เรื่อง The Letter .. จดหมายฉบับสุดท้าย
1
ก่อนเขียนจดหมายรัก
……….
“คณะอักษรศาสตร์”
“ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าใครๆ ก็ส่งข้อความและอีเมลติดต่อสื่อสารกัน เพราะฉะนั้นจดหมายรักจึงมีเสน่ห์แบบคืนวันเก่าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจดหมายรัก ที่ต้องเขียนด้วยลายมือ ทำให้จดหมายรักกลายเป็นของหายากและแสนพิเศษ …จดหมายรักเป็นของที่ระลึกที่สามารถเก็บไว้ สามารถนำมาอ่านซ้ำๆ วนๆ และซาบซึ้งไปกับเนื้อหาในจดหมายไปได้อีกนาน … จดหมายรักเป็นของขวัญพิเศษสำหรับคนที่คุณรัก การเขียนจดหมายรักไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใช้เวลาและการคิดทบทวนเพื่ออธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของคุณ” …..
สิ้นเสียงประกาศของ “กวีวัธน์ ศุภไพบูลย์” หรือ “วี” (นักศึกษาชั้นปีที่สาม หนุ่มหล่อสุดคูล รูปร่างสันทัด และยังเป็นหนุ่มที่มีลักยิ้มอันประหารใจกับผู้ที่ได้พบเห็นรอยยิ้มของเขา แถมมีดีกรีเป็นอดีตเดือนคณะอักษรศาสตร์ และยังประธานชมรมวรรณศิลป์มาจนถึงทุกวันนี้) ..
ที่กำลังทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ชักชวนเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมต่อหน้าเพื่อนร่วมคณะ และผ่านการไลฟ์สดในเพจเฟสบุ๊คของชมรม เพื่อชักชวนผู้คนที่สนใจเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกับคณะของตนเอง ซึ่งก็ได้ผลตอบรับกลับมาแบบไม่คาดคิด และสามารถปิดยอดสมาชิกของชมรมได้ถึง ๓๖๙ คน นับว่าเป็นความสำเร็จของวี ในการเป็นประธานชมรมไปอีกหนึ่งปีเลยทีเดียว ….
……
“คณะเภสัชศาสตร์”
“นี่มึงคิดยังไงวะ ถึงอยากเข้าชมรมไปเขียนจดหมาย?? ” .. เสียงของ “ชลัมพล” หรือ “พล” นักศึกษาหนุ่มที่กำลังถามเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยความสงสัย
“เออน่ะ!! ก็กูอยากไปรำลึกถึงความหลังไงวะ ว่าคนสมัยก่อนเขาเขียนจดหมายจีบกันยังไง” ... “ชลธร” หรือ “ชล” เพื่อนหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำ ดีกรีนักกีฬามหาวิทยาลัยที่มีความหล่อเป็นอาวุธติดตัวมาตั้งแต่เกิด… ที่ตอบคำถามของเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและนุ่มๆ ตามสไตล์ผู้ชายอบอุ่นของเขา ให้เพื่อนสนิทอย่างพลได้หายสงสัย…
……..
Part ชลธร
“นี่ไอ้ชล มึงแน่ใจแล้วหรอวะ มึงตอบกูมาดีๆ ” …. เสียงพล เพื่อนของผมถามด้วยความสงสัยไม่เลิก และยังชักสีหน้าสงสัยไปเรื่อยๆ
“เออ กูตัดสินใจดีแล้ว มึงไม่ไปกับกูก็แล้วแต่มึงเถอะ” …. ผมตอบพลไปด้วยความรู้สึกที่แน่วแน่ และตั้งใจของผม เพราะผมมีความตั้งใจจะไปเข้าชมรม The Letter อยู่แล้ว
“เออๆๆ ไปๆๆ ไปก็ไปวะ” …. พล ตอบผมท่าทางเหมือนกับคนโดนบังคับยังไงก็ไม่รู้เลยล่ะ
“กูไม่ได้บังคับมึงเลยนะเว้ย มึงไม่ไปก็ไม่เห็นจะเสียหายเลยนิหว่า” …. ผมตอบกลับไปด้วยความที่เริ่มรำคาญกับการทำตัวของเพื่อนผม
“แล้วมึงล่ะ ไอ้ที ไปกับมันป่าววะ” …. เสียงของพล ที่หันหน้าไปถามเพื่อนในแกงค์อีกหนึ่งคนด้วยความที่อยากรู้คำตอบ
“ไป .. ใครไปไหนกูไปหมดอ่ะ ไม่ซีเรียสว่ะ” …. “นที” หรือ “ที” เพื่อนสนิทของผมอีกหนึ่งคนที่อยู่ในแกงค์เดียวกันกับผม ที่ตอบสนทนากลับไปหาพลด้วยความเรียบๆ ง่ายๆ สบายๆ เพราะว่านิสัยส่วนตัวของนที จะเป็นเพื่อนสายชิลล์ๆ ที่คอยไหลตามน้ำไปกับเพื่อนอยู่เสมอ..
“เออ … ไปก็ไปวะ” ….. เสียงพลตอบอย่างสิ้นหวัง
“นี่กูไม่ได้บังคับมึงเลยนะเพื่อน ไอ้ทีก็ไม่ได้บังคับมึงเหมือนกัน ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปก็ได้ มางอแงเป็นเด็กน้อยไปได้” …. ผมตอบกลับไปด้วยความที่ผมชักจะเริ่มรำคาญเพื่อนเด็กของผมคนนี้แล้ว
“เออ กูก็จะไปนั่นแหล่ะ ลองดูก็ได้วะ ก็ไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย” ….. พลตอบผมด้วยการทำหน้าบูดพรางๆ ไปด้วย
“ก็แค่เนี้ย ไม่เห็นจะต้องง้องแง้งอะไรให้ใหญ่โตเลย มึงนะมึง….” นทีก็ตอบกลับพล ด้วยอารมณ์ที่เหมือนกันกับผม
“เออ กูขอโทษษ … แล้วจะไปกันยังอ่ะ” …. พลถามผมสองคนด้วยอาการที่อยากรู้อยากเห็นกับกิจกรรมที่กำลังจะไปลงทะเบียนเข้าร่วมในวันนี้
“ก็กำลังจะไปนี่แหละ ถ้าไม่เสียเวลากับการงอแงของมึง” ….. ผมตอบพลแกมบ่นไปพรางๆ
“เออๆๆๆ ไม่งอแงแล้ว ไปดิ เดี๋ยวคนก็เต็มหรอก” ….. พลตอบคำถามจบ ก็รีบดึงแขนของผมกับนที เดินไปยังตึกคณะอักษรฯ ระยะทางไม่ไกลกันมากนะครับ แต่ก็เหงื่อซกเหมือนกัน
………
“คณะอักษรศาสตร์”
Part กวีวัธน์
“จะบ่ายสามแล้วนะพวกมึง เก็บของเถอะ คงไม่มีใครมาแล้วล่ะ” …. เสียงของ “กีรติ” หรือ “บุ้งกี๋” เพื่อนสนิทของผม เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่อยากจะกลับหอพักอย่างเต็มที่
“เอออๆๆ เก็บเลยก็ได้มึง วันนี้พวกเราก็เหนื่อยมามากละ กลับไปนอนกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” ….. ผมที่ตอบรับบุ้งกี๋ ด้วยความที่สงสารเพื่อนเพราะเห็นว่าวันนี้เพื่อนของผมทุกคนเต็มที่กันมากๆ
“โอเค เก็บของงงง!!” ….. เสียงของบุ้งกี๋ ที่ตะโกนออกมาเหมือนได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะรอกลับหอพักไปนอนพักผ่อน และทุกคนก็ได้ทำการเก็บของเข้าห้องชมรมกันทันที
“เดี๋ยวครับ!! อย่าเพิ่งเก็บครับ รอพวกผมก่อน” …. ในขณะที่ผมกับเพื่อนเก็บของกลับห้องชมรม ก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนปริศนาตะโกนเข้ามายังกลุ่มของพวกผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บของกันอย่างขมักเขม้น … มีนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ที่มากันสามคน รีบวิ่งข้ามาที่จุดลงทะเบียนของชมรมของผม … ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเป็นใคร ได้ยินแต่เสียงพวกนักศึกษาสาวๆ ลั่นเสียงกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ และต่างตะโกนกันออกมาว่า “แกงค์ช้างเผือก .. ทำไมถึงมาที่นี่ได้” ที่ผมจับใจความได้ ก็มีเพียงเท่านี้ครับ นอกจากนั้นก็ได้ยินแต่เสียงกรี๊ดของสาวๆ เพียงอย่างเดียว
“เดี๋ยวครับ!! ผมมาลงทะเบียน รอก่อน” …. เสียงของผู้ชายร่างใหญ่กำยำ กล่าวด้วยเสียงอ้อนวอนที่ขัดกับใบหน้าอันหล่อเหลาบาดใจของเขาเป็นอย่างมาก
“โอ้โห่!! นึกว่าใคร ลมอะไรหอบพวกมึงมาที่นี่ได้ครับ ไอ้นทีและคณะ” ….. “พิภพ” หรือ “ภพ” เพื่อนสนิทของผมอีกหนึ่งคน ที่ได้เอ่อยถามนที พี่น้องฝาแฝดของมัน ว่าทำไมถึงพาเพื่อนของมันมาขอเข้าชมรมของผมได้ ทั้งๆ ที่เป็นไปได้ยากมากกับพวกแกงค์ช้างเผือก ที่จะต้องมาทำกิจกรรมที่ไม่เข้ากับตัวเองแบบนี้
“พอดีเจ้าชายของกู .. มันอยากเขียนจดหมายจีบสาวว่ะ เลยพามันมาลงชมรมนี้” …. นทีตอบกลับพี่ชายฝาแฝดด้วยน้ำเสียงที่กวนๆ
“โอ้โห!! อย่างไอ้ชลเนี่ยนะจะเขียนจดหมายจีบใครเขา .. กูว่าแค่เขียนป้ายโสดครับแล้วคล้องคอมัน ละก็ให้ไปยืนตรงหน้าคณะอ่ะ กูว่าหัวกระไดคณะมึงไม่แห้งแล้วล่ะว่ะ ไม่เห็นจะต้องมาเขียนจดหมายให้ยุ่งยากเลย โถ่!!” …. บุ้งกี๋แซวกลับด้วยน้ำเสียงที่ชวนฉงนและกวนๆ กลับไปหานที
“เวอร์ละ … พวกมึงก็สรรหาพูดไปเรื่อย กูก็อยากมารึลึกความหลัอ่ะ ละก็อยากจะรูด้วยว่าสมัยพ่อแม่เราอ่ะ เขียนจดหมายจีบกันยังไงเว้ย!!” ….. เสียงของชลธร ตอบกลับบุ้งกี๋ด้วยท่าทีที่จริงจัง และนุ่มเย็น
“อ่ะ .. เอาใบสมัครไปกรอกกันนะ เสร็จแล้วเรียกกูนะ กูเก็บของก่อน” …. ผมที่ยื่นใบลงทะเบียนให้พวกเภสัชฯ ได้เอาไปกรอกกัน หลังจากนั้นผมกับเพื่อนๆ ของผมก็รีบเก็บของเข้าห้องกันต่อ
“เดี๋ยวก่อนสิ … ไม่เห็นหน้ากันนานเลยนะ สบายดีหรือเปล่าล่ะ ^^” …. ชลธร ดึงแขนของผมไว้ และถามผมด้วยท่าทางที่ยิ้มแย้มแจ่มใสปนกับเยาะเย้ยผมเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา …. เพราะหลังจากที่ผมคัดเลือกนักกีฬาของมหาวิทยาลัยแพ้ให้กับชลธร ผมก็ถูกมันแซวหรือว่าเยาะเย้ยผมมาโดยตลอด ซึ่งมันก็ทำให้ผมไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่เลย
“………” ผมก็ไม่ได้ตอบคำถามของชล แม้แต่อย่างใด ด้วยความรีบกลับหอของผม บวกกับการที่ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันด้วยแหละครับ
“อ้าวว!! คนเขาอุตส่าห์ทักทายด้วยความเป็นห่วง ไม่คิดจะตอบกันหน่อยหรอครับ …. ประธานชมรม The Letter นี้หยิ่งจังเลยนะครับ” ….. น้ำเสียงของชล ที่ตะโกนออกมาหลังจากที่ผมหันหลังแล้วกำลังจะเดินไปเก็บของต่อ น้ำเสียงและน้ำคำที่กวนๆ ของชล มันทำให้ผมหัวร้อนขึ้นทันทีในระดับนึงเลยก็ว่าได้
“ขอโทษนะ!! ถ้าหากว่าคุณยังมีแววตาของความเป็นคน และยังพอมีเหลืออยู่สักนิดนึง คุณก็ช่วยแหกตาดูด้วยนะครับว่าผมทำอะไรอยู่ ถ้าเห็นก็ช่วยเงียบๆ แล้วกรอกใบสมัครให้เสร็จนะครับ … อย่าเพิ่งมาหิวเผือกเวลานี้ เพราะไม่มีเวลาหาเผือกให้แดกครับ ขอโทษนะครับผมต้องเก็บของกลับห้องชมรม” ….. ผมที่ตอบกลับชล ด้วยความที่หงุดหงิดอยู่ภายในใจบวกกับไม่ค่อยชอบมันเป็นทุนเดิม ผมเลยตะหวาดเสียงกลับไปโดยทันที ท่ามกลางผู้คนที่คอยมองดูอยู่รอบๆ อย่างตกใจและตะลึงกับการสนทนาของผม ที่น้อยครั้งจะมีคนได้ยินแบบนีี้
…………………….
Part ชลธร
“เชี่ยยย!! ปากแจ๋วกว่าที่คิดว่ะ ร้ายย!!” …. ผมที่ต้องตะลึง หลังจากที่วีตอบผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจในการเย้าแหย่ของผม มันทำให้ผมถึงกับหน้าชาไปชั่วคณะทันทีที่ผมได้เห็นและได้ยินอากับกิริยาของวีแบบนั้น
“หน้าชา … เจ็บมั้ยล่ะมั้ยมึง” ….. พล ที่ตอกย้ำความหน้าชาของผม ทำให้ผมยิ่งอยายคนเข้าไปอีก เพราะว่าตอนนี้ มีแต่คนให้ความสนใจเรื่องของผมมากขึ้นกว่าเดิม จนตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวแบบไหนแล้ว คำพูดและสีหน้าของวี ทำให้ผมเสียความมั่นใจไปเลยทันที
“เฉยๆ ว่ะ … ยิ่งทำแบบนี้ กูอยากยิ่งค้นหามากขึ้นกว่าเดิมละ .. ก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าจะไม่ชอบกูไปถึงเมื่อไหร่” ผมที่ตอบเพื่อนๆ ไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างมั่นใจ แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้มันอายมากกว่าความมั่นใจ แต่ทำยังไงได้ ผมก็ต้อง Keep Look ตัวเองไว้ก่อน
“กูว่าเห็นทีจะยากว่ะ ทำกับมันไว้เยอะ … กูหวังว่า ไอ้วี มันคงไม่บีบคอมึงนะเว้ย ฮ่าๆๆๆ +” …. นที ที่แซวผมด้วยท่าทางหัวเราะเยาะชอบใจ ที่ผมโดนกวีวัธน์ พูดแรงๆ ใส่ผม อีกทั้งมีพลยังหัวเราะด้วยกันกับนทีอีก ผมก็รับมุขหัวเราะด้วย ทั้งๆ ที่ยังอายก็ตาม
…………….
“ห้องชมรมวรรณศิลป์”
Part กวีวัธน์
“นี่!! กูสังสัยมานานละ ว่าทำไมพวกนั้นได้ฉายาว่า แกงค์ช้างเผือกวะ” ….. ผมที่สงสัยกับฉายาที่ใครต่อใคร ต่างก็เรียกพวกเภสัชแกงค์นั้นว่า แกงค์ช้างเผือก
“มึงนี่ก็ไม่หลับหูหลับตาเหมือนเดิมนะไอ้วี .. มึงนั่งลง เดี๋ยวกูจะอธิบายให้มึงฟังเอง ว่าทำไมไอ้สามคนนั้นน่ะ ถึงได้ฉายาว่าเป็นแกงค์ช้างเผือก” ….. บุ่งกี๋ที่ตอบผมด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ และพร้อมจะอธิบายเรื่องราวให้ผมฟหังตลอดเวลา
“อ่ะ เล่าให้กูฟังสิ….” …. ผมตอบบุ่งกี๋กับท่าทางที่อยากรู้ ส่วนบุ้งกี๋ก็ไม่รอช้า รีบเล่าให้ผมฟังอย่างเป็นตุเป็นตะ
“ที่มาของคำว่าแกงค์ช้างเผือกอ่ะนะ … มันก็จริงแหล่ะที่จะเข้ากับไอ้สามคนนั้น อย่างคนแรกเลยก็ ไอ้นที นายนที กิตต์มั่นคง … แฝดพี่ของไอ้ภพ หนุ่มชิลล์ๆ รูปหล่อ สูงโปร่งขาวตี๋ ปากนิดจมูกหน่อย นี่ถ้าเอามายืนเทียบกับน้องมันนะ แยกไม่ออกกันเลยว่าคนไหนไอ้ที คนไหนไอ้ภพ” …… บุ้งกี๋เล่าด้วยท่าทางที่จริงจัง
“เวอร์ กูหล่อกว่ามันครับ” …… ภพ ที่เสียงแข็ง และคัดค้านที่ไม่ยอมให้คนอื่นมองตัวเองว่าหน้าตาดีเหมือนแฝดพี่ นิสัยช้างเด็กเอาซะเหลือเกินนะหนู
“อะไรของมึงไอ้ภพ … อ่ะคนที่สอง นายชลัมพล วงศ์เวียงพิงค์ หรือไอ้พล … หนุ่มเมืองเหนือผู้เพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง ทั้งหน้าตา การศึกษา และวงศ์ตระกูล …. มีศักดิ์ลูกชายเจ้าของไร่ชา และโรงงานผลิตกาแฟ เจ้าดังของจังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าเป็นของดีหายากจังหวัดเชียงใหม่เลยก็ว่าได้” …… บุ้งกี๋ยังเล่าเรื่องด้วยท่าทางที่จริงจังต่อไป
“อินเนอร์มึงอ่ะนะ….” ….. ผมที่แอบขำกับการเล่าเรื่องของบุ้งกี๋ แต่ก็ฟังเพลินดีนะ ส่วนภพ ทำได้แต่นั่งขมวดคิ้ว เพราะปวดหัว แต่ก็ชินกับท่าทางของเพื่อนคนนี้แล้วล่ะ
“เออน่ะ กูชอบเล่าแบบนี้อ่ะ… ม่ะ”
“ส่วนคนที่สาม คนสุดท้าย .. คนนี้ล่ะตัวจี๊ด นั่นก็คือ….. นายชลธร อารีย์พิพัฒน์ หรือ ไอ้ชล หนุ่มหน้ามนคนรูปหล่อ สูงยาว เขาดี ซิคแพกเน้นๆ ลูกชายทันตแพทย์โรงพยาบาลชื่อดัง หน้าตาดีกันทั้งบ้าน โดยเฉพาะน้องสาว สวยจนพี่ชายหวงถึงขั้นต้องเป็นคนเลือกผู้ชายให้น้องสาวกันเลยทีเดียว …. แต่”
“มันกวนส้น-ีน …..” …. ผมที่ขัดจังหวะของบุ้งกี๋ในเวลานั้น จนทำให้มันเลิกเล่าไปโดยทันที
“………..” เพื่อนสองคนของผมนั่งเงียบกันเป็นแถว
“ไปเถอะพวกมึง เก็บของต่อ ง่วงชิปหายยยยยยย” ….. ผมที่ชวนเพื่อนรีบออกไปเก็บของกันต่อ เพราะว่าผมอยากกลับหอไปนอนสักที ก็เหนื่อยกันมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะครับ ^^
to be continued
ฝากติดตาม กดไลค์ คอมเม้นต์ติชม กันด้วยนะครับ ^^
แล้วไว้มาอัพต่อน๊าาาา
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??