เรื่อง คู่บำเพ็ญข้า โคตรเทพ
หาก้เวลาัไปก่อนหน้านี้ประมาณาชั่วา ใขณะที่ั่ซีกำลังฝึกฝนอยู่ กลุ่มคนมากกว่าสิบคนกำลังเร่งเดินทางอย่างไม่ยอมหยุดพักผ่อน ทุกคนต่างขี่ม้าห้อตะบึงมาตลอดทางเพื่อปกป้องชายหนุ่มเจ้าของหน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาคนหนึ่ง ซึ่งีอายุอานามราวๆ ยี่สิบปี ทิศทางที่คนกลุ่มนี้กำลังเร่งเดินทางไปก็คือแคว้นถัง อันเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดใบรรดาหกแคว้น
คนกลุ่มนี้ก็คือเหล่าทหารจากแคว้นหยวน แคว้นใต้อาณัติของแคว้นถังนั่นเอง โดยชายหนุ่มที่ขี่ม้าอยู่ตรงกลางก็คือ ‘องค์ชายหยวนอิง’ ส่วนชายที่กำลังขี่ม้าประชิดข้างกายไม่ห่าง ก็คือญาติผู้พี่ขององค์ชายหยวนอิง หรือ ‘ลู่อู๋ซู’ ผู้ีใบหน้าที่จัดได้ว่าหล่อคมเข้ม ถึงแม้ผิวจะกร้านแดดไปหน่อย เนื่องจากกรำศึกอยู่ใสนามรบมาช้านาน หากก็ไม่ทำให้เขาดูดีน้อยลงเลยสักนิด ตรงกันข้าม ัส่งเสริมให้เขาดูองอาจ สง่าผ่าเผย ยิ่งประกอบกับดวงตาประดุจนักล่าที่พร้อมจะตะปบเหยื่อได้ทุกเวลาู่นั้นด้วยแล้ว ยิ่งขับให้เขาดูเด่นสง่าสมกับเป็นชายชาตินักรบ
ตามปกติลู่อู๋ซูจะคอยอยู่เคียงข้างผู้เป็นตาขององค์ชายหยวนอิงแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นใสนามรบ หรือใจวนตระกูลลู่ก็ตาม จึงาารถเรียกได้ว่าไม่เคยห่างกาย เขาเรียนรู้ทุกอย่างที่จำเป็นมาจากอีกฝ่า และสืบทอดมันมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักนิด ทั้งบุคลิก การวางตัว และการวางแผนกลศึกการรบ
ลู่อู๋ซูรักและเคารพผู้เป็นตาขององค์ชายหยวนอิงเสมือนดั่งพ่อบังเกิดเกล้าก็ไม่ปาน เพราะใช่วงเวลาที่พ่อแม่ของเขาถูกสังหาร แม่ทัพลู่ถิงก็ได้ควบม้าเ้าาช่วยเหลืออย่างทันทีทันควัน หากแต่มาถึงช้าไปหนึ่งก้าว พ่อแม่ถูกฆ่าตายเสียก่อน จึงช่วยออกมาได้แค่ตัวเขาคนเดียว ซึ่งใเวลานั้นเขาก็เพิ่งจะอายุได้เพียงหกขวบเ่าั้เอง
นับตั้งแต่บัดนั้น ลู่อู๋ซูก็เติบโตขึ้นมาด้วยความดูแลของแม่ทัพลู่ ถึงแม้ใานี้ภายใใจของเขาจะหลั่งเลือด ที่ต้องทิ้งบุคคลที่เขารักเสมือนบิดาไว้เบื้องหลัง แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งได้เลย
“พี่ลู่ ยังอีกไกลหรือไม่” องค์ชายหยวนอิงเอ่ยถาม
“ผ่านแนวป่าด้านหน้าไปก็จะเข้าเขตแคว้นถังแล้ว”
“หากาารถเข้าสู่เขตแคว้นถังได้ อย่างน้อยเราก็จะาารถหนีพ้นเงื้อมมือกลุ่มทหารองครักษ์ของคนผู้นั้นที่ไล่ตามมาได้”
“ทุกคนรีบเข้า อีกไม่ไกลแล้ว อย่ามัวชักช้า” ลู่อู๋ซูตะโกนสั่ง
เหล่าทหารกล้าที่ผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวดมาจากแม่ทัพลู่ถิง ซึ่งเป็นแม่ทัพประจำกองทัพที่ได้ชื่อว่าเก่งกล้าาารถมากที่สุดของแคว้นหยวน หรือก็คือกองทัพเช่อเยี่ยนต่างรีบควบม้าอย่างเต็มกำลัง ห้อตะบึงไปตามแนวป่า แต่ทันใดนั้น ัีลูกธนูจำนวนหนึ่งพุ่งตรงเ้าาหาพวกเขาราวกับ-่าฝน
บางคนโดนลูกธนูปักร่างจนร่วงหล่นจากหลังม้า ส่วนบางคนแม้จะโดนลูกธนูเสียบอยู่ ทว่าก็ยังีเรี่ยวแรงมากพอจะกวัดแกว่งกระบี่และทวนเพื่อสกัดลูกธนูออกไปให้พ้นทาง ไม่ให้าารถเข้าใกล้องค์ชายหยวนอิงได้ ร่างกายของทุกคนล้วนชุ่มโชกไปด้วยเลือด ใไม่ช้าการโจมตีด้วยธนูก็หยุดลง แต่ัีกลุ่มคนกว่าสี่สิบชีวิตกระโจนออกมาจากที่ซ่อนตัวแทน
“คุ้มกันองค์ชาย! ทุกคน ต่อสู้สุดกำลัง!” ลู่อู๋ซูตะโกนสั่งการ
แม้ว่าร่างกายจะถูกกรีดด้วยคมดาบ และคมกระบี่อยู่หลายแผล หรือแม้ว่าจะีลูกธนูปักค้างอยู่บนร่าง จนทำให้หยาดเลือดไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย หากแต่ทหารทุกคนก็ไม่ีใครคิดยอมแพ้ ต่างก็พากันสังหารศัตรูล้มลงเกลื่อนกลาด
“แม่ทัพน้อย ท่านรีบพาองค์ชายหนีออกไปก่อนเถิด ทางนี้พวกข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้เอง” ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะตะโกนไล่ให้ลู่อู๋ซูรีบหนีไป จากนั้นร่างแล้วร่างเล่าก็ค่อยๆ ทยอยกันล้มลงบนพื้นดิน
ลู่อู๋ซูจ้องมองทุกคนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พยาาจดจำภาพของบุคคลเบื้องหน้า ซึ่งบางคนเติบโติ่เล่นกินดื่มด้วยกันมา บางคนเปรียบเสมือนพี่น้อง เปรียบเสมือนลุงที่คอยดูแลเขามาตั้งแต่เ็จนโต ก่อนจะตัดใจสะบัดบังเหียนหันไปอีกทาง
“หยวนอิง ตามข้ามา อย่าให้ความตั้งใจของพวกเขาต้องเสียเปล่า” ลู่อู๋ซูพูดด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
ขณะนี้ดวงตาทั้งสองข้างขององค์ชายหยวนอิงเองก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เขาได้แต่กลืนก้อนแข็งๆ ที่ตีขึ้นมาจุกอยู่ตรงคอหอยัลงไป จากนั้นก็ตวัดแส้ ไล่ตามลู่อู๋ซูออกไปทันที
หยวนอิงสาบานกับตัวเองนับตั้งแต่บัดนี้... หากเขาีชีวิตรอดออกไปได้ละก็ เขาจะทำให้พวกมันได้ชดใช้อย่างสาสม
ลู่อู๋ซูและหยวนอิงขี่ม้ามุ่งหน้าเข้าสู่ป่าใหญ่ไปได้ไม่นาน ก็ีกลุ่มคนชุดดำฝีมือดีกว่าสิบคนควบม้าไล่ตามมาจนทัน พวกเขาต่อสู้เอาชีวิตรอดกันมาตลอดทาง จากมือสังหารจำนวนนับสิบใคราแรก ตอนนี้เหลือเพียงแค่หกคนเ่าั้
พวกเขาห้อม้าเต็มเหยียดจนมาถึงลำน้ำสายเ็ๆ สายหนึ่ง ซึ่งแม่น้ำสายนี้เปรียบเสมือนเส้นแบ่งเขตแดน เมื่อข้ามไปอีกฟาก ก็จะเป็นเขตของแคว้นถัง ซึ่งม้าศึกไม่าารถข้ามผ่านไปได้ ดังนั้นทั้งสองจึงกระโดดลงจากหลังม้า และตัดสินใจว่ายน้ำข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งทันที แต่กระนั้น กลุ่มชายชุดดำก็ไม่ยอมลดละการไล่ล่า พวกมันติดตามมาประหนึ่งเงาตามตัวก็ไม่ปาน จนใที่สุดก็ตามมาทัน
ลู่อู๋ซูที่ร่างกายใเวลานี้บาดเจ็บสาหัส เพราะเต็มไปด้วยบาดแผลฉกาจฉกรรจ์ ยังคงพยาาต่อสู้ต่อไปเพื่อปกป้องหยวนอิงอย่างสุดชีวิต
องค์ชายหยวนอิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ตวัดปลายกระบี่ใส่อีกฝ่า พร้อมทั้งกระโจนเข้าโรมรัน จนทำให้ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเฉกเช่นกัน และแทบจะไร้เรี่ยวแรงต่อสู้เต็มที
“พี่ลู่ หากวันนี้ข้าต้องตาย อย่างน้อยก็ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านที่ข้านับถือเสมือนพี่ชายแท้ๆ ของข้า ข้าหาได้เสียใจไม่”
องค์ชายหยวนอิงกล่าวด้วยประโยคที่คล้ายกับสั่งเสียอย่างไรอย่างนั้น
“หากจะเสียใจ ก็ีแค่ยังไม่ได้แก้แค้นให้ท่านแม่ และตระกูลลู่ของพวกเราเ่าั้”
ลู่อู๋ซูเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็แทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เนื่องจากตอนเด็กๆ พ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายจนหมด เขาถูกเลี้ยงดูมาโดยผู้เป็นตาขององค์ชายหยวนอิง เขาจึงไม่ีพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว จะีก็แต่หยวนอิงเ่าั้ที่เปรียบเสมือนดั่งน้องชายแท้ๆ ของเขา ที่มักจะมาเล่นกับเขาเสมอ
เขาอยากปกป้องน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้เขาแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกกระบี่ขึ้นเลยด้วยซ้ำ
ระหว่างที่ต่างฝ่าต่างจมอยู่ใภวังค์ความคิดของตัวเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ครั้นหยวนอิงและลู่อู๋ซูหันขวับไปมองทางต้นเสียง ก็พบกับชายคนหนึ่งผู้ีใบหน้าอันสุดแสนธรรมดา กำลังตะโกนประกาศก้องว่าจะมาช่วยพวกตนให้พ้นภัย เมื่อพูด อีกฝ่าก็ิ่ปรี่เ้าาอย่างเร็วั โดยที่ใมือู่นั้นีเพียงแค่้ิก้อนเ็ๆ เ่าั้
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??