแรกที่ทั้งสองทำหน้าตกใจก็เพราะคิดว่านายสิทธิเดชได้ตายไปแล้วแต่พอเห็นว่านายสิทธิเดชยังคงมีชีวิตอยู่ทั้งสองจึงคลายสีหน้าลงเพราะไม่รู้สึกผิดอีกต่อไปแล้วที่ไม่ได้ปล่อย ๆ ให้คน ๆ หนึ่งตายไป
ในขณะเดียวกันนั้น ประตูห้องจัดเลี้ยงก็เปิดออกอีกครั้ง จ่าสมบูรณ์ที่ถูกส่งไปให้นำตัวพนักงานหญิงที่เข้าข่ายต้องสงสัยก็กลับเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าหมดหวัง
“ขอโทษทีครับ ผมสอบถามดูแล้ว ปรากฏว่าวันนี้พนักงานหญิงของโรงแรมที่เข้ามาทำงานในวันนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเองครับ และทุกคนก็กลับบ้านไปก่อนเวลาสามทุ่มแล้ว”
“ว่ายังไงนะ!”พี่ติอุทานขึ้น
“ครับ ผมบอกว่าไม่มีพนักงานหญิงที่เข้าข่ายต้องสงสัยอยู่เลย”
“นอกจากในห้องนี้ใช่ไหมค่ะ”จู่ ๆ น้องฟ้าที่นิ่งเงียบไปนานมากแล้วก็โพล่งขึ้นทั้งผู้จัดการสาวและกัลยาพยานของเราสะดุ้งเฮือกทันที
“นี่คุณจะกล่าวหาว่าฉันเป็นคนฆ่าเธอยังงั้นเหรอค่ะ คุณเอาอะไรมาพูด”ผู้จัดการสาวเอะอะโวยวายขึ้นมาทันที
“เดี๋ยวค่ะ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”น้องฟ้ารีบยกมือปฏิเสธทันที“ฉันไม่ได้หมายถึงคุณคะคุณผู้จัดการ”
“แล้วถ้าอย่างนั้นเธอหมายถึงใคร”
“ฉันพอจะรู้แล้วละค่ะว่าใครเป็นคนฆ่าเธอ แต่ก่อนอื่นเลย เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่กล่าวหาฉันว่าฉันก้าวก่ายงานของตำรวจฉันจึงต้องขออนุญาตคุณตำรวจทุกคนในห้องนี้ถามอะไรกับคุณผู้ชายคนนี้สักอย่างได้ไหมค่ะ”
ทุกคนมองหน้ากันอึกอักเมื่อได้ยินคำขอร้องของน้องฟ้า ผมเองถึงกับอึ้งอยู่เล็ก ๆ ที่จู่ ๆ น้องฟ้าก็บอกว่าเธอรู้ตัวคนร้ายแล้ว ด้วยความอยากรู้อีกทั้งตอนนั้นผมเองก็ยังคิดอะไรไม่ออกผมจึงเผลอพยักหน้าไปอย่างลืมตัว
“ขอบคุณค่ะ พี่เซิญ”น้องฟ้าหอมแก้มผมเบา ๆ เป็นเชิงขอบคุณ
“อ..อะไรกัน ได้ยังไง...”พี่ติกับสารวัตรพยายามจะคัดค้านแต่น้องฟ้าก็ชิงพูดขึ้นด้วยความมั่นใจว่า
“แต่เจ้าของคดีเขาอนุญาตแล้วนะคะ”เธอพูดพลางหันมายิ้มให้กับผม ผมแทบก้มหลบสายตาทิ่มแทงของสารวัตรเอกชัยกับพี่ติแทบไม่ทัน สักพักหนึ่งสารวัตรเอกชัยก็ถอนหายใจพลางพูดขึ้น
“ก็ได้ ลองดูก็ได้ แต่เห็นทีว่าเราต้องคุยกันหน่อยแล้วนะหมวดหลังจากจบคดีนี้น่ะ”
“ครับสารวัตร”ผมพยักหน้ารับการคาดโทษนั้นไว้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมั่นใจลึก ๆ ว่าน้องฟ้าต้องมีอะไรอยู่ในหัวแน่ ผมรู้จักท่าทางมั่นใจและสายตาอันมุ่งมั่นของเธอดี
น้องฟ้าหยิบยางรัดผมเส้นหนึ่งขึ้นมามัดผมที่ปล่อยยาวของเธอด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่ทว่าแฝงได้ความมั่นใจ เธอเอ่ยปากถามคำถามที่อยากถามกับนายสิทธิเดชด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คุณช่วยไขกุญแจมือให้เขาก่อนได้ไหมค่ะ...ค่ะ ขอบคุณค่ะ...เอาละคุณสิทธิเดชค่ะ คุณพอจะบอกได้ไหมว่า คนที่คุณพุทธิดารักน่ะคือใคร”
นายสิทธิเดชส่ายหน้าไปมาก่อนจะพูดว่า“ผมไม่อยากเอ่ยชื่อเขาเลยครับคิดแล้วมันเจ็บใจนัก ผมบอกได้แค่เพียงว่า คนที่ดารักน่ะไม่ใช่ผู้ชายครับ ดาเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ เธอเป็นเลสเบี้ยนครับ”พูดจบนายสิทธิเดชซุกหน้าลงกับฝามือข้างที่เป็นอิสระของเขาอีกครั้ง
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของเธอใช่ไหมคะ”น้องฟ้าถามต่ออีก คราวนี้นายสิทธิเดชไม่ตอบได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับเบา ๆ
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นฉันพอจะเข้าใจแล้วละคะ ทุก ๆ คนค่ะ ฆาตกรไม่ใช่ใครที่ไหนเลยค่ะ เธอนั่งอยู่ในห้องนี้เอง ฆาตกรคนนั้นก็คือคุณไงละคะ คุณกัลยา”น้องฟ้าว่าพลางชี้มือไปที่กัลยาที่นั่งอยู่ด้านหลังของนายสิทธิเดช นายสิทธิเดชหันขวับไปมองทันที“กัลยา!เธออยู่ตรงนี้ด้วยเหรอเนี่ย”เขาตะโกนก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ“หวังว่าเธอคงจะไม่ได้ทำอย่างที่คุณเจ้าสาวคนนี้พูดนะ”
ทางด้านพยานของเราก็ยิ้มอย่างขมขื่นให้กับนายสิทธิเดชก่อนจะลุกขึ้นแล้วยืนเผชิญหน้ากับน้องฟ้าอย่างมั่นใจ
“พี่สาวเอาอะไรมาพูดค่ะ มีหลักฐานอะไรถึงได้มากล่าวหาหนูอย่างนี้”
“หลักฐานน่ะมีอยู่เพียบเลยละ ฉันจะแจกแจงให้ทุกคนได้ฟังดังนี้ ในข้อแรกที่ทำให้ฉันสงสัยว่าเธอเป็นคนฆ่าคุณพุทธิดาก็คือสภาพของที่เกิดเหตุที่พวกเราเจอในตอนแรกยังไงละ ครั้งแรกที่เจอศพนั้น ศพอยู่ในสภาพที่นอนทับเธออยู่และคร่อมระหว่างประตูลิฟต์ แต่จากคำให้การของเธอ เธอบอกว่าตอนที่เธอพบศพครั้งแรกนั้นเธอยืนรอลิฟต์อยู่ที่หน้าประตูพอประตูลิฟต์เปิดออกจึงทำให้ศพล้มลงมาทับเธอซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงทั้งเธอและศพก็ต้องล้มลงนอกประตูลิฟต์จริงไหมละแต่นี่เธอกลับล้มคร่อมประตูลิฟต์เรื่องราวมันจึงสะกิดความสงสัยของฉันขึ้นมายังไงละ
ข้อที่สองก็คือผ้าเช็ดหน้าของเธอตามปรกติแล้วคนเราถ้าหากตกใจมาก ๆ ย่อมจะทำอะไรไม่ถูกและคงไม่มีเวลามาสนใจสภาพร่างกายของตัวเองตอนนั้น แต่ในขณะที่เธอกำลังตกใจอยู่นั้นเธอกลับหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือและใบหน้าที่เปื้อนเลือดหน้าตาเฉย นั่นก็แสดงว่าเธอต้องแกล้งทำเป็นตกใจแน่ ๆ
ข้อที่สามก็คือเรื่องของประตูลิฟต์ ไม่รู้ว่าทุกคนทันได้คิดถึงเรื่องนี้หรือเปล่า จากคำให้การของเธอ ๆ บอกว่าศพล้มลงมาทับเธอตอนที่ประตูเปิดออก ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงก็แสดงว่าศพต้องถูกวางพิงไว้กับประตูลิฟต์ซึ่งต้องปรากฏรอยเลือดติดอยู่ที่ประตูลิฟต์บ้างไม่มากก็น้อย แต่นี่กลับไม่มีรอยเลือดเปื้อนที่ประตูลิฟต์เลยแม้แต่น้อย
ข้อที่สี่ก็คือรอยบุบที่ผนังลิฟต์ เนื่องจากผนังลิฟต์ตัวนี้เป็นแผ่นเหล็กบาง ๆ ที่ใสจนเกือบจะเท่ากระจกเงาทำให้เวลามันโดนกระแทกจึงเกิดรอยบุบขึ้นอย่างง่ายดาย ซึ่งในกรณีนี้ฉันเห็นว่า ทั้งเธอและผู้ตายคงจะต่อสู้กันในลิฟต์เป็นแน่ และการต่อสู้ของผู้หญิงน่ะคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการจิกและตบหรอก ดังนั้นรอยทั้งสองรอยที่เห็นจึงต้องเป็นของคนใดคนหนึ่งแน่ระหว่างผู้ตายกับเธอ เมื่อลองสันนิษฐานดูรอยตรงผนังด้านขวาคงเป็นรอยกระแทกของผู้ตาย เนื่องจากที่ศีรษะของผู้ตายมีรอยบุบเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด ส่วนรอยที่อยู่ทางซ้ายนั้นต้องเป็นรอยของเธอแน่ ที่ฉันมั่นใจได้ขนาดนี้ก็เพราะว่าฉันได้ถามขนาดของรอยจากกองพิสูจน์หลักฐานแล้วฉันจึงยืมตลับเมตรเข้าไปในห้องน้ำ ที่ในห้องน้ำฉันได้ดึงเส้นผมของตัวเองออกมาเส้นหนึ่งแล้ววัดขนาดให้พอดีกับรอยบุบที่กองพิสูจน์หลักฐานบอกมา จากนั้นจึงหาโอกาสวัดเส้นผมเส้นนี้เข้ากับขนาดศีรษะของเธอโดยการแกล้งเข้าไปถามเธอว่า ทำผมที่ร้านไหนมาและแกล้งลูบเส้นผมเธอไปมายังไงละ แต่แท้ที่จริงแล้วฉันน่ะกำลังวัดขนาดของศีรษะเธอจากเส้นผมเส้นนี้อยู่ต่างหากละ”น้องฟ้าว่าพลางยกชูเส้นผมเส้นที่ว่าขึ้นชูกับแสงไฟให้ทุกคนได้ดู
“เอาละ มาถึงข้อที่ห้าแล้วซินะในข้อที่ห้านี้ฉันขอย้อนกลับไปที่ตอนที่เธอให้ปากคำกับตำรวจอยู่ เธอเป็นคนบอกเองว่า นางสาวพุทธิดาผู้ตายชอบทำท่าทางแปลก ๆ กับเธอ อีกทั้งเธอยังบอกเองว่าผู้ตายไม่ชอบผู้ชาย ดังนั้นเมื่อคุณสิทธิเดชบอกว่าผู้ตายมีคนที่รักอยู่แล้วและไม่ใช่ผู้ชายมันจึงย้ำความข้อนี้เป็นอย่างดี ทีนี้จากคำบอกเล่าของคุณสิทธิเดชที่บอกว่า เพื่อนสนิทของผู้ตายมาสารภาพรักกับเขา เมื่อโดนเขาปฏิเสธไปเธอจึงโกรธแค้นถึงกับขนาดพลั้งปากพูดออกไปว่า ถ้าหากไม่มีผู้ตายแล้วอยากเธออยากให้เขาหันมามองเธอบ้าง เมื่อมานับดูแล้วคนที่เข้าข่ายเป็นคนที่สนิทกับผู้ตายมากที่สุดก็คือเธอยังไงละ หลังจากที่เธอบอกรักกับคุณสิทธิเดชไปแล้ว เธอก็คอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ แต่ยิ่งผู้ตายปฏิเสธเขามากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งแค้นแทนเขามากเท่านั้น เธอจึงวางแผนฆ่าคุณพุทธิดาซะเพื่อที่คุณสิทธิเดชจะได้หันมามองเธอบ้างตามสัญญาที่เขาได้ให้ไว้ยังไงละ
ยังมีรายละเอียดอีกหลายข้อที่บ่งชี้ว่าเธอเป็นฆาตกรในคดีนี้ เช่นรอยช้ำบนแขนของผู้ตาย คุณหมอกรกฏบอกว่ารอยมือที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นรอยที่เล็กมากต้องเป็นของผู้หญิงหรือไม่ก็ต้องเป็นคนตัวเล็ก ๆ แน่ ยังมีรอยนิ้วมือที่ปรากฏขึ้นบนมีดอีก ความจริงแล้วรอยนิ้วมือของเธอไม่ได้มาปรากฏอยู่ตอนที่ศพล้มทับเธอหรอกแต่มันปรากฏอยู่ตอนที่เธอกำมีดเล่มนี้แทงผู้ตายอยู่ยังไงละ ส่วนรอยนิ้วมือของคุณสิทธิเดชนั้นก็เป็นที่ปรากฏตามคำบอกเล่าแล้วว่าเขาพยายามจะใช้มีดนี้ฆ่าตัวตาย ดังนั้นรอยนิ้วมือของเขาจึงปรากฏอยู่บนมีด อีกทั้งตอนขากลับเขาได้ลืมมีดทิ้งไว้ในลิฟต์ด้วยทำให้เธอมีอาวุธที่ใช้ฆ่าผู้ตายพอดี
ยังมีตอนที่ไฟดับในตอนที่เรากำลังดูภาพจากกล้องวงจรปิดด้วย ความจริงแล้วเป็นเธอนั่นแหละที่แอบย่องออกไปปิดสวิทช์ไฟที่ห้องข้าง ๆ แล้วย่องกลับเข้ามาขโมยซีดีในห้องนี้ เหตุผลที่ฉันรู้ว่าเป็นเธอก็เพราะในตอนที่ทุกคนกำลังใจจดใจจ่อกับกล้องวงจรปิดอยู่นั้น ฉันกำลังหลับตาเพื่อคิดถึงปัญหาต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วอยู่ เมื่อไฟดับจึงทำให้สายตาของฉันชินกับความมืดอย่างรวดเร็ว จึงมองเห็นเธอย่องเข้าไปเอาแผ่นซีดีในคอมพิวเตอร์แล้วแกล้งทำเป็นข้าวของหล่นวุ่นวายก่อนจะร้องขึ้นมาว่าตัวเองโดนชนอย่างไรละเอาละฉันได้บอกข้อสงสัยที่ฉันมีอยู่ให้ทุกคนฟังหมดแล้ว เธอยังจะมีอะไรโต้แย้งฉันอีกไหม”น้องฟ้าจบการอธิบายอันยืดยาวของเธอด้วยท่าทางราบเรียบดุจดั่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ที่น้องฟ้าอธิบายออกมานั้นช่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ซะเหลือเกิน จนผมเองก็แทบจะหาคำโต้แย้งไม่ได้
ส่วนกัลยาพยาน ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นผู้ต้องสงสัยถึงจะถูกได้แต่ก้มหน้างุด ๆ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาพักหนึ่ง มีเพียงแต่นายสิทธิเดชเท่าที่เอาแต่ร่ำร้องโวยวายว่า
“กัลยา นี่เธอฆ่าดาจริง ๆ เหรอเนี่ย บอกมาสิว่าเธอฆ่าดาหรือเปล่า เธอฆ่าดาทำไม ถึงต่อให้ดาตายไปฉันก็ไม่มีทางรักเธอได้หรอกนะ”เขาพูดพร้อมกับเขย่าไหล่ของกัลยาไม่หยุด ปากก็ยังพร่ำเพ้อไม่หยุดหย่อน
“เงียบสักทีเถอะน่า!”จู่ ๆ กัลยาก็ร้องขึ้นอย่างเหลืออด“ใช่ ฉันเป็นคนฆ่ายายดาเอง นายพอใจหรือยังละ”เธอพูดพร้อม ๆ กับมีหยดน้ำรื้นขึ้นที่ดวงตา“ที่ผ่านมา นายไม่เคยสนใจฉันเลย เอะอะนายก็สนใจแต่ยายดาตลอดทั้งๆ ที่นายก็รู้ว่ายายดาไม่มีวันที่จะสนใจเธอได้ รู้ทั้งยังนั้นนายก็ยังตามตื้อเธอไม่เลิกนายไม่เคยสังเกตเลยใช่ไหมว่าฉันต้องกล้ำกลืนฝืนอดแค่ไหนทุกครั้งที่เห็นนายพยายามจะจีบยายดาน่ะ นายไม่รู้หรอกว่าคนแอบรักน่ะมันเป็นยังไงนายไม่เคยเข้าใจฉันเลย”กัลยาว่าพลางทุบตีไปที่หน้าอกของนายสิทธิเดชอย่างบ้าคลั่ง
“เธอก็เลยวางแผนฆ่าเธอเพื่อที่จะให้ฉันหันมาสนใจเธออย่างนั้นเหรอ เธอทำไปได้ยังไง ดาเป็นเพื่อนสนิทเธอน่ะ”
“ฉันไม่ได้วางแผนอะไรเลย...มันเป็นเหตุบังเอิญต่างหากละ”ผู้ต้องหาของเราพูดพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตัวเอง“ทุก ๆ คนคะ ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้วหนูยอมรับก็ได้ว่าหนูเป็นฆ่ายายดาเองคุณเจ้าสาวคนนั้นพูดถูกค่ะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นหนูทำเองทั้งหมดแต่หนูสาบานได้ว่าหนูไม่ได้วางแผนอะไรเลยทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะความโกรธของหนูเอง”
“เธออยากจะเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นให้พวกเราฟังไหม”น้องฟ้าถามขึ้น
“ค่ะ หนูก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เล่ามาเถอะ บางทีคำสารภาพของเธออาจจะช่วยลดหย่อนโทษให้เธอได้”ผมพูดพลางเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่งลง“นั่งเก้าอี้ตัวนี้เถอะ”
“ขอบคุณค่ะ”เธอพูดพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเล่าเรื่องของเธอออกมา“ก็อย่างที่ทุกคนได้เห็นนั่นแหละค่ะว่าความสัมพันธ์ของเราสามคนคือหนู ยายดา และเขา เป็นอะไรที่แทบจะเรียกได้ว่า รักสามเส้า น่ะค่ะ คือจริง ๆ แล้วหนูแอบชอบสิทธิเดชมานานแล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกในสนามสอบเอ็นทรานส์นะค่ะ วันนั้นเขาพยายามที่จะเข้ามาจีบเพื่อนหนูคือยายดาแต่ยายดาไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยกลับเป็นหนูซะอีกที่รู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่น นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาก็เข้ามาในชีวิตของหนูสองคนที่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว จนพวกเราสนิทกันมากขึ้นแต่ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่มีอะไรคืบหน้าไปเลยค่ะ สิทธิเดชที่พยายามจะเข้ามาจีบยายดาก็ทำไม่สำเร็จสักที ยายดาไม่เคยยอมใจอ่อนเลย ส่วนหนูที่แอบชอบเขามานานก็ไม่กล้าบอกความในใจออกไป จนกระทั่งวันหนึ่งวันที่เขาพบกับความท้อแท้สุด ๆ หนูจึงตัดสินใจบอกเขาออกไปว่าหนูชอบเขามานานแล้ว ผลก็เป็นอย่างสิทธิเดชเล่ามานั่นแหละค่ะ หนูไม่อยากจะเล่าซ้ำเรื่องพวกนี้เลยนับแต่นั้นวันนั้นเป็นต้นมา พวกเราก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิทธิเดชยังคงตามตื้อยายดาเหมือนเดิม ส่วนหนูก็ได้แต่เฝ้าแอบมองอยู่ห่าง ๆ ทุก ๆ ครั้งที่ยายดาปฏิเสธเขาหนูก็ได้แต่กัดฟันเจ็บแค้นแทนเขาอยู่เรื่อยไป หนูได้แต่คิดว่ายายดาเป็นคนไม่มีสมองหรือยังไงกันนะถึงได้ปฏิเสธผู้ชายดี ๆ อย่างนายสิทธิเดชได้ลงคอ
แต่แล้วประมาณสามเดือนก่อนหน้านี้สิทธิเดชก็ได้หายไปจากชีวิตของพวกเรา ติดต่อก็ไม่ได้ ดูยายดาจะไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้เลยสักนิด แต่หนูนี่สิคะด้วยความที่เป็นห่วงเขามากหนูจึงพยายามติดต่อเขาอยู่ตลอด จนในที่สุดหนูก็มารู้เอาเมื่อสองสามวันก่อนนี้เองว่าเขาไปอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นการชั่วคราว เพื่อนคนหนึ่งของเขาที่สิงคโปร์โทรมาบอกฉันว่าเขาพยายามจะฆ่าตัวตายหลายครั้งแล้ว พอฉันถามเพื่อนของเขาว่าได้เบอร์มาจากไหน เขาก็บอกว่าได้มาจากสมุดจดที่อยู่ของสิทธิเดช ก่อนหน้านี้เขาได้โทรไปหาครอบครัวของสิทธิเดชแล้วแต่ไม่มีใครรับสาย พอโทรไปหาเพื่อนที่ชื่อพุทธิดา เธอก็แสดงท่าทางไม่ใยดีออกมา ดังนั้นเขาจึงได้โทรมาหาหนูหนูได้ยินแล้วตกใจมาก เรื่องที่เขาคิดจะฆ่าตัวตายก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของยายดาแน่ หนูจึงไปหายายดาที่บ้านและต่อว่าเธอ เราทะเลาะกันอยู่นานมากแต่ในที่สุดหนูก็ยอมแพ้ความตั้งใจเด็ดเดี่ยวของเธอที่บอกว่าเธอไม่มีทางรับรักสิทธิเดชได้ เธอยังบอกอีกด้วยว่าเธอมีคนที่เธอรักอยู่แล้วด้วย ดังนั้นหนูจึงกลับออกมา
พอมาถึงวันนี้หนูก็ได้ข่าวว่าสิทธิเดชจะกลับมาที่เมืองไทยวันนี้ หนูดีใจมาก หนูรู้จักเขาดีค่ะ หนูคิดว่าเขาคงจะต้องตรงมาหายายดาที่โรงแรมแน่ และหนูก็คงจะได้พบกับเขาด้วย หนูตั้งใจเอาไว้ว่าวันนี้เราสามคนจะต้องคุยกันให้รู้เรื่องเสียทีดังนั้นพอหนูเห็นว่ายายดากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ แล้วสักพักก็ออกไปจากห้องหนูจึงเดาว่าคงต้องเป็นสิทธิเดชแน่ที่โทรเข้ามา หนูจึงตามยายดาออกไปค่ะ แต่เพราะแขกของเราในห้องจัดเลี้ยงวันนี้เป็นพวกที่เรื่องมากเอาการอยู่ หนูจึงออกมาช้ากว่ายายดาอยู่หลายนาทีอีกทั้งผู้จัดการยังสั่งให้หนูไปนำแก้วมาเพิ่มด้วย ก็อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะว่าห้องเก็บแก้วอยู่ที่ชั้นหกนี้พอดีหนูจึงขึ้นมาที่ชั้นนี้เมื่อมาถึงห้องเก็บของแล้วหนูก็มาคิดดูอีกทีว่าน่าจะลงไปคุยกับพวกเขาให้รู้เรื่องก่อนหนูจึงแอบแวบออกมา พอมาถึงที่ลิฟต์และประตูลิฟต์ได้เปิดออกแล้วหนูก็พบยายดาอยู่ในลิฟต์คนเดียวแล้วละค่ะ หน้าตาเธอไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ท่าทางคงจะใจลอยจึงปล่อยให้ลิฟต์วิ่งขึ้นมาถึงชั้นนี้ หนูก้าวเข้าไปในลิฟต์ทันที
‘สิทธิเดชละ เขามาหาเธอหรือเปล่า’หนูถามเธอไป เธอพยักหน้ารับแห้ง ๆ
‘เธอพูดอะไรกับเขาบ้าง เขาว่ายังไงบ้าง’หนูถามต่ออีก
‘ยา ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ’เธอไม่ตอบแต่เรียกชื่อหนูด้วยสีหน้าจริงจัง
‘เรื่องอะไรงั้นเหรอ เกี่ยวกับสิทธิเดชหรือเปล่า’
‘ไม่...ไม่เกี่ยวกับสิทธิเดชโดยเฉพาะ แต่มันเกี่ยวกับเราสามคน’
‘เราสามคนอย่างนั้นเหรอ?’
‘ใช่ เราสามคน’เธอเว้นช่วงพูดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ‘เมื่อสักครู่นี้ สิทธิเดชมาหาฉันจริง ๆ และเขาก็มาในอีหรอบเดิมนั่นแหละ แต่คราวนี้เขารุกหนักกว่าเดิม เขาขู่ว่าจะฆ่าตัวตายถ้าฉันไม่รับรักเขา’
‘ตายจริง!’หนูเผลออุทานออกมา
‘ฉันจึงบอกเขาไปว่าทำอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์หรอก ฉันบอกว่าฉันมีคนที่ฉันรักอยู่แล้ว’
‘แล้วเขาว่ายังไงต่อ’หนูถาม
‘ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจแล้วละ และเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตายแล้วด้วย’
‘ทำไมเขาจะเข้าใจง่ายจัง เมื่อก่อนเขาไม่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ’
‘ก็ฉันบอกชื่อคนที่ฉันรักออกไปน่ะสิ เขาถึงได้ยอมเข้าใจ’
‘ว้าว!จริงเหรอ ดีจังเลยนะ’ตอนนั้นหนูร้องออกมาด้วยความดีใจ ถ้าหากว่าสิทธิเดชตัดใจจากยายดาได้จริง ๆ ละก็หนูเองก็คงจะพอมีสิทธิ์อยู่บ้าง‘ว่าแต่คนที่เธอรักน่ะคือใครเหรอ ฉันรู้จักหรือเปล่า’หนูถามเธอต่อ
‘รู้สิ เธอรู้จักดีทีเดียวละ เพราะคนที่ฉันรักน่ะคือเธอยังไงละ กัลยา’
แรก ๆ หนูก็งงจนทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่ร้องออกไปว่า‘อะไรนะ!’
‘จริง ฉันรักเธอจริง ๆ ที่ผ่านมานี้เธอคงสังเกตเห็นว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับผู้ชายคนไหนเลยนั่นก็เป็นเพราะว่าฉันรักเธอยังไงละยา ฉันไม่เคยชอบผู้ชายเลย...’ดูเหมือนว่าเธอจะพูดอะไรอีกหลายอย่างต่อจากนั้นแต่ในตอนนั้นในหัวของหนูมันไม่รับรู้อะไรแล้ว ได้ยินเพียงเสียงบอกรักของเธอดังก้องอยู่ในหูของหนูเสียงนั้นดังก้องสะท้อนไปมาพร้อม ๆ กับความโกรธที่พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เหตุผลที่เธอไม่ยอมรับรักสิทธิเดชสักทีก็เป็นเพราะหนูอย่างนั้นเหรอ ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าไปแล้วหรือยังไงกันนะ ผู้ชายดี ๆ มีให้รักไม่ยอมรัก ดันมารักคนเพศเดียวกันอย่างหนู ตอนนั้นหนูคิดอย่างนี้แหละ และแล้วหนูก็ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ได้คาดคิดออกมา หนูจับศีรษะของเธอกระแทกเข้าผนังลิฟต์ไปหลายครั้งด้วยความโกรธปากของหนูก็พร่ำบอกว่า
‘เธอจะมารักฉันทำไม ผู้ชายดี ๆ มีทำไมไม่รัก’คงจะด้วยความเจ็บปวดหรือความกลัวก็ไม่รู้ทำให้เธอฮึดสู้หนูขึ้นมา เธอพลักหนูจนกระเด็นมากระแทกผนังลิฟต์ด้านตรงข้าม หนูรู้สึกปวดหัวอย่างแรง ใช่แล้วละค่ะ หัวของหนูกระแทกเข้ากับผนังลิฟต์นั่นเอง พอเธอฮึดสู้ก็ยิ่งทำให้หนูโกรธมากขึ้นไปอีก เรากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่สักพักโดยไม่มีใครยอมใคร แต่แล้วหนูก็เสียท่า หนูถูกเธอเหวี่ยงให้ล้มลงในตอนนั้นเองมือของหนูก็สัมผัสไปโดนอะไรสักอย่าง หนูหยิบมันขึ้นมาดู ปรากฏว่ามันเป็นมีดนั่นเอง คงจะเป็นมีดที่สิทธิเดชทำตกไว้ละค่ะ พอมีดอยู่ในมือเท่านั้นแหละค่ะ หนูก็พุ่งเข้าหาเธออีกครั้งทันที ก็ตอนนั้นหนูยังไม่หายโกรธนี่ค่ะ ผลสุดท้ายจึงออกมาเป็นอย่างที่เห็น หนูแทงมีดเข้าที่หัวใจของเธอพอดี เธอตาเหลือกค้างพลางฟุบลงบนตัวของหนู หนูรับน้ำหนักเธอไม่ไหวร่างของหนูจึงเซถลาไปที่ประตูลิฟต์หลังของหนูคงจะไปโดนปุ่มเปิดประตูลิฟต์เข้าน่ะค่ะ ประตูลิฟต์จึงเปิดออกร่างของหนูจึงล้มลงที่หน้าประตูลิฟต์พร้อม ๆ ศพของยายดาที่ล้มทับหนูด้วย
พอเห็นเลือดเท่านั้นแหละ สติของหนูก็กลับคืนมาทันทีหนูจึงกรีดร้องสุดเสียง ทุก ๆ คนจึงวิ่งออกมาดูแล้วก็พบหนูกับยายดาในสภาพอย่างที่เห็น พอตั้งสติได้สักพักหนูก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจึงแกล้งทำเป็นยังตกใจอยู่เพื่อให้พวกคุณยังไม่สอบปากคำอะไรหนูตอนนั้น พอได้มาอยู่ในห้องคนเก็บของคนเดียวแล้ว หนูจึงแต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด...แต่หนูก็ไปไม่รอดอยู่ดีละค่ะ...”ผู้ต้องหาของเราจบการเล่าเรื่องด้วยสีหน้าละห้อย
“แล้วตอนที่ไฟดับละ เธอแอบออกไปได้ยังไง ทำไมไม่มีใครรู้เลยว่าเธอแอบย่องออกไปปิดสวิทช์ไฟ”พี่ติถามขึ้น
“เรื่องนั้นไม่ยากเลยค่ะ พอหนูเห็นว่าทุกคนกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับภาพบนกล้องวงจรปิดและหนูก็รู้แน่ ๆ ด้วยว่าถ้าหากทุกคนเห็นภาพนี้แล้วก็คงจะรู้ว่าหนูเป็นคนร้าย หนูจึงแอบย่องออกไปโดยที่ไม่มีใครรู้สึกตัวเลย อ้อ ก่อนออกไปหนูได้จำสภาพภายในห้องไว้ด้วยค่ะเพื่อที่เวลาวิ่งเข้ามาจะไม่ได้เดินชนอะไรให้เกิดเสียงดัง พอหนูสับสวิทช์ไฟของห้องนี้ลงเสร็จแล้วหนูก็รีบวิ่งเข้ามาในห้องทันที แต่หนูก็พลาดเข้าจนได้ ในตอนที่หนูกำลังเอาแผ่นซีดีออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่นั้นหนูเผลอทำเครื่องคอมพิวเตอร์หล่นลงมา หนูจึงแกล้งแต่งเรื่องเอาว่ามีคนเข้ามาแอบขโมยแผ่นซีดีไปและวิ่งชนหนูออกไป นี่ไงคะ...แผ่นซีดีที่ทุกคนต้องการ”เธอพูดพร้อมกับล้วงหยิบแผ่นซีดีออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
ฉับ!จังหวะที่เธอยกมือขึ้นเพื่อชูแผ่นซีดีให้ทุกคนได้ดูนั่นเองจ่าสมบูรณ์ก็คล้องกุญแจมือเข้ากับข้อมือของเธออย่างรวดเร็ว ผู้ต้องหาของเราไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากปากอีก เธอได้เพียงแต่ก้มหน้ายอมรับสภาพพลางมองสบตากับนายสิทธิเดชด้วยแววตาข่มขื่นซึ่งนายสิทธิเดชเองก็ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากปากเช่นกันเขาจ้องมองตอบเธอก่อนจะแกล้งหันหน้าไปทางอื่น หยดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามหางตาของเขา
“พาเธอไปเถอะจ่า”ผมพูด ผมเองก็ไม่อยากเห็นความกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองนี้นัก จึงรีบตัดบทโดยเร็ว
“เอาละ ในที่สุดก็จบเรื่องกันได้เสียที...แต่หมวด เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วนะ”สารวัตรเอกชัยพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทำเอาผมสะดุ้งโหยงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ว...ว่าไงครับ สารวัตร”ผมตอบกลับไปด้วยคำพูดตะกุกตะกัก ผมพอจะมองเห็นชะตากรรมอันรันทดของตัวเองอยู่ราง ๆ แล้ว ในฐานะที่เป็นตำรวจเจ้าของคดีนี้ การที่ผมไม่สามารถคลี่คลายคดีได้ออกก็เป็นเรื่องน่าปวดหัวมากอยู่แล้ว หนำซ้ำยังโดนคนนอกมาคลี่คลายคดีให้อีกนี่สิ มันเป็นเรื่องที่น่าเสื่อมเสียเกียรติภูมิของตำรวจไทยยิ่งนัก ยิ่งคน ๆ นั้นยังเป็นว่าที่ภรรยาของผมด้วยแล้ว เฮ้อ!ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเหมือนกัน ดูจากน้ำเสียงอันเฉียบขาดของสารวัตรแล้วผมก็คงหนีไม่พ้นที่จะโดนเฉ่งเรื่องนี้เป็นแน่
“หมวดเซิญคุณเป็นตำรวจประสาอะไรเนี่ย...”นั่นไงละ ผมว่าแล้ว คราวนี้ต้องโดนชุดใหญ่แน่“คุณไปหาภรรยาแบบนี้มาจากไหน หาให้ผมสักคนสิ”สารวัตรเอกชัยว่าพลางหัวเราะฮา ๆ อย่างอารมณ์ดี
“ห...หา ว่าไงนะครับ”ผมยังงงอยู่ไม่หาย
“ก็ภรรยาคุณน่ะสิ สุดยอดจริง ๆ นี่เก่งกว่าตำรวจบางคนแถวนี้อีกนะเนี่ย ฮ่า ฮ่า”สารวัตรเอกชัยว่าพลางตบไหล่ผมแรง ๆ
“ฟู่!”ผมเป่าลมออกจากปากอย่างโล่งอก นึกว่าจะโดนสับซะจนไม่มีเหลือชิ้นดีซะแล้วซิ“ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ”ผมตอบก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ ออกไป ผมพอจะรู้หรอกน่าว่าตำรวจที่ว่าน่ะหมายถึงใคร...
“ไม่หรอกค่ะทุกคน ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก”น้องฟ้าบอกด้วยอาการเขิน ๆ พลางจับมือผมไว้แน่น
“ความจริงแล้วฟ้าซึมซับมาจากพี่เซิญต่างหากค่ะ ถ้าหากว่าไม่มีพี่เซิญคอยเล่าเรื่องคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นให้
ฟังฟ้าคงก็ไม่สามารถที่จะวิเคราะห์รูปคดีได้ทะลุปรุโปร่งอย่างนี้หรอกค่ะ”น้องฟ้าว่าพลางจ้องตาผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม เล่นเอาผมขนลุกไปทั้งตัวเลยทีเดียว ...สวยอะไรอย่างนี้นะน้องฟ้าของผม...
“เอาละครับทุกคน!”ผมประกาศขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ“ไหน ๆ คดีนี้ก็จบแล้วด้วยฝีมือของภรรยาของผมเอง ดังนั้นผมจึงคิดว่าผมจะให้รางวัลเธอสักหน่อย หวังว่าทุกคนคงไม่ว่าผมนะครับ อ้อ อีกอย่างหนึ่งกรุณาอย่าอิจฉาผมด้วยนะครับฮิฮิ”ผมพูดด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องก่อนจะเชยคางน้องฟ้าขึ้นมาแล้วจุมพิตเธออย่างดูดดื่มเป็นเวลาเนิ่นนาน...
..............................................................
สารบัญ
CONTENT
รายการรีวิว
REVIEW
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
userA???
???? ??? ? ???? ?? ??