เรื่อง Leveling Up in the World of Immortals ( Remake )
เมื่อูน้องชายัเพูดั่ ฉู่หัวป้าก้มหน้าและรู้สึกผิดทันที ที่เขาไม่ได้เข้าใจเจตนาของหวังเฟย น้องชายของเขาจึงได้มาั่เขาเช่นนี้ เขารู้สึกอับอายมากจริงๆ และมันก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อตอนเด็กๆแล้ว ฉู่หัวป้าจะเป็นคนซื่อๆ มักจะูน้องชายอย่างฉู่ฟานั่ด้วยคำพูดบ่อยๆ และเอาจริงๆเขาก็รู้ด้วยว่าน้องชายเขามีพรสวรรค์ในการฝึกฝนมากกว่าเขาเสียอีก
“ เอาละๆ ข้าเข้าใจแล้วหน่า!! นับวันเจ้ายิ่งเหมือนท่านพ่อเข้าไปทุกที!! ”
“ ก็เพราะท่านชอบทำให้ตัวใหู้บ่นไงเล่า!! ”
สองพี่น้องตระกูลฉู่ทะเลาะกันตามประสาพี่น้อง ส่วนหวังเฟยนั้น อาศัยความเงียบสงบนี้เร่งรีบการฝึกฝน ทั้งการฝึกวรยุทธ์ ทั้งการบ่มเพาะ ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือระดับบ่มเพาะ อย่างน้อยให้สเตตัสของเขาสูงขึ้นอีกนิดเพื่อจะรับมือกับหลินอี้เหยาได้ง่ายขึ้น ส่วนเรื่องทักษะวรยทุธ์ มันไม่ได้เพิ่มง่ายๆด้วยเวลาเพียงแค่เดือนเดียว!!
……….
และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เอง จนถึงวันประลองจัดอันดับของศิษย์นอกอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มันค่อนข้างตื่นเต้นกว่าครั้งอื่นๆ เหตุผลก็อย่างที่รู้ๆกัน นั่นคือ การประลองเดิมพันระหว่างงหวังเฟยกับหลินอี้เหยา และนอกจากนี้ยังมีการลงเดิมพันว่าใครจะชนะอีกด้วย
ก่อนเริ่มการทดสอบจัดอันดับ พี่น้องตระกูลฉู่ได้เข้ามาคุยกับหวังเฟยก่อน เพื่อถามถึงความพร้อมและความมั่นใจ ถึงจะเร่งบ่มเพาะอย่างไรมันก็ไม่ได้เห็นผลทันทีที่ใจอยาก ยิ่งมีเวลาไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างเป็นห่วงหวังเฟย
“ หวังเฟย เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่!? ”
“ ข้าต้องมั่นใจอยู่แล้วสิ ข้าไม่คิดว่าัเจะแพ้หรอกนะ!! ”
“ เจ้าไม่ต้องไปสนใจพี่ชายข้ามากก็ได้ เขาลงเดิมพันข้างเจ้าไปทั้งหมด หากแพ้ เขาจะไม่มีโอสถใช้ในเดือนต่อไปตลอดทั้งเดือน!! ”
“ เจ้า…ข้าเป็นห่วงหวังเฟยต่างหาก หาใช่เรื่องของการเดิมพันไม่!! เจ้าอย่าพูดให้ข้าเสียหาย ข้าเป็นพี่ชายของเจ้านะ!! ”
“ เอาละๆ สองพี่น้องไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ข้ามั่นใจว่าจะชนะ ต่อให้ข้าต้องเปิดเผยพลังทั้งหมดก็ตาม ”
หวังเฟยยิ้มให้กับทั้งสองคน ก่อนจะเดินเข้าสนามประลอง แฃะไปยืนตามอันดับ โดยที่ซูเหอจ้องมองเขาอย่างไม่วางสายตา แต่เขาก็คร้านเกินจะสนใจซูเหอ ตอนนี้เขามองสังเกตไปที่ หลินอี้เหยามากกว่า ต้องบอกว่าโชคดีที่หนหึ่งเดือนที่ผ่านมา หลินอี้เหยาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
ต่างจากเขา ถึงจะแค่เล็กน้อยแต่เขาก็เลเวลอัพเป็นเลเวล 15 แล้ว หมายความว่าสเตตัสของเขาขยับเข้าใกล้หลินอี้เหยา และถึงแม้ว่าพละกำลังจะไม่สามารถสู้กัลหลินอี้เหยาได้ แต่เนื่อจากการลงสเตตัสทั้งหมดไปที่ Agi ในการต่อสู้กับซูเหอ ทำให้ความเร็วของเขาในตอนนี้สูงกว่าหลินอี้เหยาเล็กน้อย รวมกับทักษะและวรยุทธ์ที่เหนือกว่าของเขา มันจะเป็นข้อได้เปรียบของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน การทดสอบจัดอันดับก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ฉู่หัวป้ากับฉู่ฟานก็ยังคงทำได้ดีอีกเช่นเคย อันดับของพวกเขาขยับขึ้นอย่างน้อยก็ 10 อันดับ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่โชคดี เพราะได้หวังเฟยช่วยด้วย และแรงกดดันจากการพัฒนาอันรวดเร็วของหวังเฟยทำให้พวกเขารู้สึกกดดันและต้องเร่งรีบฝึกฝนเพื่อตามหวังเฟยให้ทัน
ส่วนคนอื่นๆก็มีทั้งชนะแพ้ การประลองดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไม่มีใครขอท้้าประลองกับใครอีก ทุกคนมองไปที่หวังเฟยกับหลินอี้เหยา แม้แต่ผู้อาวุโสคุมสอบเองก็เช่นกัน หวังเฟยยิ้มเล็กน้อยก็จะเดินไปที่ลานประลอง จากนั้นมองไปที่ หลินอี้เหยา
“ ข้าขอท้าประลองอันดับ 1 ”
มันต่อสู้หลักของครั้งนี้ก็ต้องปล่อยให้เป็นการต่อสู้สุดท้าย เสียงเฮลั่นทั่วลานประลอง พวกเขาต่างก็รอการต่อสู้นี้อย่างใจจดใจจ่อ หลายคนก็เชียร์หวังเฟย หลายคนก็เชียร์หลินอี้เหยา แต่สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดคือ พวกเขาจะชนะการเดินพันไหมมากกว่า
และแน่นอนว่าการประลองที่น่าตื่นตาตื่นใจในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเหล่าศิษย์นอกกับผู้อาวุโสฝ่ายนอกเท่านั้นที่มาดู แต่ยังรวมไปถึงเหล่าผู้อาวุโสฝ่ายในเกือบจำนวนมากที่ไม่ปรากฏตัวออกมา รวมถึงลู่หยางด้วยเช่นกัน การประลองที่สำคัญเขาจะพลาดได้อย่างไร
เมื่อหวังเฟยประกาศท้าประลอง หลินอี้เหยาก็ยิ้มออกมาทันที เขากระโดดขึ้นสนามประลองด้วยท่าทีที่องอาจ พร้อมมองหวังเฟยด้วยสายตาเย้ยยันที่พยายามฝึกฝนมาตลอด แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต่างออกไปจากเดิมเลย
“ หากเจ้าขอยอมแพ้ตอนนี้และส่งมอบของมาให้ข้า ข้าจะทำให้เจ้าอับอายน้อยที่สุด โดยแสร้งทำเป็นสู้อย่างสูสีกับเจ้า!! ความคิดนี้ดีหรือไม่? ”
“ อืม เป็นความคิดที่ดี แต่เจ้าคงทำได้อยากหน่อย เพราะเจ้าคงไม่สามารถสู้ข้าได้อย่างสูสีนักหรอก!! ”
“ เจ้ามันเป็นเด็กที่ปากดีเสียจริง!! ข้าไม่ได้ง่ายเหมือนเจ้าซูเหอหรอกนะ ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจ!! ”
การประลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลินอี้เหยาชักดาบออกมา ส่วนหวังเฟยนั้นก็ได้เรียกดาบกับโล่ออกมาเช่นกัน เนื่องจากตอนนี้เรื่องแหวนมิติของเขาไดู้เปิดเผยไปแล้ว หวังเฟยจึงไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนอีก หลังจากนี้เขาจะใช้งานแหวนมิติให้เต็มที่ รวมถึงแสดงการต่อสู้ที่แท้จริงของหวังเฟยให้คนอื่นเห็น
แม้มันจะเป็นเรื่องจริงที่่เมื่ออยู๋ในลานประลองที่สามารถใช้อาวุธและวรยุทธ์ได้นั้น พลังการต่อสู้ของหลินอี้เหยาจะเพิ่มขึ้นมา แต่มันก็ไม่ใช่แค่พวกเขา พลังการต่อสู้ของหวังเฟยก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน และยิ่งเป็นในสถานการณ์ที่แหวนมิติของหวังเฟยูเปิดเผยเช่นนี้ด้วยแล้ว เหมือนกับว่าเขาไม่มีอะไรให้ต้องเก็บซ่อนอีก!!
หลินอี้เหยาพุ่งเข้าใสส่หวังเฟยด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าของหวังเฟยแล้ว พร้อมกับฟันดาบใส่หวังเฟย เมื่อเห็นเช่นนี้หวังเฟยยกโล่ขึ้นมาป้องกันจนเกิดเสียงเล็กกระทบกันอย่างรุนแรง และการรับการโจมตีนี้เองก็ทำให้หวังเฟยต้องถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับมือที่สั่นพร้อมกับโล่
หวังเฟยไม่คิดเลยว่าการโจมตีของหลินอี้เหยาจะรุนแรงขนาดนี้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ใช้วรยุทธ์อะไรด้วยซ้ำ ใช้เพียงพละกำลังเท่านั้น ต้องยอมรับเลยว่าร่างกายของหลินอี้เหยาค่อนข้างสมดุลกันระหว่างพละกำลังกับความเร็ว
ตอนนี้หวังเฟยรู้แล้วว่าไม่สามารถรับการโจมตีของหลินอี้เหยาตรงๆได้ ดังนั้นเขาจะต้องใช้เทคนิคในการรับดาบของหลินอี้เหยา และหลีกเลี่ยงการรับการโจมโจมตีตรงๆ
หลินอี้เหยาไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ เขายังพุ่งตามหวังเฟยไปต่อและฟันอย่างรววดเร็ว หวังเฟยไม่ได้เียเปรียบขนาดจะต้องเป็นฝ่ายูต้อน ที่เขารับดาบเพราะอยากจะทดสอบพละกำลังและความเร็วของหลินอี้เหยาเท่านั้น
หวังเฟยหลบการโจมตีอันรวดเร็วของหลินอี้เหยาได้อย่างคล่องแคล่วพร้อมกันนั้นเขาก็ได้โจมตีสวนกลับไปที่ช่องว่างของหลินอี้เหยา แต่หลินอี้เหยารู้ว่าเขามีพละกำลังมากกว่าหวังเฟย เขาจึงเลือกที่จะป้องกันดาบของหวังเฟยแทนที่จะเป็นการหลบ จากนั้นก็สวนกลับ แม้ว่าหวังเฟยจะมีความเร็วที่มากกว่าแต่เขาก็ไม่ได้เปรียบเลย เนื่องจากหลินอี้เหยามีประสบการณ์การต่อสู้ที่มากกว่าเขาอยู่ เขาจึงสามารถรับมือกับความเร็วของหวังเฟยได้ไม่ยาก และหลังจากหยังเชิงกันอยู่พักหนึ่ง ทั้งคู่ก็ผละออกจากกันและยืนมองหน้ากัน
“ หวังเฟย ถึงเวลาที่พวกเราต้องเอาจริงกันได้แล้วละมั้ง!! ”
“ ข้าก็รออยู่เช่นกัน!! ”
และตอนนี้เอง หลินอี้เหยาโคจรปราณจากจุดตันเทียนไปทั่วร่างกายเพื่อเพิ่มพลังความแข็งแกร่งของัเ ส่วนหวังเฟยก็เช่นเดียวกันเขาโคจรปราณที่อยู่ทั่วร่างกาย จากนั้นก็ใช้สกิลก้าวไร้เสียง ตอนนี้ความเร็วของหวังเฟยเพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ในตอนนี้ความเร็วของเขามันเร็วกว่าความเร็วสูงสุดของซูเหอตอนที่ไม่ได้กินโอสถระเบิดพลังเสียอีก
จากนั้นทั้งสองก็พุ่งเข้าใส่ปะทะกัน หวังเฟยใช้ความเร็วในการหลบการโจมตีพร้อมกับเบี่ยงการโจมตีด้วยโล่แล้วค่อยฟัดดาบสวนกลับไป ส่วนหลินอี้เหยาก็สามารถหลบและป้องกันการโจมตีของหวังเฟยที่ใช้ทั้งสกิลดาบขุนเขากับดาบเมฆาเคลื่อนได้ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่โชคโชนโดยที่เจ้าตัวไม่ได้แสดงความลำบากในการรับมือออกมาเลย
และตอนนี้เองหวังเฟยหลบการโจมตีพร้อมกับร่นถอยหลังจากนั้นก็เก็บดาบแล้วเปลี่ยนมาเป็นอาวุธลับแทน หลินอี้เหยาเบิกตากว้าง รวมถึงคนอื่นๆก็เช่นกัน พวกเขาไม่คิดเลยว่าหวังเฟยจะสามารถใช้อาวุธลับได้ด้วย
จะออกตัวไปประชิดหวังเฟยตอนนี้ก็สายไปแล้ว เขาขมวดคิ้วแน่น เพราะไม่รู้ว่าฝีมือการใช้อาวุธลับของหวังเฟยจะดีขนาดไหน หวังเฟยยิ้มออกมาจากนั้นก็ใช้สกิล วงล้อมตาข่าย หวังเฟยปาอาวุธลับจำนวนมากเข้าใส่หลินอี้เหยาอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยความเร็วและจำนวนที่เยอะเกินไปทำให้หลินอี้เหยาพบเจอความยากลำบากในการรับมือกับอาวุธรับของหวังเฟยอย่างมาก นอกจากนี้ เมื่อเขาพยายามเข้าใกล้ตัวหวังเฟย เขาก็พบว่ามันไม่ง่ายเลย เพราะหวังเฟยใช้อาวุธลับเหล่านี้มาบีบการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างใจนึก
แม้ว่าอาวุธลับเเหล่านี้จะไม่ได้มีพิษ แต่ด้วยความเร็วของมันก็มากพอที่จะสร้างบาดแผลให้หลินอี้เหยาได้บ้าง หากไม่ใช่เพราะประสบการณ์ที่เขามี เกรงว่าคงไม่อาจป้องกันอาวุธลับของหวังเฟยและูอาวุธลับเล-่านี้โจมตีจนบาดเจ็บหนักไปแล้ว ตอนนี้ทางเลือกของเขามีไม่มากนัก เขาสบทออกมาด้วยความโกรธ
“ หวังเฟย เจ้ามันขี้ขาด ไม่กล้ามาสู้กับข้าตรงๆ!! ”
หวังเฟยมองไปที่หลินอี้เหยาด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะยิ้มออกมา เขาไม่ได้หยุดการโจมตี เขายังคงปาอาวุธลับต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ปาไปเกือบร้อยชิ้นได้แล้ว ด้วยเทคนิคการเก็บของเข้าช่องเก็บของ ทำให้หวังเฟยมีอาวุธลับไม่จำกัด และเหล่าคนที่กำลังมองดูการประลองอยู่ก็ประหลาดใจกับเทคนิคของหวังเฟย พวกเขาไม่รู้ว่าหวังเฟยทำได้อย่างไร พวกเขาคิดว่ามันต้องเป็นเพราะแหวนมิติแน่นอน แต่หลายคนก็รู้ว่ามันไม่ใช่เพราะแหวนมิติ เพราะแหวนมิติไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ หวังเฟยยังคงเคลื่อนที่เพื่อรักษาระยะห่างพร้อมกับปาอาวุธลับต่อไปเรื่อยๆไม่หยุด
“ เจ้าจะบอกว่าทุกคนที่ใช้อาวุธลับโจมตีเป็นพวกขี้ขาดงั้นหรือ?? เจ้าคงไม่ได้สมองเลอะเลือนถึงขนาดที่จะลืมไปว่าทักษะการใช้อาวุธลับก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง…หรือแม้แต่โชควาสนา ก็ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเช่นกัน ”
“ เจ้า!!...ได้ เจ้าบีบบังคับข้าเองนะ…เดิมทีตั้งใจจะเก็บเอาไว้เป็นความลับจนกว่าจะถึงวันสอบเข้าเป็นศิษย์ใน แต่คงงทำอย่างนั้นไม่ได้แล้วสินะ ”
ในตอนนั้นเอง หลินอี้เหยาปัดป้องอาวุธลับของหวังเฟย พร้อมกับกระโดดถอยหลังหลบไป จากนั้นก็โคจรปราณอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้ทักษะปราณอย่างหนึ่งออกมา ร่างกายของหลินอี้เหยาเริ่มรวบรวมปราณทั้งภายในและภายนอก มาหุ้มร่างกายเอาไว้
“ นั่นมันทักษะอะไรกัน!? ”
ถึงแม้ว่าหวังเฟยจะไม่รู้ว่าหลินอี้เหยาจะทำอะไร แต่เขารู้สึกสงหรณ์ใจไม่ดี เขาจึงเลือกที่จะโจมตีแทนที่จะอยู่เฉยๆ แต่ยังไม่ทันที่อาวุธลับจะไปถึงตัวหลินอี้เหยา พลังปราณที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้ก็ระเบิดออกมาโดยฉับพลัน ทันให้อาวุธลับเหล่านั้นกระเด็นย้อนกลับไปหาหวังเฟย
“ เทคนิคระเบิดพลังปราณ!! ”
“ ทำไมหลินอี้เหยาถึงสามารถใช้ทักษะนี้ได้!?? ”
ตอนนี้เอง เหล่าผู้อาวุโสก็รู้ได้ทันทีว่าหลินอี้เหยาใช้ทักษะอะไร มันคือทักษะที่ใช้เพื่อระเบิดปราณในร่างกายในยามที่เจอกับสถาการณ์ขับขัน ถึงมันจะเพิ่มพลังปราณในร่างกาย แต่ผลของมันก็ไม่ต่างอะไรกับโอสถระเบิดพลัง แค่มีผลกระทบน้อยกว่าเท่านั้น นั่นคือพลังปราณภายในร่างกายจะเหือดแห้งไป จะต้องพักฟื้นอย่างน้อยหนึ่งวันถึงจะดีขึ้น และจะต้องพักอย่างน้อย 3 วันถึงพลังปราณจะกลับมาเหมือนเดิม
แต่ปัญหามันอยู่ที่จะเรียนรู้ทักษะนี้ได้ก็ต้องเป้นศิษย์ในเสียก่อน มันไม่ใช่ทักษะที่ดีอะไรมากมายนักหรอก และหลายๆคนที่เข้าสถาบันก็มีทักษะที่ดีกว่าทักษะระเบิดปราณกัน แต่ที่เหล่าผู้อาวุโสอยากรู้คือ หลินอี้เหยามีทักษะนี้ได้อย่างไร แต่เรื่องนั้นพวกเขาช่างมันก่อน ตอนนี้พวกเขาอยากรู้ว่าหวังเฟยจะแก้ไขสถาการณ์ตรงหน้าอย่างไรมากกว่า แล้วผลการประลองใครจะชนะกันแน่
ตอนนี้หวังเฟยกลับมาเสียเปรียบอีกครั้ง ลู่หยางรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี เพราะรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย เขามองไปที่หวังเฟยด้วยความเป็นห่วง
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??