เรื่อง Home Work
กู๊ดเิงานวันนี้ั้ ทั้ง Live และสัมภาษณ์ ใช้วิธีโทรสั่งงานกับเจและเดย์แทน เมื่อจัดการสั่งงานเสร็จเรียบร้อย เขาก็เอาสมาธิั้พุ่งมาที่การค้นหาแม่
"ลุงครับ ตอนเด็กแม่เรียนที่ไหนเ"
"ข้าก็จำชื่อโรงเรียนไม่ได้เหมือนกัน ตอนเด็กๆ ข้ากับแม่เอ็งแยกกันอยู่ ข้าไปอยู่วัดกับหลวงตา ส่วนแม่เอ็งก็ตามยายไปทั่ว ยายเอ็งโดนหิ้วไปซ่องไหนแม่เอ็งก็ตามไปด้วย นี่ก็ผ่านไปเป็นวันแล้วที่แม่เอ็งหายไป ป่านนี้จะเป็นยังไง จะหิวข้าว หิวน้ำไหม เฮ้อออ" ลุงรำพึงด้วยความเศร้า
แม้ข้อมูลที่เขาได้รับจากลุงจะไม่ครบองค์ประกอบนัก แต่ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย กู๊ดลงมือค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต โรงเรียนร้างแห่งนั้นได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ เป็นโรงเรียนประเภทกินนอนสำหรับเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองอุปการะ แต่ถูกปิดตัวไปตั้งแต่ปี 2534 แล้ว เพราะขาดสภาพคล่องการทางการเงิน
"พศ. 2534" กู๊ดพึมพำ เขานึกย้อนไปถึงวันแรกที่เขาเข้าไปถ่ายคลิป ตัวหนังสือบนกระดาษดำระบุว่าเป็นปี พ.ศ. 2534 เช่นกัน แสดงว่าปีนั้นเป็นปีสุดท้ายที่กระดานดำถูกเขียน และคนที่เขียนก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาเขียน พ.ศ. ในปีต่อไปอีกเลย
เขามีความเชื่ออย่างประหลาดว่าแม่ต้องยังอยู่ที่โรงเรียนร้างแห่งนั้นแน่นอน แต่เพราะความเร้นลับบางอย่าง ทำให้เขาไม่สามารถพบเจอแม่ได้ กู๊ดไม่อยากลงความเห็นว่าเป็นพลังงานลึกลับบ้าบออะไรนั่น
แต่สิ่งที่เขาเจอเมื่อคืนนี่มันอะไรกันเล่า!!! แม่ที่หันกลับมาเป็นอีกคนที่เขาไม่รู้จัก และยังจะ .... ร่างห้อยลอยกลางอากาศ กลิ่นเน่าเหม็นชวนสะอิดสะเอียดนั่นอีก
กู๊ดปิดโน้ตบุ๊ก รีบอาบน้ำและออกจากบ้านทันที จุดหมายเขาคือคนที่เขาเองก็ไม่อยากเจอมากที่สุด
ปากกาถูกเคาะลงบนโต๊ะไม้เป็นจังหวะ เสียงมันดัง 'แต๊ก แต๊ก' ยามเมื่อด้ามปากกากระทบกับพื้นโต๊ะ มันช่างน่ารำคาญเสียจริงสำหรับกู๊ดที่นั่งอย่างกระอักกระอ่วนอยู่ขณะนี้ บางครั้งปากกาก็ถูกควงหมุนเล่นบนนิ้วอย่างชำนาญ กู๊ดขยับตัวบนเก้าอี้อีกครั้งอย่างอึดอัด
"เรื่องั้ก็มีเท่านี้แหละครับ" กู๊ดเอ่ยออกมา เสียงเคาะปากกาหยุดลงทันที
"ทุกอย่างมีเวลามัน ั้นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่มีความบังเอิญบนโลกนี้" ชายคนนี้ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้กู๊ดจะเล่าเรื่องขนพองสยองเกล้าชนิดลงรายละเอียดทุกอณู กระทั่งกลิ่น เสียง ที่ได้เจอ แต่ชายผู้นี้ก็ยังรับฟังอย่างสงบนิ่ง ไม่มีท่าทางตื่นเต้นตกใจ ราวกับเป็นตุ๊กตาปูนปั้น
อาจารย์พีระ ผู้ที่ให้คำนิยามกับตัวเองว่า 'คนเป็นเห็นคนตาย' สายตาจับจ้องไปยังปากกา ที่ตัวเองกำลังหมุนควงเสมือนกำลังใช้ความคิด
คำพูดปริศนาอาจารย์ทำให้กู๊ดยิ่งขุ่นเคืองใจ อะไรแม่งวะ
"สรุปเลยนะครับอาจารย์ คือตอนนี้แม่ผมหายไป ผมเชื่อล้านเปอร์เซนต์ที่แม่จะยังอยู่ที่โรงเรียนร้างนั้น ผู้หญิงที่นั่งหัวเราะกลางห้องนั้นใช่แม่ผมแน่ๆ แต่จะเพราะอะไรก็ตามที่ทำให้ผมเห็นหน้าแม่เป็นอย่างอื่นช่างแม่งมันผมไม่สนใจ ผมแค่จะเอาตัวแม่กลับบ้าน อาจารย์พอจะช่วยผมได้ไหมครับ" กู๊ดพูดรัว
"จะให้ผมไปช่วยพูดกับผี ให้ปล่อยตัวแม่คุณน่ะเ" อาจารย์พีระยังควงปากกาไม่เลิก
"คือผมก็ไม่รู้หรอกนะ ว่ามันเป็นตัว-่าอะไร ผมแค่จะเอาตัวแม่กลับมา" กู๊ดชักเดือด เสียงเริ่มดัง และรำคาญปากกาในมืออาจารย์พีระเต็มทน
"คุณเจอผีหลอกเต็มๆ แต่ใจคุณก็ไม่ยอมรับ ทั้งที่คุณก็หากินกับผี"
แล้วเกี่ยวอะไรด้วยวะ กู๊ดยกมือขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิด
"แต่ก็เอาเถอะ ผมจะช่วยคุณ ผมก็อยากจะไปที่นั่นอีกัั้" อาจารย์พีระตอบสีหน้าเรียบเฉย
อีกัั้งั้นเ ... หมายความว่าอะไร กู๊ดเก็บคำถามไว้ในใจ
เป็นเวลาบ่ายเมื่อทั้งคู่มาจอดรถตรงทางเข้าโรงเรียนร้าง ครั้งนี้อาจารย์พีระขับเข้ามาทางด้านหน้าถนน จึงไม่จำเป็นต้องฝ่าดงหญ้าคา
อาคารไม้ยังคงดูสงบ นิ่งเงียบ ไร้ชีวิต ใบไม้แห้งร่วงหล่นเต็มพื้น ลมพัดมาวูบหนึ่งเป่าใบไม้บนพื้นดินให้กระจายฟุ้งขึ้น
"พร้อมหรือยัง" อาจารย์พีระหันมาถามกู๊ด
"ลุยเลย" ถึงจะกึ่งกล้ากึ่งกลัว ยังไงเขาก็จะต้องเอาแม่กลับมาให้ได้
ทั้งคู่เดินขึ้นไปบนอาคารไม้ เท้ากระทบขั้นบันไดเสียงดังแอด เขาขึ้นทางด้านซ้ายตัวอาคาร ห้องแรกที่เจอคือห้องที่แม่นั่งอยู่เมื่อคืน กระดาษแผ่นนั้นวางอยู่ และมันยังอยู่ที่เดิม
"ผมเจอแม่ห้องนี้แหละ" กู๊ดกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ เมื่อความทรงจำเรื่องใบหน้าแม่ที่เปลี่ยนไปผุดขึ้นมา
อาจารย์พีระ ใช้สายตากวาดไปรอบบริเวณ พลางถอนหายใจ "ถ้าจำไม่ผิดห้องนี้น่าจะเป็นห้องพยาบาล"
"ห๊ะ อาจารย์เคยมาที่นี่เครับ"
"ผมเคยเรียนที่นี่"
กู๊ดอุทานบางอย่างออกมา แต่ไม่ถามอะไรต่อ เขายังเก็บความสงสัยเรื่องที่อะไร ๆ มันดูเชื่อมโยงปนเปกันไปหมด
"อาจารย์ใช้ ... เอ่อ ... ณาณวิเศษ พลังวิเศษอะไรนั่นส่องดูได้ไหมครับ ว่าแม่ผมอยู่ที่ไหน"
อาจารย์พีระหัวเราะหึ ก่อนจะตอบว่า "มันไม่ใช่ณาณวิเศษ พลังวิเศษอะไรหรอก แบบนี้มันฝึกกันได้ เอาไว้ผมจะอธิบายคุณทีหลัง ... แต่คุณเข้าใจถูกแล้วแหละ ตอนนี้แม่คุณอยู่ที่นี่"
คำพูดอาจารย์ทำให้กู๊ดมีความหวังวาบเข้ามาในใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่ก็เพียงส่วนเดียวเท่านั้น
"แล้วตอนนี้แม่ผมอยู่ที่ไหนครับ" เขาถามเร็วปรื๋อ
"เป็นแม่คุณเองนั่นแหละที่ไม่อยากให้ใครมาเจอ"
ห๊ะ!! อะไรนะ
"คุณไปรอด้านนอกก่อนเถอะ ผมต้องการใช้สมาธิ อย่าเพิ่งเข้ามาจนกว่าผมจะเรียก" อาจารย์พีระบอกกับกู๊ด กู๊ดทำท่าลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่อาจารย์พีระจะเร่งเร้ามาอีก จนเขาต้องจำยอมเดินออกนอกตัวอาคาร
กู๊ดพาตัวเองมานั่งตรงลานกว้างที่มีฐานปูนทรงกลม อาศัยเงาจากตัวอาคารทอดมาเพื่อหลบแดด บรรยากาศนิ่งเงียบจนเขารู้สึกอึดอัด เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบเพื่อหลบจากความรู้สึกนี้
เขารออยู่นานพอสมควร เกือบชั่วโมงแล้วที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ อาจารย์พีระก็ยังไม่เรียกสักที จนกระทั่งได้ยินเสียงย่ำเท้าใกล้เข้ามา วูบแรกที่เขานึกถึงคือแม่ ต้องใช่แม่แน่ๆ เขารีบหันกลับไปมอง แต่คนที่ปรากฎตรงหน้าทำให้เขาต้องรีบหุบยิ้ม
"อ้าวคุณตำรวจ มาทำไมอีกล่ะ" เขาถามห้วน น้ำเสียงผิดหวัง
"คุณล่ะมาทำไมอีก" นายตำรวจรพีย้อนถาม น้ำเสียงยียวน
"ผมมาหาแม่น่ะสิ" … ถามมาได้
"งั้นเราก็มีจุดประสงค์เดียวกัน" รพีถอนหายใจก่อนจะพูดต่อว่า "ผมคิดว่าคุณแม่คุณอาจจะยังอยู่แถวนี้ เพราะไม่มีร่องรอยหรือภาพจากกล้องวงจรปิดแหล่งอื่นว่าแม่คุณออกจากบริเวณนี้ไปแล้ว ตอนนี้ผมให้ลูกน้องค้นตามพงหญ้าอยู่ด้วย"
กู๊ดใจชื้นขึ้นมาในทันที ยกมือไหว้นายตำรวจรพีที่มีความเมตตากับความเดือดเนื้อร้อนใจเขา
"ว่าแต่คุณมานั่งสูบบุหรี่อะไรตรงนี้" รพีถามต่อ
"เอ่อ ... คือว่า ผมเองก็จนปัญญาและเจอเรื่องลี้ลับที่อธิบายไม่ได้ ผมจึงขอร้องคนที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้มาช่วยตามหาแม่อีกแรงครับ"
รพีคิ้วขมวด รอยย่นปรากฎชัดเจนระหว่างคิ้ว
"ผมไม่เข้าใจ"
กู๊ดลุกขึ้นยืน บิดกายเล็กน้อย "ตอนนี้ข้างบนอาคาร อาจารย์พีระกำลังทำพิธีสื่อสารกับผีเจ้าที่ ผีเรือน หรือผีห่าเหวอะไรก็ตามที่ทำให้ผมหาแม่ไม่เจอครับ"
"พีระ!!!" รพีโพล่งออกมาเสียงดังจนกู๊ดไม่ทันตั้งตัว
"ไอ้คนที่บอกว่าพูดกับผีได้ คนเป็นเห็นคนตายน่ะเ" รพีนิ่งเงียบไปอึดใจก่อนโพล่งออกมาอีก
"พี่ชายผมน่ะเ"
"ใช่สิ" กู๊ดกระพริบตาปริบ นายตำรวจรพีทำท่าอย่างกับเขากำลังทำผิดมหันต์
"ฉิบหายแล้ว" พูดจบรพีก็วิ่งพรวดตรงไปยังชั้นบนตัวอาคาร กู๊ดไม่รีรอวิ่งตามไปติด ๆ เขาต้องการรู้ว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่
ประตูห้องปิดอยู่ รพีถีบแรงๆ ทีเดียวมันถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วตามแรงตีน ภาพตรงหน้าอาจารย์พีระกำลังคุดขู้อยู่กับพื้นห้อง ก้มหน้าสะอื้นร้องไห้ เขาร้องไห้อย่างกับเด็ก ๆ !!!
กู๊ดทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อ้าปากค้าง ตะลึงพรึงเพริดกับภาพตรงหน้า เกิดมาเพิ่งเคยเห็นคนวัย 40 ร้องไห้อย่างกับเด็กน้อย
รพีที่อยู่ข้าง ๆ ก็คงตกตะลึงไม่แพ้เขาเช่นกัน แต่แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว เขากัดฟัน แยกเขี้ยว ตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อจากด้านหลังอาจารย์พีระ
อาจารย์พีระหงายหลังก้นจ้ำเบ้ากับพื้น นอนเค้เก้ และไม่คาดคิด รพีสาวหมัดไปที่ใบหน้าอาจารย์พีระผู้เป็นพี่ชายจนหน้าสะบัดไปอีกด้าน
"มึงเป็นเหี้ยอะไร กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกคิด มันไม่มีประโยชน์ แม่เราตายไปแล้วมึงเข้าใจไหม" รพีตะโกนลั่น พร้อมยิงหมัดรัวๆ ใส่ใบหน้าคนเป็นพี่
กู๊ดเมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขามิอาจดูเฉยได้ กู๊ดรีบตรงเข้าไปด้านหลังรพีและดึงตัวออกมา ก่อนที่ใบหน้าอาจารย์พีระจะบวมช้ำไปมากกว่านี้
"อย่าครับ .. อย่าครับ คุยกันดี ๆ อย่าทำร้ายกันแบบนี้" เขารีบห้ามศึก
อาจารย์พีระซึ่งขณะนี้นอนหมอบอยู่กับพื้น ซบหน้าร้องไห้ เขายังคงสะอึกสะอื้นจนแทบจับใจความไม่ได้ พูดทั้งน้ำตาว่า
"แม่เราอยู่ที่นี่ แม่ยังไม่ไปไหน แม่ยังไปไม่ได้ เธอสื่อสารกับแม่ได้ เธอสื่อสารกับแม่ได้เข้าใจไหม" อาจารย์พีระตะโกนลั่นห้อง พร้อมซบหน้าลงกับพื้นร้องไห้อีกครั้ง
"นี่มันอะไรกันวะเนี่ย" กู๊ดหลุดคำพูดออกมา เสียงเบาไม่เกินกระซิบ
รพียืนหายใจหอบ สีหน้ายังเต็มไปด้วยความโกรธ เขาโกรธทุกอย่าง โกรธพี่ชายตัวเองที่งมงายเรื่องผีสาง ที่ยังเชื่อว่าจะสื่อสารกับแม่ที่ตายไปแล้วได้ โกรธไอ้เด็กหนุ่มที่พาพี่ชายตัวเองมาที่นี่ สุดท้ายคือโกรธตัวเองที่พยายามแล้ว พยายามจริงๆ แต่พี่ชายยังดื้อรั้นจะหาคำตอบให้ได้ ความอึดอัดประดังเข้ามาเต็มอกจนเขาต้องหาทางระบายออก
"โธ่เว้ยยยย" รพีสบถลั่น ยกมือขึ้นกุมหัว เขาทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ
กู๊ดที่เห็นเหตุการณ์ั้ มองอาจารย์พีระและนายตำรวจรพีสลับกันไปมาพร้อมอุทาน
"เชี่ยอะไรวะเนี่ย"
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??