เรื่อง LOVEST
‘ไรวินทร์’ หรือ ‘ดีน’ ย้ายเข้าหอพักใหม่ในอาทิตย์ต่อมาตามการตัดสินใจของตัวเองครั้งแรกในชีวิต
เขาออกจากบ้านหลังหนึ่งที่รับเขาไปอุปการะตั้งแต่เล็ก ในฐานะเด็กกำพร้าที่ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งหน้าตาพ่อแม่ที่แท้จริง นอกจากความจริงอันโชคร้ายข้อนี้นั้น.…
ก็คงเป็นชีวิตนับสิบปีที่ได้อยู่ในครอบครัวอันมั่งคั่งเรื่องเงินทอง แต่ไร้ซึ่งคำว่าความสุข
หรือโดยรวมมันคงเป็นความโชคร้ายที่ติดมาตั้งแต่เกิด
มือหนายกขึ้นปัดป่ายเหงื่อที่ย้อยลงมาตามสันกรามแกร่งขาวเนียน ร่างสูงขยับไม่หยุดหย่อนตั้งแต่เช้าจากการจัดของเข้าของ จวบจนบ่ายทุกอย่างถึงค่อยลงตัว สำรวจมองรอบห้องอย่างพึงใจ
…..ใช่ สบายใจมากๆ
ในห้องของตัวเอง สถานที่ของตัวเอง อิสระที่จะได้ชีวิตมันมาถึงแล้ว เขาสามารถลองทำในสิ่งที่ชอบหรือต้องการโดยปราศจากคาดหวังหรือความกดดันจากครอบครัว
ภาคเรียนช่วงปีที่สามในสาขาภาษาอังกฤษใกล้เข้ามา ไรวินทร์จึงเริ่มคิดหางานพาร์ทไทม์สำหรับเก็บเงินบางส่วนไว้จ่ายค่าเทอมที่สูงลิ่ว
“ขอบคุณมากครับดีน ดีนเป็นคนแรกเลยที่ทำให้หนูเกรซยอมตั้งใจเรียน”
คำชมรอบที่สิบของวันดังกระทบโสตประสาต ร่างสูงแตะหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรเก็บจำพวกชีตเอกสารและหนังสือที่ตั้งใจทำมาสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะลงกระเป๋า ไรวินทร์คิดว่าความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษของตัวเองแข็งแรงพอที่จะถ่ายทอดไปยังเด็กเล็กๆ ได้
ที่สำคัญ เขารักเด็ก
“ไม่เป็นไรเลยครับ ยินดีมากๆ เลยครับ น้องเกรซก็น่ารักมาก”
หนุ่มหน้าหวานที่ครองใจเด็กสาวนามว่าเกรซยิ้มกว้าง แต่แล้วก็ระเบิดขำเมื่อเด็กห้าขวบคนนี้วิ่งมากอดขา รัดแน่นไม่ให้ไปไหน
และนั่นไม่ใช่แค่ครั้งแรก แต่เป็นทุกครั้งที่เขาไปสอนลูกของครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ ตามคอนโด บ้านหรือทาวน์เฮาส์ด้วยเช่นกัน
ระหว่างยืนรอรถเมล์สายฮิตติดแน่นริมทาง สายตาเผลอไผลเหม่อมองเหล่ารถราที่เคลื่อนผ่านไปมากมายด้วยความคิดที่ว่าพรุ่งนี้ควรทำอะไรดี เขาเก็บเงินได้ค่อนข้างเยอะแล้วสำหรับการเริ่มลองทำงานเป็นติวเตอร์ ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ไม่แย่เลยทีเดียว
ดังนั้นการพักผ่อนพรุ่งนี้ถือป็นการให้รางวัลตัวเอง
แต่จะว่าไป….
“ฮัลโหล”
‘ภาวิต’ หรือ ‘พี’ กดรับสายโทรศัพท์หลังจากที่วิ่งวุ่นในร้านผับแห่งหนึ่งมาพักใหญ่ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ย่านสีลมจึงคึกคักเป็นพิเศษ เขามอมเหล้าลูกค้าไปประมาณสิบคนและกำลังจะแตะเลขยี่สิบอีกไม่นานนี้
ต้องเอาให้เมาจนแจกเงินเล่น นั่นคือ goal การทำงานเขาในแต่ละวัน
/วันนี้ทำงานหรือเปล่า
เสียงทุ้มนุ่มนวลเพราะหูไม่เคยทำให้ใจภาวิตคงิ่ปกติได้
“ทำ มีอะไรหรือเปล่า?”
ถามไปปกติเพราะไม่คิดว่าหมอนี่ตั้งใจโทรมาชวนอะไรทำนองนั้น แต่สุดท้ายกลับคิดผิดถนัด
/ว่าจะชวนมากินเบียร์ที่สะพาน
“……….”
/กูรอได้ แต่ถ้ามึงเหนื่อยเกินไปไว้วันหลังก็ได้นะ
คำว่าเหนื่อย เขาสะกดไม่เคยเป็นเลยสักครั้งในยามที่จะได้พบปะไรวินทร์ มันทั้งตื่นเต้นและมีความสุข
จนคิดว่าตัวเองตกหลุมรักมากกว่าชอบทั่วไป
นัยน์เนตรสีเข้มอ่อมแสงแทรกปนมาด้วยความสุขอย่างมิอาจปิดบัง ดึงถาดเสิร์ฟที่ถูกเติมด้วยแก้วเบียร์พร้อมตอบใส่โทรศัพท์กลับไป
“งั้นห้าทุ่มเจอกันที่สะพาน”
ภาวิตรู้สึกเหมือนร่างจะปริแตกหลังเลิกงาน ทว่าพอได้เจอหน้าลูกกวางที่สดใสดั่งพึ่งไปวิ่งในทุ่งหญ้าของเพื่อนหนุ่มก็มีแรงกระปี้กระเป่าขึ้นมาทันที
“วันนี้ทำงานเป็นไงบ้าง”
ไรวินทร์แต่งตัวด้วยเสื้อยืดขาวบางสบาย ไตร่ถามเปิดโอกาสให้เล่า ฝั่งคนที่ทำงานมาจนชินเอ่ยตอบเนือยๆ
“น่าเบื่อเหมือนเดิม”
“หรือต้องลองไปผับใหม่”
สองหนุ่มยกเบียร์กระป๋องขึ้นดื่มเป็นระยะ แต่ภาวิตรู้สึกว่าเพื่อนสนิทร่าเริงเป็นพิเศษในวันนี้
“คงงั้น แล้ววันนี้มึงทำอะไร”
“กูไปสอนภาษาเด็กมา”
หลังจากนั้นไรวินทร์ก็ไล่บรรยายเหตุการณ์ที่พบเจอมาทั้งหมด
ไร้ซึ่งความโศกเศร้าหรือคิดมากดั่งที่เคยเป็นมาหลายปียามพูดคุยกัน เป็นเวอร์ชั่นที่เพื่อนหนุ่มมีความสุขกับการตัดสินใจและการกระทำของตนอย่างแท้จริง
“ขอบคุณมึงมากๆ นะ”
จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หมอนี่ก็เอ่ยขอบคุณได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ไม่ขอบคุณก็ขอโทษ มีอยู่สองอย่างที่ภาวิตคาดเดาได้เพียงเห็นการขยับปาก
“คิดมาก”
เสี้ยวหน้านวลประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ กลับ สะพานแห่งนี้เป็นสถานที่โปรดของเขากับไรวินทร์โดยเฉพาะ ตั้งแต่มอสามที่ใช้ชีวิตชนิดปล่อยจอยเริ่มแตะเหล้าสุรา
ยิ่งโตขึ้น พวกเขาก็เริ่มเลือกใช้สะพานแห่งนี้เป็นที่ระบายอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด หลายร้อยเหตุการณ์ที่ได้เล่าสู่กันฟังก็มานั่งที่นี่ ปล่อยไปตามสายแม่น้ำเชี่ยวด้านล่าง
ไม่ว่าจะรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง อย่างน้อยก็ไม่ต้องกักเก็บไว้ในใจคนเดียว
“ถ้าไม่มีมึง กูก็ไม่รู้ว่าจะออกจากบ้านมาได้ตอนไหน”
เพราะมีภาวิตที่หนุนหลังเสมอมา เขาจึงกล้าตัดสินใจหลายๆ เรื่องมากขึ้น
“เป็นกูก็ยังโชคดีอย่างที่มึงบอก เพราะได้เจอมึง”
“…..อืม แล้วกูก็โชคดีที่ยังมีมึงคบ”
ชะงักชั่วครู่ก่อนจะหลุดขำดังลั่นสะพาน
ฝั่งคนพูดจาตรงไปตรงมาแอบงงว่าตลกตรงไหนถึงขั้นน้ำมูกน้ำตาไหล คลี่ยิ้มอ่อนจนฟันซี่ขาวเรียงตัวสวยงามพ้นกลีบปากหยักออกมา ส่ายหน้าไปมากับความเส้นตื้นเพียงไม่กี่คำพูด
“มึงคิดว่าเรียนจบแล้วจะทำงานอะไร”
คำถามง่ายๆ เดิมๆ ที่เคยถามเมื่อนานปีหนที่ผ่านมา แต่ ณ เวลานี้ ใจของภาวิตหวนกลับสู่หลุมอันว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ปรายตามองพื้นแล้วตอบอีกอย่างที่ตรงข้ามในใจ
“คงงานบริษัท”
“บริษัทเหรอ กูก็อยากทำเหมือนกัน แต่อีกใจก็อยากทำพวกโรงแรม”
“โรงแรมเหรอ ก็ได้เซอร์วิสชาร์จเยอะดี”
“อืม แต่วันนึงก็ทำงานหลายชั่วโมงอยู่นะ”
“……..…”
“ถ้าทำงานประจำจริงๆ ไม่ได้เจอกันบ่อยแน่เลย”
ดั่งเสียดายโอกาสดีๆ ที่จะได้มีร่วมกัน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มหรือมาถึง
หัวใจใต้อกสั่นสะท้านและเปราะบางเสมอกับคำพูดทั่วไป แต่ความหมายนั้น ไรวินทร์ไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนฟังจะตีความไปอีกทางได้อย่างไรบ้าง เขาดีใจที่หมอนี่อยากอยู่กับเขา ด้วยความหวังในความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ธรรมดาทั่วไป แต่ความจริงที่ว่าไรวินทร์เป็นตรงข้ามหมดสิ้นจี้ใจเสมอมา
แล้วเขาจะรีรอต่อไปเพื่ออะไรกัน กับความรู้สึกลับๆ ในใจตลอดหลายปี ต้องยื้ออีกนานเท่าไหร่….เพื่อนหนุ่มคนนี้ถึงจะมองเขาแบบที่เขามองมันมาตลอด
หรือบางที มันอาจจะไม่มีวันแบบนั้นอีกเลย
“ดีน”
ใบหน้าคมคายเลิกคิ้วเป็นคำถามจดจ้องแววตาและสีหน้าคล้ายกังวล จนกระทั่งร่างสูงใต้เสื้อเชิ้ตขาวที่พับขึ้นลวกๆ เบี่ยงตัวมาด้านข้าง เผชิญหน้าตรงๆ
“....เอาตรงๆ ป่ะ กูชอบมึง”
“……..…”
ลมหายใจที่ไหลรินแปรเปลี่ยนเป็นหายวาบ พยายามตั้งสติเรียบเรียงทุกอย่าง แต่ไม่ได้ผล หัวใจที่ไม่ได้คงที่เต้นเร็วถี่สูบฉีดหนักหน่วง ขัดกับร่างกายอันไร้เรี่ยวแรง
หันหน้ามองตรงแล้วฝืนยิ้มขำให้ได้มากที่สุด
“ก็ขอบคุณที่มึงไม่เกลียดกู”
“กูพูดจริง”
“……..…”
อยากจะค้านออกไป ทว่าทุกอย่างดันจุกขึ้นมาที่คอ พูดไม่ได้อธิบายไม่ถูก สบประสานตาิ่และความหมายใต้ดวงตาสองคู่นั้นชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด รวมถึงผ่านๆ มา….
แค่เป็นเขาที่ปฏิเสธความรู้สึกพวกนั้นมาตลอด
“มึงก็รู้ว่ากูชอบผู้ชาย”
“……..…”
“กูเป็นแบบนั้นมานานแล้ว แค่มึงพึ่งมารู้”
ใช่ เขาพึ่งรู้ในเดือนที่ผ่านมาว่าภาวิตชอบผู้ชายด้วยกัน แต่กระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกแย่กับสิ่งที่เพื่อนเป็นเลยแม้แต่น้อย
ภาวิตแอบเจ็บปวดกับท่าทีที่เห็น ภาพในหัวที่เพื่อนตัวเองอาจจะรับไม่ได้ เทียบไม่ติดเลยยามเห็นสีหน้าจริงๆ แต่ย่อมดี เขาควรพูดออกไปให้หมด
“แล้วก็หลายปีแล้ว ที่กูรู้สึกกับมึงแบบนี้ กูไม่ได้มองมึงเหมือนที่มองไอ้นอร์ธเลย”
“……..…”
“มันมากกว่านั้น”
ดวงตากลมมนแปรผันเป็นตื่นตระหนก หลุบมองต่ำิ่ ทิ้งให้อีกคนเข้าใจว่ามิอาจฝืนรับความจริงต่อไปได้
บีบกระป๋องเบียร์แน่นและเริ่มโทษการตัดสินใจของตัวเองในใจ
หาเรื่องเข้าตัวจริงๆ เลยไอ้พี
“.....กูขอโทษนะ”
จบคำพูดนั้นภาวิตก็เข้าใจได้ทุกอย่าง ไม่มีแม้แต่การมองหน้าหรืออธิบายเพิ่ม สีหน้าออกแววรู้สึกผิดไม่ต่างจากคนที่ใกล้ร้องไห้เต็มทีทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายปฏิเสธ
…..คนที่เศร้ามันควรจะเป็นเขาไม่ใช่หรือไงวะ
หลังจากนั้นไรวินทร์ก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองกลับถึงห้องได้เช่นไร คำพูด น้ำเสียง สิ่งที่ภาวิตอธิบาย มันวิ่งทั่วหัวทั้งคืน
“อยู่ดีไม่ว่าดี”
นั่นคือประโยคปลอบใจจาก ‘ชณศิลป์’ หรือ ‘นอร์ธ’ ต่อเพื่อนรักที่อกหักรักคุดตั้งแต่ยังไม่ได้กัน ชายหนุ่มคือเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนที่อยู่กับไรวินทร์และภาวิตตั้งแต่เด็ก ร่างสูงใหญ่ขาวตี๋มองเพื่อนตัวโตของตนที่มานั่งย้อมใจที่ห้อง ไม่มีเหล้าเบียร์ มีแค่น้ำเปล่าหนึ่งขวดกลางโต๊ะ
แต่สภาพภาวิตตอนนี้เหมือนคนเมาน้ำขวดนั้น
“แล้วมึงลองทักไปหามันยัง?”
“ทักแล้ว มันตอบช้า แล้วก็บ่ายเบี่ยง”
สีหน้าซีดๆ ดั่งคนป่วยไม่ได้มาจากการป่วยกาย แต่ทว่าเป็นเรื่องป่วยใจขั้นโคม่า ภาวิตนึกไม่ออกว่าตัวเองเคยสัมผัสคำว่าอกหักบ้างหรือไม่ หรือบางทีมันก็แค่จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เขาพึ่งเผชิญ
เอาเหตุผลมากมายมาหักลบ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว
“เอาไงทีนี้ ให้กูช่วยยังไงดี”
วินาทีก่อนสารภาพความรู้สึกที่สะพานนั่น รู้ดีว่าผลลัพธ์มันอาจจะไม่ได้ดีเสมอไป แต่เขายังมีความหวังเล็กๆ เขาอยากเปลี่ยนสายตาที่ไรวินทร์ใช้มองเขา ให้มันมากกว่าเพื่อนกัน
หลังจากนี้มันจะมีทางออกที่ดีขึ้นบ้างหรือไม่
“วันเกิดมึงอาทิตย์หน้าช้ะ?”
“ใช่”
“ถ้ามีงานเลี้ยง ชวนไอ้ดีนไปหน่อย”
คำขอของภาวิตเป็นจริงในอาทิตย์ถัดมา และเขาก็ได้เห็นเพื่อนตัวเองในรอบสองหรือไม่ก็สามอาทิตย์
มันปกติที่ไหน
“มาถึงนานแล้วเหรอ”
ใบหน้าคมคายที่ปล่อยทรงผมคลอเคลียทั่วหน้าผากน่าจับจ้อง รอยยิ้มประดับทั่วตาและริมฝีปากตอนเดินมาเจอเขาในห้องปาร์ตี้ของโรงแรมแห่งหนึ่ง
แต่ความประหม่าผิดแปลกไปไม่อาจหลุดรอดสายตาไปได้ คืนนี้แหละต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
“นานแล้ว มึงมายังไง”
“รถเมล์น่ะ”
ท่าทีมองต่ำบ้างสบตาบ้างสร้างความหนักใจทับโถมส่วนที่มีอยู่เข้าไปอีก กระนั้นก็ทำิ่พลางพากันเดินไปนั่ง ณ มุมห้องโซฟาชุดหนึ่งที่ไม่มีคนนั่ง
พนักงานเสิร์ฟเดินมาเสิร์ฟจำพวกไวน์และน้ำอัดลม สองหนุ่มเลือกกันอยู่พักหนึ่งแล้วนั่งจิบเงียบๆ
ฝั่งไรวินทร์ที่ตระหนักรู้ในท่าทีผิดปกติของตนก็ไม่ได้ชอบทางเลือกที่ทำอยู่ เเต่เขาจำต้องทำตัวแบบไหนในขณะที่รู้ว่าภาวิตรู้สึกอย่างไรกับเขา
“วันนี้ทำงานเหรอ?”
คำถามจากภาวิตลอดเข้ามาเรียกให้ตื่นตัว ร่างสูงประดับด้วยเครื่องหน้าละมุนละไมเลิ่กลั่กสบประสานตาเจ้าของเสียงเรียบิ่
ความหมายหลายอย่างที่ซุกซ่อนใต้ดวงตาคู่คมิ่สนิทนี้มีมาตั้งนานแล้วสินะ นานจนไม่อาจคาดเดาได้
ตอนนี้ก็เช่นกัน
“ใช่ มึงล่ะ?”
“ทำ แต่ว่าจะลองเปลี่ยนงานใหม่”
พอหัวข้อฟังดูเปลี่ยนไปไรวินทร์ก็เริ่มกลับมาทำหน้าตาสงสัยอีกครั้ง แต่ไอ้ดวงตากลมๆ ที่ฉายแววกังวลไม่น่าจะอยู่ในการรับรู้ของเจ้าตัว
แต่คนตรงข้ามที่เห็นอากัปกิริยาเป็นห่วงเป็นใยทั้งหมด เป็นใครจะไม่ตกหลุมรัก
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น?”
ภาวิตกำลังคิดว่านี่คงเป็นทางเดียวที่ทำให้ไรวินทร์กลับมาสนใจเขา
ไม่ว่าเพื่อนจะโดนต่อว่าหรือมีเรื่องให้คิดหนัก หมอนี่คือเบอร์หนึ่งในการปลอบใจเสมอมา ทุกคนต่างสบายใจที่จะระบายให้ไรวินทร์ฟัง ไม่มีคำว่าตัดสิน ไม่สนใจหรือเมินเฉย
ว่าแล้วบทละครในหัวก็เริ่มผุดขึ้นมาอัตโนมัติ
“มีปัญหากับที่ทำงาน”
“อ่าว กับใคร หัวหน้าเหรอ?”
รอยยิ้มประดับบางเบาเมื่อคนขี้เป็นห่วงขยับเข้ามาใกล้ เอ่ยปากถามสู้กับเสียงเพลงเปิดคลอสถานที่ ขาแกร่งยกไขว่ห้างพลางยกไวน์รสชาติเฝื่อนๆ ขึ้นจิบ
“บางคน กูไปต่อยเขา”
“ห้ะ?? แล้วมึงไปต่อยเขาทำไม”
ไรวินทร์หารู้ไม่ว่าท่าทีตัวเองน่ารักจนอีกคนนึกอย่างยื่นมือไปหยิบแก้มเพียงใด แต่จู่ๆ กลับมีแรงสะกิดแตะลงแผ่วเบาที่ไหล่
ปรากฎเป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาสวยหวานคนนึง เครื่องสำอางเรียบเนียนเสริมให้ผิวขาวผ่องและน่ามอง คลี่ยิ้มกว้างให้เขาระยะใกล้
“สวัสดีค่ะ เพื่อนพี่นอร์ธหรือเปล่าคะ”
ไรวินทร์กระพริบตาปริบๆ แต่ก็พยักหน้ารับไป พูดก็ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะความไม่ทันตั้งตัว
“หนูมินนะคะ ขอนั่งตรงนี้ด้วยได้ไหมคะ”
ใต้ท่าทีอ่อนหวานเป็นกันเอง เขากลับรู้สึกแปลกๆ กระทันหัน แต่ท้ายที่สุดก็ยอมรับอย่างมิอาจเลี่ยงได้ แต่หางตาเห็นใครอีกคนด้านข้าง
พอหันไปก็พบกับร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งที่ไม่เคยพานพบมาก่อน ทรุดตัวนั่งใกล้ๆ ภาวิต
ภาพนั้นแทรกซอนมาด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจ
“พี่ดีนสนิทกับพี่นอร์ธมานานแล้วหรือคะ”
หลังจากที่แนะนำทำความรู้จักกันสักพัก เด็กสาวที่อ่อนกว่าเขาสองปีตรงหน้าก็ขานเรียกชื่อไตร่ถามเรื่อยเปื่อย ดั่งต้องการให้เขาโฟกัสที่เธอ จึงเข้าใจได้ทันท่วงทีว่าคนตรงหน้าเขาและข้างภาวิตนั้นรู้จักกัน
ตอนนี้ต้องระวังตัว
“ก็นานแล้วครับ หลายปีแล้ว”
ระหว่างพูดคุยก็เหลือบมองเพื่อนตัวเองเป็นระยะด้วยความตั้งใจ ท่าทีพูดคุยสนิทสนมนั่นยิ่งสร้างความกังวลลึกๆ ให้คนที่คิดมากเป็นทุนเดิม
ไม่กี่นามีต่อมาลมหายใจก็สะดุดกึกมองมือหนาของคนข้างภาวิตที่จับๆ แถวแก้วสองข้าง วูบนั้นนึกกังวลถึงพวกเรื่องยามอมเมา
แต่ในที่ที่เพื่อนมารวมตัวกันเอง คงไม่มีอะไรแบบนั้นใช่ไหม
ความคิดถูกดึงรั้งกลับมายามภาวิตทรุดหน้าซบไหล่คนแปลกหน้า ส่วนทั่วขมับแกร่งเริ่มซึมด้วยหยาดเหงื่อ ริมฝีปากหยักสีชมพูอ้าแผ่วเบาคล้ายระบายลมหายใจ
แม่ง!
“…….!!!!”
หนุ่มลูกครึ่งเบิกตาโพลงยามคนที่กำลังจะได้มาอยู่ในอ้อมกอดถูกดึงไป ใบหน้าคมคายละมุนแข็งกระด้างสบประสานตาไม่ละ พร้อมสำรวจเนื้อตัวเพื่อนตัวเอง
“Get the shit out of him!”
นอกจากสีหน้าไม่รู้สึกผิด มันยังยิ้มขำดั่งเห็นเป็นเรื่องสนุก ขณะเดียวกันผู้หญิงข้างๆ เขาก็หายวับไปกับอากาศ ว่าแล้วเชียว!
มองคนแปลกหน้าที่ยอมลุกไปจนสุดทาง และเสียงแหบห้าวก็เรียกสติกลับมาโฟกัสอีกครั้ง
“ดีน….”
ความรู้สึกเริ่มเอนไหวยามเนื้อตัวแนบชิด ความอบอุ่นพุ่งพรวดในอกสร้างบางสิ่งที่เขาไม่เข้าใจมันเสียที
มือหนายกขึ้นแตะใบหน้าคมสันที่แน่ิ่บนไหล่ และต้องตกใจกับความร้อนระอุ
ยาอะไร ทำไมมันแสดงอาการไวขนาดนี้
“มึงเป็นยังไงบ้าง”
ก้มลงไปถามชิดใบหู พลันกลิ่นน้ำหอมประจำตัวภาวิตปะทะจมูกแผ่วเบา จึงเริ่มทำเอาสติหมุนเวียนไปอีกทาง สะบัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วโฟกัสกับอาการที่เพื่อนเป็น
ตอนไหนกันที่ไอ้-่านั่นแอบเอายาใส่ ถ้าเขาไม่โดนผู้หญิงคนนั้นลวงให้คุยด้วย เผลอๆ ภาวิตก็อาจจะรอดจากสิ่งนี้
“มึนหัว”
ไรวินทร์เริ่มคิดหนัก ครั้นจะพาไปห้องน้ำก็ไม่ต่างกับไปนั่งเฉยๆ ควรกลับบ้านนอนซะ
ร่างแกร่งค่อยๆ ประคองเพื่อนตัวเองขึ้นยืน นำแขนคล้องไหล่และประคองเอวสอบไว้แน่น
“พีเป็นอะไร”
เป็นเสียงของเพื่อนพ้องต่างสาขาที่รู้จักไรวินทร์และภาวิตไตร่ถามตอนเห็นเดินผ่าน และนั่นถือว่าโชคช่วย
ท่ามกลางท้องถนนโล่งโปร่งที่แท็กซี่ขับผ่าน ความเงียบจากภายนอกด้วยรถราที่น้อยกว่าช่วงกลางวันไปมากโขก่อภาพน่าพึงใจ
นัยน์เนตรสีเปลือกไม้แก่เหลือบมองทางเป็นระยะสลับกับคนข้างกายที่หัวจะทิ่มแหล่ไม่ทิ่มแหล่ จึงค่อยๆ ใช้มือดันอกกว้างให้นั่งแนบกับเบาะ
ในการมานั่งดูแลภาวิตเช่นนี้ ค่อนข้างแตกต่างออกไปจากแต่ก่อนมาก
“มึงตัวร้อนมากแล้วนะ”
“อื้อ….”
แรงรัดช่วงคอจากแขนแกร่งที่พาดบนบ่ากว้างระหว่างประคองขึ้นบันไดมาไม่ได้เบานัก พาเดินมาอย่างทุลักทุเลจนถึงหน้าห้องตัวเองในที่สุด
ไรวินทร์หอบหายใจก่อนจะประคองร่างที่ขนาดแทบไม่ต่างกันไปยังเตียงนอนตัวเอง แต่ในยามที่ปล่อยตัวเพื่อนหนุ่มลง ทุกอย่างกลับผิดแปลกไปอย่างที่ไม่ควร
“.....!!!!”
นัยน์เนตรกลมโตเบิกโพลงเพราะแขนที่เกี่ยวคอค้างอยู่ดึงเขาลงไปด้วย ครั้นจะฝืนตัวลุกหนีก็สายเกินแก้
นอกเหนือจากเนื้อตัวที่แนบชิด ใบหน้าที่เห็นชัดมานับหลายปีแนบสนิทเพียงมิลลิมเตร
แต่ไร้ช่องว่างระหว่างกันช่วงริมฝีปาก
ตัวแข็งกับจูบอันไม่ทันคาดคิด กลีบปากที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นไวน์อ่อนๆ นี้นอกจากจะแนบสนิท มันเริ่มขยับไปมาและบดเบียดหนักเข้า ตามเดียวเรียวลิ้นที่ขยับเข้ามาหยอกล้อเล่นภายใน จี้จุดในประสาททั่วตัววิ่งเดิน ก่อเกิดเป็นความหวามไหว
จูบที่ไม่คาดคิดในสถานการณ์ชั่ววินาที ไรวินทร์จับจุดไม่ได้ว่าควระรู้สึกอย่างไรกับมัน ร่างกายตึงคัดได้ครู่เดียวเท่านั้น…
“...........”
คนที่ไร้สติก็ปล่อยเขาและหลับไหลไปิ่
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??