เรื่อง Dark Whispers เสียงกระซิบจากเงามืด
……………………….
หลังจากตอบตกลง ผมก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยยูนิฟอร์มที่สวมใส่เป็นเสื้อยืด ยีนส์ขาสั้นเก่าๆ อันขับเน้นให้ร่างล่ำๆที่ไม่สูงนักโดดเด่นขึ้น เวลาต่อมา สต๊าฟประจำกองก็ได้นำพาไปยังฉากหนึ่งที่ถูกเซ็ตให้เป็นสนามหญ้าหลังบ้าน ซึ่งมันให้ความรู้สึกประหลาดจนผมต้องขบคิด
“ เอ….ฉากแบบนี้มันคุ้นๆนะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
ผมยอมรับว่างงงวย แต่มันคลับคล้ายคลับคลาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ใหญ่ที่ประดับประดาไปด้วยลูกแอปเปิ้ล บ้านไม้ชั้นเดียวเก่าๆที่ผุพังบางส่วน ไหนจะรถบ้านโทรมๆที่จอดอยู่ข้างโรงเรือน มันช่างคุ้นตาเหลือเกิน
ระหว่างที่ผมกำลังควานหาคำตอบในสมองหลายล้านรอยหยัก ทีมงานก็ยกกล้องวิดีโอขนาดใหญ่ที่ใช้ถ่ายทำรายการทีวีระดับห้าดาวออกมา บ่งบอกว่านี่คืองานช้างจริงๆ
“ โห…..ไอ้พวกบ้านี่จัดเต็มแฮะ ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟหรือใดๆ ก็ใช้อุปกรณ์เกรดเอทั้งหมด สมแล้วที่กล้าจ้างเราถึงหลักล้าน”
และพอพยายามมองหายัยลูน่า ก็พบว่านางกำลังยืนกอดอกอยู่ ส่วนข้างๆคือไอ้อ้วนในชุดสูทดำที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา
“ โอ้….นังตัวแสบอยู่นั่นเอง หวังว่าพอจบงาน จะไม่เล่นตุกติก และถ้าคิดเบี้ยว กูจะยัดขี้หมาใส่ปากของพวกมันเป็นการตอบแทน” พอได้มติในใจ ผมก็หันไปโฟกัสกับหน้าที่การงาน ไม่นาน นักแสดงคนอื่นก็ออกมา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกตื่นตระหนก
“ เฮ้ย…..นี่มัน เป็นไปไม่ได้”
สาเหตุที่ทำให้ผมตกใจถึงเพียงนี้ เพราะกลุ่มบุคคลที่ก้าวออกมา มีรูปลักษณ์คล้ายสี่สมาชิกในทีมสวนสัตว์มนุษย์แบบไม่มีผิดเพี้ยน คนแรกเป็นไอ้รูปหล่อที่สักลายไปเกือบ70 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย คนที่สองก็คือชายวัยกลางคนร่างอ้วนใหญ่ที่มีมันสมองโคตรวิปริต คนที่สามเป็นบุรุษร่างสูงผอม ใบหน้าเสี้ยม ศีรษะไว้ผมยาวที่ย้อมเขียวแดงแนวเกาหลี แต่เต็มที่น่าจะเป็นโอปป้าสายเดินยาซะมากกว่า เพราะรูปกายทรุดโทรมจนดูไม่ได้
ส่วนคนสุดท้ายนั้นพีคสุด ด้วยมันคือหนุ่มรุ่นร่างเล็ก ใบหน้าดูลอยๆตลอดเวลา คล้ายผ่านการพี้ยามาทั้งชีวิต และสิ่งที่เป็นซิกเมเจอร์ของมันก็คือ….พูดไม่รู้เรื่องเลย
ผมชะงักงันอยู่หลายอึดใจ เพราะไม่คิดว่าเหล่าทีมงานสวนสัตว์มนุษย์จะมายืนตรงนี้ ก็ขาดแค่ไอ้บ็อบที่เพิ่งตายเพียงคนเดียว เลยร้องทักเสียงดัง
“ เฮ้ย…มาได้ไงวะ หรือนายทุนก็ส่งยัยลูน่าไปจ้างพวกมึงด้วย”
ทว่าไอ้สี่หน่อไม่ตอบ กลับส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้ผม อารมณ์เดือดจึงปะทุขึ้นมาจนต้องสบถด่าเสียงดัง
“ เฮ้ย พูดด้วยไม่พูดด้วย หยิ่งนักรึไงวะ หรือว่าเห็นกูตกอับ แล้วมองข้ามหัว” พูดจบ ผมก็ตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อของไอ้หนุ่มขี้ยาที่ดูลอยๆ เพราะเป็นเป้าประสงค์ที่อ่อนแอสุด แต่หมอนั่นกลับสะบัด เพื่อให้หลุดจากการจับกุม
“ ปล่อยกูนะ ไอ้สันขวาน”
“ เฮ้ย….มึงกล้าขัดขืนกูเหรอ” ผมตะคอกใส่ อารมณ์เริ่มเดือดเกือบถึงขีดสุด เพราะที่ผ่านมา ไอ้-่านี่ไม่เคยแสดงกิริยาแบบนี้กับผมเลย แต่ไม่ทันได้กำราบให้สมใจ ก็มีของแข็งบางอย่างพุ่งมากระแทกใบหน้าของผม
“ ปัง……”
ดาเมจนี้ส่งผลให้ผมต้องผละมือจากไอ้ขี้ยา พร้อมกระเด็นไกลไปหลายตลบ และสิ่งที่ตามมาคือความเจ็บปวดบริเวณโหนกแก้ม ของเหลวสีแดงสดหลั่งไหลจากมุมปาก
“ อู้ย…..นี่มันเลือดนี่หว่า แม่งต่อยกูปากแตกเลยหรือวะ” ผมโกรธแค้น เลยหันไปมองสี่หน่อ จึงพบว่าเจ้าของกำปั้นหนักๆก็คือ….ไอ้รูปหล่อ
“ กูเป็นคนต่อยเอง แล้วมึงจะทำไม ไม่รู้จักกัน ก็อย่ามาสะเออะแสดงอำนาจ” ไอ้หน้าหล่อตอบกลับเสียงกร้าว ทำเอาผมสะดุ้ง ด้วยที่ผ่านมา หมอนี่นับเป็นคนที่สุภาพสุดในกลุ่ม แถมยอมให้ผมแกล้งสารพัด ขนาดโดนแอบเยี่ยวใส่หลัง มันยังโต้กลับมาแค่คำด่าเบาๆ ประมาณว่า“พี่อย่าแกล้งผมดิ” เท่านั้นเอง
แน่นอนว่าเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนร่างอ้วนใหญ่ย่อมต้องมีบทบาท เพราะหมอนี่จัดเป็นมันสมองของกลุ่ม คอยคิดแผนแกล้งคนแบบวิปริตมาโดยตลอด เขาจึงก้าวออกมา พร้อมแสยะยิ้มชั่วร้ายให้ผม
“ หึ หึ หึ แต่จะว่าไป จ็อบแรกในการถ่ายทำคลิปก็คือ…รุมตื้บมึง และในเมื่อไอ้หล่อมันเปิดไปแล้ว พวกเราก็มาสานต่อให้จบเถอะ”
สิ้นคำกล่าว พวกมันก็กรูกันเข้ามารุมสกัมผมในบัดดล ซึ่งแต่ละหมัดเท้าเข่าศอกล้วนใส่กันแบบจริงจัง ไม่มีออมแรงให้ซักนิดเดียว
“ อุ้ก…อั้ก….ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งทำกู คุยกันก่อน” ผมพยายามบอก สองมือสองเท้างอตัวเก็บเข่า แต่พวกมันไม่ยอมรับฟังเลย จึงเงยหน้าขึ้นไปมองทีมงาน ทำให้พบว่าพวกนั้นกำลังถ่ายทำอย่างสนุกสนาน ด้วยบนใบหน้าล้วนปรากฏรอยยิ้มที่ชวนหลอน เพราะมันฉีกกว้างจนสุดหล้า
“ โอ๊ย….ใครก็ได้ ช่วยกูด้วย กูยอมแล้ว” และพอความเจ็บปวดคืบคลานถึงขีดสุด ผมก็เริ่มร่ำร้องขอความเห็นใจ ดวงตามองหายัยลูน่า หวังให้นางมาหยุดมหันตภัยครั้งนี้ ไม่นาน ผมก็พบกับเธอ ซึ่งนั่นทำให้รู้ว่า….สิ่งที่ผมปรารถนาไม่มีวันเป็นจริงอย่างแน่นอน
เหตุที่ทำให้ผมคิดแบบนี้เป็นเพราะ…..ยัยลูน่านั้นกำลังยืนกอดอกอยู่ใกล้ไอ้เศรษฐีโรคจิต ทว่าสีหน้าของเธอกลับดูนิ่งเฉยและเย็นชา ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ไม่ทันได้ตกใจไปมากกว่านี้ บาทาของไอ้หล่อก็หวดเข้ามาที่จุดตายอย่างปลายคาง อันทำให้ผมหน้าหงายในบัดดล
“ อึก……” ผมล้มลงไปนอนแน่นิ่ง ดวงตาเห็นดวงดาวลอยระยิบระยับ สติเริ่มรางเลือน จมูกแว่วกลิ่นคาวโลหิต พร้อมความเจ็บแสบที่แผ่ซ่านไปทุกอณูของร่างกาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า…..ผมน่าจะโดนรุมสกัมจนน่วมตีน
กระนั้นแก๊งโหดก็ไม่ปล่อยให้ผมได้พักนานนัก ไอ้ชายร่างอ้วนใหญ่ขยับมานั่งข้างๆผม พร้อมกล่าวแผ่วเบา แต่ก็ชัดพอจะให้ผมได้ยิน เลยสดับน้ำเสียงเย้ยหยันของมันได้ไม่ยาก
“ ไง….ที่นี้พอจะรู้แล้วใช่มั้ยว่า…..ไม่มีใครอยากโดนแบบนี้”
น้ำคำนั้นทำให้ใบหูของผมกระตุก มโนทวารหวนระลึกถึงเรื่องในอดีต ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังถ่ายทำคลิปนรก บ่อยครั้งผมจะออกคำสั่งให้สี่หน่อประเคนเท้าเข่าศอกใส่ไอ้บ็อบเป็นการใหญ่ บางเวลาผมก็ลงมือเอง มีอยู่คราวนึง ผมเคยสั่งให้มันนั่งจ้องหน้าในโรงรถซักครึ่งนาที ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นมายันเท้าใส่หน้าไอ้ต๊องนั่นจนล้มลงไปนอนหงาย
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า มึงนึกออกแล้วดิ และแบบนี้ล่ะ คุ้นๆมั้ย” ชายร่างอ้วนใหญ่หัวเราะร่า จากนั้นมันก็เอาฝ่าเท้าเหยียบศีรษะของผม ทำให้ผมนึกออก เพราะมีอยู่คลิปนึงที่ผมใช้ส้นตึกพาดบนหัวของไอ้บ็อบ
ผมเริ่มสำนึกถึงบาปกรรม ซึ่งนั่นก็เจ็บปวดใจจนน้ำใสๆเริ่มไหลจากขอบตา ไม่นาน โสตประสาทก็ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของตัวเอง
“ อึก อึก อึก….ขะ…เข้าใจ กะ…กูผิดเองทั้งหมด ยะ…อย่าทำร้ายกูเลย”
แต่แทนที่แก๊งนรกจะนึกสงสาร พวกมันกลับหัวเราะเยาะใส่อย่างหนักหน่วง
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่หรือวะเจ้าของสวนสัตว์มนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมใจเท่าตุ๊ด เจอแค่นี้ ก็ร้องไห้ฟูมฟายเป็นตัวเมียแล้ว กูว่ามึงควรไปนุ่งกระโปรงซะมากกว่า”
หลังจากที่ผมโดนประเคนคำด่าและถ่มน้ำลายใส่จนหนำใจ ชายร่างอ้วนใหญ่ก็เริ่มเข้าสู่เนื้อหาหลักของคลิป โดยมันออกคำสั่งให้ไอ้ขี้ยาร่างเล็กไปยกจานใหญ่มา อันมีฝาครอบทองเหลืองปิดกั้นไว้อีกชั้น
“ เอาล่ะ มึงเลิกสะอึกสะอื้นเป็นหมาร้องไห้ และลุกขึ้นมาทำงานได้แล้ว” ชายร่างอ้วนใหญ่ตะคอกใส่ ก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ชายร่างผอมและไอ้รูปหล่อดึงผมลุกขึ้นนั่ง ซึ่งก็เป็นไปอย่างยากลำบาก ด้วยผมถูกรุมทำร้ายจนแทบสลบ
“ อู้ย………” ผมครางเบาๆ และไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้ฝาครอบทองเหลืองนั่น แต่ถ้าให้คาดเดา ก็คงจะเป็นก้อนขี้อย่างแน่นอน เพราะนั่นคือเป้าหมายหลักของคลิปนี้
พอผมจ้องถาดนั้นได้ประมาณอึดใจ ชายร่างอ้วนใหญ่ก็ร้องบอกให้ไอ้ขี้ยาร่างเล็กเอาฝาครอบออก ซึ่งมันก็ทำตามคำสั่ง
“ อื้อ…..” สิ่งแรกที่เกิดขึ้นก็คือ….กลิ่นเหม็นเน่าของกากอาหารที่โชยมาจากข้างใน ซึ่งมันรุนแรงจนแทบทำให้ผมล้มทั้งยืน และทันทีที่ฝาครอบเปิดออกโดยสมบูรณ์ ดวงตาของผมก็ประสบกับบางอย่างที่ชวนรากแตก
บางสิ่งที่ว่านั้นก็คือ…..ก้อนกากอาหารขนาดพอดีมือที่ยาวประมาณสองนิ้ว พวกมันทั้งสามชิ้นมีสีเหลืองจัดจนเกือบดำ แถมถูกจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ มีน้ำเหนียวหนืดสีน้ำตาลเข้มคอยชโลมอีกที ซึ่งถ้าให้คาดเดา น่าจะเป็นกากอาหารประเภทของเหลว
“ อุ้บ…..มะ….ไม่ไหวแล้ว อ้วก…….” ทุกสิ่งที่ปรากฏ มันทำลายจิตใจอย่างสาหัส สุดท้ายผมก็ทนไม่ได้ เลยขย้อนของเก่าออกมาจนหมด
“ เฮ้ย! ทำเห้ยอะไรของมึงวะ สกปรกชะมัด” สองหน่อที่ประคองอยู่ รีบปล่อยมือ ทำให้ผมก้มลงอาเจียนจนสุดกำลัง แน่นอนว่าพวกมันอาจจะยังเหลือมโนธรรมอยู่ในจิตใจบ้าง เลยปล่อยให้ผมได้ทำใจอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ชายร่างอ้วนใหญ่จะออกปาก
“ เอาล่ะ กูว่ามึงคงทำใจได้บ้างแล้ว ดังนั้นก็มาทำหน้าที่ของตัวเองซะ”
ผมเหลือบมองไปที่ซากอาหารที่จัดเรียงบนจานกระเบื้อง จมูกพยายามปรับตัวให้คุ้นชินกับกลิ่นคลื่นเหียน ในสมองย้อนนึกถึงบำเหน็จที่ได้รับ หลังจบงานนี้
“ มึงจะยอมแพ้แค่นี้หรือวะ ไอ้บราวน์ มึงมันเคยแน่กว่านี้นี่หว่า…..”
พอปลุกปลอบตัวเองสำเร็จ ผมก็หลับหูหลับตา ยื่นมือไปหยิบกากอาหารสามก้อนนั้นขึ้นมา แล้วคว้ามันเข้าปากทันที
สามารถติดตามงานเขียน ณ.ปัจจุบันและในอนาคตของผมได้ที่เพจ Jalandoนักเขียนดาร์คไซด์ได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
https://www.facebook.com/darksidewriter.versionend.of.the.alley
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??