เรื่อง สตรีที่ถูกทอดทิ้ง
บทนำ
าึคืนหนึ่ง
บนเส้นทางสายหลักของเมืองหลวงที่ตัดผ่านภูเขาลูกใหญ่บริเวณชานเมืองของแคว้นมังกรดำ มีกองทัพของทหารกองใหญ่กำลังเดินทัพจากเมืองหลวงมุ่งหน้าลงสู่หัวเมืองทางทิศใต้ เสียงกระพรวนที่ติดอยู่บนข้อเท้าม้าศึกนับร้อยตัวดังผสานไปกับเสียงฝีเท้าม้าที่ย่ำลงบนถนน ก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้องกังวานไปทั่วทุกแห่งที่พวกมันย่างผ่าน เสียงเดินทัพของทหารกองใหญ่ ธงทิวที่ปลิวไสวกับคบไฟที่ส่องสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน ขับไล่คนพเนจรที่อยู่บนถนนเส้นนั้นกับฝูงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่ออกหากินในเวลากลางคืน ให้รีบหลบหลีกไปให้ห่างจากขบวนเสด็จของฮ่องเต้แคว้นเฮยหลงที่กำลังเสด็จไปยังหัวเมืองทางใต้
เมื่อขบวนทัพของฮ่องเต้เดินทางผ่านเมืองหลวงไปเกือบ 50 ลี้ แม่ทัพผู้นำขบวนก็ออกคำสั่งให้ทหารในขบวนจัดทัพเพื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่องเขาที่ตัดผ่านภูเขาหินลูกหนึ่ง ขบวนเสด็จของฮ่องเต้ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านช่องเขาแคบอย่างเป็นระเบียบ แต่เมื่อกองทัพของฮ่องเต้เคลื่อนพลไปได้แค่ครึ่งทาง ก็มีแสงไฟสว่างไสวจากคบเพลิงนับร้อยดวงเคลื่อนพลเข้ามาขวางหน้าขบวนเสด็จเอาไว้ แม่ทัพผู้นำทัพม้าศึกรีบส่งสัญญาณเตือนภัยทันที จากนั้นก็มีเสียงตะโกนโห่ร้องดังอื้ออึงสั่งให้ทหารทุกคนในขบวนเสด็จกว่าห้าพันชีวิต ช่วยคุ้มกันราชรถของฮ่องเต้
“มีข้าศึกแอบลอบโจมตี แปรขบวนทัพ คุ้มกันฮ่องเต้”
“แปรขบวนทัพรับข้าศึก ปกป้องฮ่องเต้เฮยหลง”
เนื่องจากระยะทางที่ขบวนเสด็จผ่านเข้ามาถึงเป็นถนนช่วงที่แคบที่สุดของช่องเขาแห่งนั้น อีกทั้งเบื้องบนสุดของกองทัพที่เป็นหน้าผาสูงชันก็มีทหารพลธนูของฝ่ายศัตรูกำลังอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ขอเพียงแค่มีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ลูกศรชุบไฟนับพันก็จะพุ่งเข้าหาเป้าหมายที่อยู่เบื้องล่างทันที
ขบวนเสด็จของฮ่องเต้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คับขัน แม่ทัพม้าผู้คุ้มกันขบวนเสด็จจึงประวิงเวลาด้วยการเอ่ยปากเจรจากับแม่ทัพของข้าศึกที่ควบม้าขึ้นมาอยู่หน้าสุดของกองทัพศัตรูที่กำลังประจันหน้ากันอยู่ในขณะนี้ เพื่อถ่วงเวลาให้ทหารม้าของตนรีบกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อขอความช่วยเหลือจากทัพใหญ่
“แม่ทัพฟางกล้าดียังไงถึงได้นำทหารมาขวางทางเสด็จของฝ่าบาท รู้หรือไม่บทลงโทษของพวกกบฏคืออะไร” แม่ทัพม้าผู้นั้นตะคอกใส่ผู้เป็นกบฏที่นำทหารเข้ามาขัดขวางขบวนเสด็จของฮ่องเต้ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเวลานี้จะมีผู้ใดอาจหาญกล้าวางแผนลอบทำร้ายฮ่องเต้ผู้เป็นเจ้านายของทุกคน
เมื่อแม่ทัพฟางผู้เป็นหัวหน้ากองทหารกบฏได้ยินก็หัวเราะร่า แล้วตะคอกใส่แม่ทัพม้าผู้คุ้มกันขบวนเสด็จอย่างดุร้าย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ยังไงคืนนี้ เซี่ยตู๋กูนายของเจ้าก็ไม่มีทางรอดแน่ ทหารขององค์ชายเซี่ยอวีสุ่ยได้ปิดล้อมเมืองหลวงไว้หมดแล้ว แม่ทัพฝูชิงเจ้าจงวางดาบลงแต่โดยดีแล้วยอมสวามิภักดิ์กับพวกเราเสีย หาไม่แล้วแม้แต่ศีรษะของลูกเมียเจ้าก็จะไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ซาก!” แม่ทัพแซ่ฟางตวาดใส่แม่ทัพม้าชื่อฝูชิงผู้ทำหน้าที่คุ้มกันขบวนเสด็จ ทำให้แม่ทัพม้าโต้กลับด้วยน้ำเสียงดุร้าย
“บังอาจนัก ฟางเมิ่งเตี๋ยเจ้ามันเป็นคนเนรคุณ ในอดีตฝ่าบาททรงชุบเลี้ยงคนอย่างเจ้าจนได้ดิบได้ดีกลายเป็นแม่ทัพคุมกองทัพหลวง แทนที่เจ้าจะสำนึกบุญคุณของพระองค์กลับสมคบกับคนถ่อยกระทำการทรยศต่อฝ่าบาท ซ้ำยังมีหน้าพาทหารมาต่อปากคำเอ่ยวาจาสามหาวต่อหน้าฝ่าบาทของข้า คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะยืนอยู่ตรงนี้ จงหลีกทางไปซะ หาไม่แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” แม่ทัพม้าโต้ตอบกลับด้วยถ้อยคำดุเดือด
เวลาเพียงครึ่งเค่อที่ต่อปากต่อคำกับศัตรูก็เพียงพอให้ทหารข้างหลังตั้งขบวนรับการโจมตีของข้าศึกที่โผล่เข้ามาอย่างไม่คาดฝัน จนกระทั่งทหารองครักษ์ที่คุ้มกันราชรถของฮ่องเต้แปรขบวนทัพเป็นค่ายกลแล้ว ก็มีคำสั่งอย่างองอาจจากฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ข้างใน สั่งให้ทหารทุกคน...สู้ตาย
พริบตาต่อมา ท่ามกลางเสียงหวีดหวิวของสายลมที่พัดผ่านหน้าผา กองทหารของทั้งสองฝ่ายก็พุ่งเข้าหากัน ต่อสู้ห้ำหั่นอย่างดุเดือด ธนูเพลิงจากข้างบนหน้าผาถูกยิงลงมาใส่คนข้างล่างราวกับ-่าฝนสีเพลิง ส่งให้เปลวไฟร้อนระอุเผาไหม้กลืนกินทุกชีวิตที่กำลังต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งในช่องเขาแห่งนั้น
ครึ่งชั่วยามต่อมา
เบื้องหน้าของทะเลเพลิงที่ลุกไหม้มีซากศพมากมายของทหารจากทั้งสองกองทัพนอนตายระเกะระกะทับถมกันอยู่ เสียงลมหวีดหวิวผ่านรอยแตกตามซอกหินดังโหยหวนราวกับเสียงของภูตผีปีศาจกำลังคร่ำครวญ บุรุษชุดดำคนหนึ่งสวมเกี้ยวประดับมวยผมสีทองยังคงกำดาบด้ามใหญ่ในมือไว้มั่น เขาตวัดดาบฟาดฟันใส่ร่างของทหารนับร้อยคนที่พากันรุมล้อมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
แม้เบื้องหลังของเขาจะไม่เหลือทหารในกองทัพแม้แต่คนเดียว แต่บุรุษชุดดำก็ยังไม่ยอมจำนน ยังคงตวัดดาบคมกริบเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด จนชุดสีดำที่เขาสวมอยู่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดของศัตรูผสมปนเปไปกับเลือดจากร่างกายของเขาที่ไหลออกมาจากบาดแผลหลายแห่งทั่วร่าง
“เซี่ยตู๋กู วางดาบของเจ้าลงแล้วยอมจำนนเดี๋ยวนี้ เห็นหรือไม่บัดนี้ทหารของเจ้าหาได้มีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ข้าจะให้โอกาสเจ้ามีชีวิตรอดกลับไปยังเมืองหลวง แต่เจ้าต้องยอมก้มหัวให้กับนายของข้าต่อหน้าราษฎรทั้งปวง แล้วพระองค์จะปูนบำเหน็จให้เจ้าได้เป็นไท่อ๋องผู้ภักดีต่อแคว้นมังกรดำของพวกเรา ที่ผ่านมาเจ้าเคยได้รับสิ่งใดก็ยังคงได้รับเช่นเดิมไม่ขาด ขอแค่ยอมก้มหัวให้นายของข้าเท่านั้น แล้วพระองค์จะมอบทุกอย่างให้แก่เจ้า”
แม่ทัพแซ่ฟางชี้ปลายดาบของตนเองไปที่บุรุษชุดดำผู้ถูกขานนามว่าเซี่ยตู๋กู แต่คำพูดของแม่ทัพผู้โอหังกลับหาได้ทำให้บุรุษชุดดำหยุดการเคลื่อนไหวไม่
เซี่ยตู๋กูเงยหน้าขึ้นเปล่งเสียงหัวเราะร่าราวกับกำลังเย้ยหยันศัตรู พร้อมกับที่สองมือยังไม่หยุดตวัดคมดาบใส่ร่างของทหารที่ดาหน้ากันเข้ามาเรื่อยๆ สังหารผู้คนเหล่านั้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ใต้บัญชาของเขารวมถึงแม่ทัพฟางที่กำลังเอ่ยวาจาโอหังใส่เขาเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฟางเมิ่งเตี๋ย คนทรยศอย่างเจ้ายังมีหน้าพูดจาเยี่ยงนี้กับข้าเชียวหรือ คิดหรือว่าข้าจะเชื่อคำโป้ปดของสุนัขสองหัวอย่างเจ้า บ่าวเลวที่คิดคดต่อเจ้านายหาได้คู่ควรต่อคำว่าไว้ใจอีกแล้ว ตัวข้าทำผิดเองที่เลี้ยงคนอย่างเจ้าไว้ข้างกาย เวลานี้ข้าจะไม่ทำพลาดซ้ำสองด้วยการเชื่อลมปากของเจ้าอีกแล้ว เซี่ยอวีสุ่ยเป็นใครเล่าก็แค่เด็กอมมือที่ฉวยโอกาสตอนที่ข้าพลั้งเผลอแอบแทงข้างหลังข้า ตอนนี้สิ่งที่เจ้าจะได้จากข้ามีแค่ศีรษะของข้าเท่านั้น ถ้าหากคิดว่าเจ้ามีปัญญาก็จงเข้ามาเอาไปเอง” เซี่ยตู๋กูตอบกลับอย่างดุดัน
“ย๊าก!”
พลางเค้นลมปราณเฮือกใหญ่พาร่างชุ่มโชกโลหิตมุ่งหน้าเข้าหาแม่ทัพหนุ่มผู้มีนามว่าฟางเมิ่งเตี๋ยที่กำลังยืนเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน เมื่อเห็นว่าบุรุษชุดดำยังไม่หยุดการเคลื่อนไหว แม่ทัพผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังของฟางเมิ่งเตี๋ยก็ยกมือขึ้นสั่งให้ทหารของตนที่คุมเชิงอยู่รอบนอก ตั้งสายเกาทัณฑ์
“ใต้เท้าฟางท่านจะเกลี้ยกล่อมมันให้เสียเวลาไปไย อย่างไรเสียวันนี้พวกเราก็ต้องฆ่าจักรพรรดิดำผู้ชั่วช้าคนนี้ให้ได้! แผ่นดินเฮยหลงของพวกเราจะได้หลุดพ้นจากทรราชที่กระหายสงครามอย่างมันเสียที ออกคำสั่งเถิด ให้ทหารใช้ธนูโลกันตร์สังหารมันเสีย จะได้จบสิ้นกันไป”
นายทหารหนุ่มคนนั้นสวมเครื่องแบบยศรองแม่ทัพเอ่ยพูดกับฟางเมิ่งเตี๋ย คำว่าธนูโลกันตร์ที่หลุดออกจากปากของรองแม่ทัพทำให้เซี่ยตู๋กูหยุดชะงัก หันหน้ากลับไปจ้องรองแม่ทัพหนุ่มด้วยสายตาอาฆาต
ธนูโลกันตร์คือชื่อของอาวุธอันทรงอานุภาพ ซึ่งเซี่ยตู๋กูผู้นี้เป็นคนสร้างมันขึ้นมากับมือ จากภาพที่ได้เห็นผ่านดวงตาโลหิตข้างซ้ายบนใบหน้าของเขา ดวงตาสีแดงเพลิงข้างนั้นเขาใช้มันมองดูความก้าวหน้าอันแสนมหัศจรรย์ของสวรรค์อีกฟากหนึ่ง จนกระทั่งสามารถใช้เวลาเพียงแค่สิบปีรวบรวมแคว้นมังกรดำขึ้นมาจนเป็นปึกแผ่นกลายเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสี่แคว้นบนดินแดนที่ราบสูงแห่งนี้ ไม่ว่ากองทัพที่ทรงอานุภาพของเขากับนักรบมังกรดำจะย่างเท้าไปที่ไหน ก็มีแต่ความหายนะของศัตรูเกิดขึ้นที่นั่น
แต่วันนี้อาวุธทรงอานุภาพกับทหารเหล่านั้นกลับถูกคนที่อยู่ข้างหลังนำออกมาใช้ประหัตประหารผู้เป็นนายเหนือหัวเช่นเขา มันช่างเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี ที่สวรรค์เล่นตลกกับคนอย่างตนเช่นนี้
ริมฝีปากของเซี่ยตู๋กูยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันพลางเปล่งเสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติ
“ฮ่าๆ หลี่ซิวหยวนวันนี้เจ้าปีกกล้าขาแข็งจนเรียกข้าว่าทรราชเชียวหรือ”
“แผ่นดินผืนนี้ ถนนทุกเส้นในแคว้นนี้ แม่น้ำทุกสาย หินทุกก้อนที่รวมกันเข้าเป็นอาณาจักรเฮยหลงล้วนแต่เป็นเพราะฝีมือของข้าที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้น หากไม่มีข้าเป็นผู้บุกเบิกแผ้วถางหนทางรวบรวมกำลังพลขึ้นมา บ้านเมืองนี้จะกำเนิดขึ้นมาได้ยังไง สิบปีที่ข้ายอมเสียสละความสุขส่วนตัวเสี่ยงตายนำกองทัพออกสู้รบกับพวกศัตรูด้วยตัวเอง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ข้าจับอาวุธนำหน้าพวกเจ้าจนสามารถสร้างแคว้นแห่งนี้ขึ้นมาได้ แต่พอวันที่บ้านเมืองเริ่มจะเป็นปึกแผ่นตัวข้ากลับกลายเป็นทรราชให้พวกเจ้าชี้ปลายดาบเข้ามาสังหาร ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันสิ้นดี”
คำเยาะเย้ยถากถางของเซี่ยตู๋กูทำให้รองแม่ทัพหลี่โมโหจนหน้าแดงก่ำ เขาจึงตวาดใส่เซี่ยตู๋กูอย่างโกรธจัด
“หุบปากเดี๋ยวนี้อย่าได้คิดลำเลิกบุญคุณ สิบปีก่อนความทุ่มเทของเจ้าที่รวบรวมแคว้นนี้ขึ้นมาพวกเราต่างก็ซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่หากจะอ้างเรื่องความเสียสละก็หาได้เป็นเจ้าฝ่ายเดียวไม่ที่เสียสละตนเอง พวกเราพี่น้องทหารทั้งหลายต่างก็ร่วมเสียสละไม่น้อยไปกว่าเจ้า”
“เท่านั้นไม่พอ หลังจากบ้านเมืองเป็นปึกแผ่นแล้วแทนที่เจ้าจะทำนุบำรุงแผ่นดินนี้ให้งอกงาม แต่เจ้ากลับยังบ้าไม่หยุดเอาแต่ก่อศึกสงครามอีกนับไม่ถ้วน ทั้งที่รู้ว่าสองปีที่ผ่านมาแคว้นของเราต้องประสบกับภัยธรรมชาติใหญ่หลวง อากาศแห้งแล้ง พืชพรรณเหี่ยวเฉา ราษฎรพากันอดอยากยากจนลง แต่เจ้าก็ยังซ้ำเติมพวกเขาเพิ่มความทุกข์ยากให้กับราษฎรเพียงเพราะความกระหายเลือดของเจ้า”
“รู้หรือไม่ยามนี้ราษฎรเฮยหลงแทบจะกินกรวดทรายกับใบไม้แทนข้าวอยู่แล้ว เพราะพวกเขาต้องตรากตรำอย่างหนักหาเงินมาถมในสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นของเจ้า”
“ไม่ต้องพูดมากอีกแล้วเซี่ยตู๋กู อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่ต้องการฮ่องเต้กระหายเลือดอย่างเจ้าอีกแล้ว จงยอมมอบตัวแล้วกลับไปก้มศีรษะให้องค์ชายเซี่ยอวีสุ่ยเดี๋ยวนี้ อย่าให้ต้องบังคับกันอีกเลย” รองแม่ทัพหนุ่มตวาดราวกับกำลังระบายความคับแค้นใจที่ถูกเก็บกดไว้ออกมา
แต่คำพูดของรองแม่ทัพกลับกลายเป็นวาจาโอหังสำหรับเซี่ยตู๋กู จักรพรรดิดำระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง คิดอย่างสมเพชใจว่า คนที่อยากช่วงชิงอำนาจจะพูดจะอ้างอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะสรรหาเหตุผลใดมาเอ่ยอ้าง ก็ไม่อาจลบความจริงว่า แผ่นดินนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยสองมือของเขา
เขาคือเซี่ยตู๋กู เป็นบุรุษองอาจผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี เป็นจอมทัพผู้มีฝีมือต่อสู้อันน่าพรั่นพรึง มีอำนาจพิเศษที่เกิดจากดวงจิตอันเข้มแข็ง ทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นราชันผู้อยู่เหนือราชาทั้งปวง เขาคือโอรสแห่งสวรรค์เบื้องบนที่ถูกส่งลงมาปกครองใต้หล้า ไยต้องหวาดกลัวต่อคำขู่กระจอกงอกง่อยของฟางเมิ่งเตี๋ยกับลูกสมุนของมัน
เซี่ยตู๋กูจึงไม่คิดที่จะยอมทำตามคำขู่ของรองแม่ทัพ ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา จะกำลังอ่อนแรงลงทุกทีก็ตาม
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องพล่ามให้เสียเวลา คนอย่างข้าไม่มีวันก้มหัวให้ใคร ต่อให้ตายก็ไม่มีทาง!”
เซี่ยตู๋กูเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่ดวงตาโลหิตข้างซ้ายของเขาจะเปล่งประกายสีแดงเรืองรองออกมาแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็บังคับลมปราณกระโจนฝ่าวงล้อมทหารเข้าไปทางแม่ทัพฟางเมิ่งเตี๋ย รองแม่ทัพหลี่จึงโบกมือให้ทหารหลายคนที่คุมเชิงอยู่ข้างหน้าขว้างโซ่เส้นหนาคล้องตัวฮ่องเต้เอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ขัดรับสั่งขององค์ชายเซี่ยอวีสุ่ยผู้เป็นนายที่สั่งให้จับฮ่องเต้กลับมาอย่างตัวเป็นๆ เลยไม่อาจปลิดชีพฮ่องเต้เซี่ยตู๋กูได้
แต่เซี่ยตู๋กูใช้พละกำลังอันแข็งแกร่งจับโซ่เส้นใหญ่บนร่างสะบัดออกด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล จนทำให้ทหารหลายนายที่ใช้โซ่ล่ามเขาไว้ล้มกลิ้งระเนระนาดไปคนละทาง
“ย๊าก!”
เมื่อพันธนาการขาดสะบั้นลง เซี่ยตู๋กูฉวยโอกาสยึดเอาโซ่หนาสองเส้นของศัตรูมาใช้แทนอาวุธที่กระเด็นหลุดจากมือ จักรพรรดิดำเหวี่ยงโซ่เหล็กโจมตีใส่ทหารตรงหน้าหมายจะเข้าไปให้ถึงตัวแม่ทัพทั้งสอง
ด้วยพลังแห่งการทำลายล้างกับรังสีฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากร่างของเซี่ยตู๋กู ทำให้แม่ทัพหนุ่มที่ชื่อฟางเมิ่งเตี๋ยเผลอตกใจจนถึงกับผงะก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว สุดท้าย แม่ทัพทั้งสองไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมฝืนคำสั่งเจ้านายสังหารผู้ที่เรียกว่าตัวเองว่าจักรพรรดิดำเสีย แทนการจับตัวกลับไปทั้งเป็น
แม่ทัพฟางจึงตัดสินใจยกธนูโลกันตร์ในมือของตนขึ้น เล็งไปที่ร่างของจักรพรรดิดำที่กำลังพุ่งเข้ามา พร้อมกับที่รองแม่ทัพหลี่ส่งสัญญาณให้พลธนูที่รอท่าอยู่ยิงธนูใส่ฮ่องเต้ทันที
พริบตาเดียวกับที่ดวงตาโลหิตข้างซ้ายของเซี่ยตู๋กูเปล่งแสงสีแดงวาบอีกครั้ง เสียงดัง ‘ปัง!’ ก็กัมปนาทขึ้นจากมือของแม่ทัพฟางเมิ่งเตี๋ย พร้อมกับลูกธนูโลหะสีเงินพุ่งออกมาจากธนูโลกันตร์ด้วยความรวดเร็วตรงเข้าใส่หน้าอกด้านซ้ายของฮ่องเต้เซี่ยตู๋กู
“พลธนูยิง!”
จากนั้นลูกธนูนับร้อยดอกก็ปลิวราวกับ-่าฝน พุ่งเข้าใส่ร่างโชกเลือดของฮ่องเต้ผู้กลายมาเป็นทรราชของผู้คนในแคว้น
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่าฮ่องเต้ทรราช ใช้เลือดของมันเอาไปเซ่นธงให้องค์ชายเซี่ยอวีสุ่ย!”
“ฆ่าเซี่ยตู๋กู คืนความสงบร่มเย็นให้กับแคว้น!”
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??