เรื่อง คู่บำเพ็ญข้า โคตรเทพ ภาคหยวนอิง
ท่ามกลางาีอันมืดิด ไร้ซึ่งแสงดาราพ่าพราว ความเจ็บปวดทรมานปานจะขาดใจกำลังเกาะกินใจชายหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา น่ารักคนึ่ ซึ่งบัดนี้กำลังนพลิกกายไปมาอย่างกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงน ราวกับว่าตกอยู่ท่ามกลางห้วงดินแดนธการ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นเขาก็คือองค์ชายหยวิง แห่งแคว้นหยวนนั่นเอง
นับจากวันที่ต้องหนีออกมาจากแคว้นหยวน ทุกค่ำคืนที่ับตานหยวิงไม่เคยออกมาจากฝันร้ายได้เลย มันยังคงวนเวียนมาหาเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน ภาพที่ตนเองยืยู่ในตำหนักท่ามกลางความมืดิด มีเพียงแสงจากตะเกียงที่ส่องสว่าง ในขณะที่คลี่จดหมายออกอ่าน แต่ข้อความในกระดาษแผ่นนั้นเปรียบประดุจดั่งอาวุธอันหนาวเย็นสุดขั้วพุ่งเข้าจู่โจมจิตใจของเขาจนพังทะลายไม่มีชิ้นดี จดหมายฉบับนี้ถูกส่งมาจากท่านตา แม่ทัพลู่ถิงแม่ทัพแห่งแคว้นหยวน ผู้มีอำนาจควบคุมกำลังทหารนับแสนแห่งกองทัพเช่อเยี่ยน ซึ่งเสียสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องแคว้นและปราบปรามข้าศึกที่มารุกรานจนได้รับความเคารพนับถือจากทั่ว้า
แต่เพราะอำนาจ และคำแซ่ซ้องจากปวงประชานั้นมีมากเกินไปมันจึงกลายเป็นดาบสองคมที่สร้างความหวาดระแวงให้กับคนผู้ึ่ หากหยวิงก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่า คนผู้นั้นจะทำได้ถึงเพียงนี้ ทำแม้กระทั่งใส่ร้ายข้อหากบฏต่อขุนนางที่จงรักภักดีมาทั้งชีวิต ีทั้งยังมีคำสั่งสังหารตนผู้ซึ่งเป็นบุตรชายแท้ๆ เพียงเพราะต้องการขุดรากถอนโคนให้สิ้นซากทั้งตระกูล ด้วยหวั่นเกรงการแก้แค้นในภายัง
หยวิงค่อยๆ ละสายตาจากแผ่นกระดาษตรงหน้าด้วยสองตาแดงก่ำ ขณะจ้องมองไปยังชายตรงหน้าซึ่งบัดนี้่ากายเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งดวงตาทั้งสองแดงก่ำเช่นเดียวกัน ลู่อู๋ซู แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพเช่อเยี่ยน ผู้เปรียบประดุจบุตรชายของท่านตา
แม่ทัพลู่ถิงชุบเลี้ยงลู่อู๋ซูมาตั้งแต่เยาว์วัย ให้ความรักประดุจคนในครอบครัว ทั้งยังถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ และความรู้ทางด้านกลศึกทุกแขนงให้แก่เขาจนหมดสิ้น ตั้งแต่เล็กจนโตยามหยวิงไปเที่ยวเล่นที่จวนของท่านตามักจะได้พบกับลู่อู๋ซูซึ่งกำลังฝึกซ้อมการต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังใจดีปลีกตัวมาเล่นเป็นเพื่อนเขาเป็นครั้งคราว
“ท่านพี่ ข้าไม่ได้กำลังฝันไปใช่หรือไม่” หยวิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือสิ้นหวัง
ลู่อู๋ซูนิ่งเงียบ ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด เพราะเขารู้ดีว่าหยวิง ไม่ได้ต้องการคำตอบแต่อย่างใด
ังจากความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะึ่ ลู่อู๋ซูก็กล่าวขึ้น
“เราไม่มีเวลาแล้ว ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้ข้ารีบพาท่านหนีออกจากแคว้นหยวนโดยเร็วที่สุด และมุ่งหน้าไปแคว้นถัง” ลู่อู๋ซูกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
หยวิงสบสายตาลู่อู๋ซูก่อนจะกล่าวถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “แล้วคื่นๆ เล่าท่านพี่”
ลู่อู๋ซูมองไปทางหยวิง พลางกลืนก้อนแข็งๆ ที่กำลังตีตื้นขึ้นมาจุกอก ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไม่มีคื่น มีแค่เรา และทหารคนสนิทจำนวนึ่เท่านั้น”
“นี่เป็นความหวังสุดท้ายของท่านแม่ทัพ เราไม่อาจชักช้า าไ่จะไม่สามารถตีฝ่าออกไปได้” ลู่อู๋ซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวหนักแน่น
“เจ้ารีบไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดนี้” พูดจบลู่อู๋ซูก็ยื่นชุดเรียบง่ายสีครามส่งให้หยวิง
หยวิง ชะงักงันไปครู่ึ่ แต่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาเ้าโเสียใจ าไ่ความผิดโฐานก่อกบฏนี้ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถลบล้างมลทินให้ตระกูลลู่ได้ีแล้ว เขาเอื้อมมือไปรับเสื้อผ้ามาแล้วรีบเข้าไปผลัดเปลี่ยน ใช้เวลาเพียงไม่นานก็พร้อมออกเดินทาง
“พวกเราไปกันเถอะ” หยวิงกล่าวแม้ภายในจิตใจจะรู้สึกเ้าโ แม้ไม่อยากจากไปหากรู้ดีว่าบัดนี้ไม่มีหนทางอื่นให้เดิีกแล้ว
ทั้งสองคนพยายามซ่อนตัวอยู่ในเงามืด บเลี่ยงทหารเวรยามตามจุดต่างๆ ในที่สุดก็สามารถรอดพ้นสายตาออกมาสมทบกับกลุ่มทหารนับสิบซึ่งท่านตาได้จัดเตรียมไว้ให้จนได้ ทุกคนล้วนเป็นผู้คนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตา กำลังนั่งรออยู่บนังม้าพร้อมจะออกเดินทางทุกเมื่อ
ทั้งกลุ่มรีบควบม้าห้อตะบึงจนฝุ่นตลบมุ่งหน้าไปทางทิศประจิม ในระยะแรกพวกเขาสามารถบีกออกไปได้โดยไม่มีอุปสรรค แต่เวลาล่วงเลยไปได้เพียงสองวันทหารตามด่านต่างๆ เริ่มตรวจตราเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จนต้องแบ่งกลุ่มแยกย้ายกันหนี แล้วค่อยกลับมารวมตัวกัีกครั้งตามจุดนัดพบซึ่งได้นัดหมายกันไว้ล่วงหน้า
เมื่อย่างเข้าวันที่สี่ในที่สุดีฝ่ายก็ล่วงรู้ตำแหน่งพวกเขาจนได้ กลุ่มของหยวิงจึงจำต้องเดินทางพร้อมปะทะกับฝ่ายตรงข้ามไปตลอดทางจนคนในกลุ่มเริ่มล้มหายตายจากไปทีละคน
ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืันมืดิด หยวิงกวาดตามองกลุ่มคนที่ติดตามอยู่ข้างกายด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย รู้สึกผิด และละอายใจต่อการกระทำของบิดาตนยิ่งนัก พวกเขาต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความเป็นความตายดุจดั่งเดิยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่สามารถปริแตกได้ทุกเมื่อ หยวิงประสานมือคารวะไปทางกลุ่มคนเ่านั้น ก่อนกล่าวคำที่อยู่ภายในใจออกมา
“ข้าหยวิง ขอขอบคุณทุกท่านที่เสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด ีทั้งยังคุ้มครองข้ามาตลอดเส้นทางสุดแสันตรายนี้ แม้ว่ามัาจจะหมายถึงจุดจบสุดท้ายของชีวิตก็ตาม ข้าหามีสิ่งใดตอบแทนในยามนี้ไม่ แต่ข้าขอให้คำสัตย์สาบาน หากข้ามีชีวิตรอดไปได้ ในาคตข้าจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อทวงความเป็นธรรมกลับมา และลบล้างมลทินที่พวกเราตระกูลลู่ไม่ได้ก่อให้จงได้ ข้าจะไม่งลืมบุญคุณในครั้งนี้เป็ันขาด” พูดจบหยวิงก็คารวะต่อหน้าทุกคีกครั้ง ใบหน้าบ่งบอกถึงความตั้งใจในทุกคำพูดที่ตนเพิ่งเอ่ย
ทหารทุกนายเมื่อได้ฟังคำกล่าวต่างรู้สึกตื้นตันใจ ทุกคนลุกขึ้นยืนคารวะตอบไปทางหยวิงเช่นกัน
สละสิ้นเลือดเนื้อทุกหยาดหยด
ชีพชีวาจรจดไม่แหนงหน่าย
แม้ทอด่ากลางป่าเขาเปล่าเปลี่ยวดาย
สลักลายเกียรติภูิยอดนักรบ
หากผ่านวันนี้ไปพวกเขาก็จะสามารถข้ามเขตชายแดนเข้าสู่แคว้นถังได้แล้ว นับเป็นความโชคดีที่ตลอดเส้นทางพวกเขาได้รับความช่วยเืออย่างลับๆจากคนผู้ึ่ าไ่คงิอาจบเลี่ยงอันตรายมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้
คนผู้นี้คือใครกัน นี่คือความสงสัยในใจของหยวิง ดูเหมือนคนผู้นั้นจะเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้า และคำนวณแล้วว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ดูได้จากการวางตัวผู้คนไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อคอยส่งข่าว
หยวิงยังจดจำช่วงเวลาวิกฤติที่สุดได้ ตอนนั้นมีเด็กขอทานนำกระดาษแผ่นึ่ออกมาส่งให้ตน เมื่อเปิดดูพบว่าเป็นแผนที่เดินทางไปยังแคว้นถัง ในนั้นล้วนระบุด่านทหารแต่ละเส้นทางไว้อย่างละเอียดชัดเจน เส้นทางใดไปได้ เส้นทางใดห้ามไป
ลู่อู๋ซูังจากมองแผนที่ฉบับนี้ ในคราแรกยังเกิดความระแวงสงสัย แต่ด้วยภาวะจำยอมเนื่องจากเส้นทางที่พวกเขาวางแผนเดินทางไว้ถูกปิดกั้ย่างสมบูรณ์ จึงจำใจต้องเสี่ยงบหนีไปตามเส้นทางที่ระบุไว้ในแผนที่ฉบับนั้น ถึงมีการปะทะกันบ้างประปรายแต่พวกเขาก็สามารถเอาตัวรอดมาได้
ในขณะที่กำลังเข้าใกล้เขตชายแดนระหว่างแคว้นหยวนและแคว้นถัง ช่วงเวลานั้นเองพวกเขาถูก -่าฝนธนูพุ่งทะยานเข้าใส่จากทุกทิศทุกทางท่ามกลางป่าไม้เขียวขจี พร้อมๆ กับกลุ่มคนนับร้อยพุ่งโจมตีเข้ามา ังธนูดอกสุดท้ายร่วง่นลงสู่ผืนดิน หยวิงทำได้เพียงมองผู้คนข้างกายค่อยๆ ล้มลงทีละคนต่อหน้า เลือดแดงฉานกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง พวกเขาใช้คมดาบคมกระบี่ถาโถมเข้าใส่ผู้คนรอบตัวเพื่อต่อสู้ ทั้งที่บางคนยังมีลูกธนูปักอยู่บน่า แต่ไม่มีใครคิดจะยอมแพ้ ยังพยายามปกป้องเขาจวบจนลมหายใจสุดท้าย หยวิงทำได้เพียงมองภาพเ่านั้นโดยไม่อาจทำสิ่งใดได้ นั่นเพราะเขาอ่อนแอเกินไป เสียงผู้คนครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังมาไม่ขาดสาย สายโลหิตไชโลมผืนดิน เสียงกีบเท้าม้ากระทบกัน ผสมผสานกับเสียงผู้คนตะโกนให้เขาหนีไปดังขึ้นไม่หยุด ความรู้สึกเจ็บปวดใจประดุจดั่งมีดกรีดเฉือนนั้นทำเขาแทบจะหายใจไม่ออก
หยวิงลืมตาโพลงเด้งตัวลุกขึ้นนั่งหอบหายใจจนตัวโยน เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายเต็มใบหน้า ดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้างบัดนี้มีน้ำตาคลอเบ้า ได้แต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน และทอดสายตามองออกไปกหน้าต่างด้วยดวงตาเลื่อนลอย
ศศิธรสาดแสงส่อง้า
แต่ใยข้ากลับเปล่าเปลี่ยวจิต
แหงนมองฟ้าพบเพียงความมืดิด
ที่สถิตในใจคือทุกข์ทน
เพียงครู่ึ่จึงดึงสติกลับมาสู่ความเป็นจริง ณ เวลานี้เขาหาใช่องค์ชายหยวิงที่กำลังบหนีในแคว้นหยวนหากแต่เป็นหยวิงศิษย์สำนักพิภพดารา สำนักอันดับึ่แห่งแคว้นถัง เขาบอกตนเองเช่นนั้น ก่อนค่อยๆ ก้าวลงจากเตียงน เพื่อออกไปล้างหน้าล้างตาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ในขณะที่เปิดประตูห้องเดินลงมาก็พบกับลู่อู๋ซูซึ่งกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องนั่งเล่น
“ฝันร้ายีแล้วหรือ” ลู่อู๋ซูเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อพบว่าีฝ่ายมีใบหน้าซีดเซียวที่ไม่สู้ดีนัก
หยวิงเพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
“กังวลเรื่องงานเลี้ยงครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์ถังที่พวกเราจะต้องเข้าร่วมเช่นนั้นหรือ”
“......”
หยวิงยืนนิ่งไม่ตอบแต่ก็เสมือนยอมรับคำกล่าวของลู่อู๋ซูไปในตัว
“ทุกอย่างจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี ีทั้งคราวนี้พวกเราก็ไปในนามตัวแทนของสำนักพิภพดารา พวกเขาคงไม่กล้าลงมือ” ลู่อู๋ซูพยายามกล่าวปลอบ
หยวิงถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าราวกับว่าเห็นด้วย แล้วเดินเลี่ยงออกไปตักน้ำในถังขึ้นมาล้างหน้าล้างตา หวังให้จิตใจที่กำลังวุ่นวายสับสนสงบลง เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นก็พบว่าลู่อู๋ซูที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลในมืออุ้มนกพิราบสีขาวนวลไว้ ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นึ่มาให้
“องค์ชายห้าส่งมา”
ลายมือที่สุดแสนคุ้นเคยปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนั้น
ช่วงนี้เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ข้าอยู่ทางนี้สุดแสนจะเบื่อหน่ายพวกคนแก่คร่ำครึเ่านั้นเต็มทน ถึงแม้เพิ่งจะจากกันไม่นาน แต่ข้าก็อยากจะเขียนข้อความเ่านี้มาระบายให้เจ้าฟัง และอยากรับรู้ความเป็นไปทางฝั่งเจ้าเช่นกัน ดูแลตัวเองให้ดี อย่าหักโหมกับการฝึกซ้อม และอย่ากดดันตนเองเกินไป หนทางยังียาวไกลแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย ดูแลตนเองให้ดีอย่าให้ข้าต้องเป็นห่วง รอพบเจ้า
ถังี่
ังจากอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นจนจบ ใบหน้าขาวนวลพลันผุดรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นตรงมุมปาก ความรู้สึกเศร้าหมองสลายหายไปในพริบตา
“ใช่แล้ว พี่ี่พูดถูก แก้แค้นสิบปียังไม่สาย ข้ากังวลทุกข์ทนในยามนี้หาได้เกิดประโยชน์อันใดไม่ มีแต่จะทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ลงก็เพียงเท่านั้น ในเวลานี้สิ่งที่ข้าควรครุ่นคิดคือทำอย่างไรจึงจะสามารถยกระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นให้เร็วที่สุด ข้าคงต้องหาเวลาสอบถามน้องเล็กสักหน่อยแล้ว” หยวิงคิด
ลู่อู๋ซูเมื่อเห็นใบหน้าหยวิงเริ่มมีสีสันขึ้นก็เบาใจ จึงปลีกตัวเดินกลับห้องพักเพื่อทำสมาธิเพิ่มพลังปราณต่อไป
แตกต่างกับน้องเล็กรั่วซีที่หยวิงกำลังนึกถึงก่อนหน้า ขณะนี้เขาหาได้พักผ่อนดีๆ ไม่ เพราะถูกีคนเคี่ยวกรำจับพลิกคว่ำไปมา ทำได้เพียงแค่ร้องครวญครางอยู่ใต้่าของีฝ่ายเท่านั้นเอง
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??