เรื่อง สายลมไม่สิ้นชื่อข้า(名隨風在)

ติดตาม
ตอนที่ 51 (ภาค 2): ไฟสงครามใต้แผ่นฟ้า
ตอนที่ 51 (ภาค 2): ไฟสงครามใต้แผ่นฟ้า
  • ปรับสีและขนาดตัวอักษร
ตอนที่ 51 (ภาค 2): ไฟสงครามใต้แผ่นฟ้า


กลองศึกดังก้องจากกำแพงตะวันตกของเมืองหลวง
ทุกเสียงเงียบงันเพื่อรับฟังเพียงจังหวะเดียว—
เสียงแห่งสงคราม!
ภายในห้องโถงหลวง เสียงกลองเหมือนระฆังแห่งความหายนะ ขุนนางหลายคนหน้าซีดเผือด บางคนลุกพรวดออกจากที่นั่งเพื่อเร่งกลับไปยังจวนของตนเอง บ้างวิ่งตรงไปยังหอวางแผนการศึก
เฟิงหมิงหันไปสบตากับจินเสวี่ย กุนซือหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“เป็นตามคาด พวกมันเลือกเปิดศึกในช่วงที่ภายในเราวุ่นวายที่สุด”
“จำนวน?” เฟิงหมิงถาม
“ตามที่คาดการณ์—ไม่ต่ำกว่าสี่หมื่น…และมีกำลังเสริมจากกลุ่มทัพรับจ้างชายแดนอีกสามพันคน”
“ผู้นำทัพคือใคร?”
“แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหลี่เจียน — หวางจื่อคุน”
ชื่อของหวางจื่อคุนทำให้ไป๋อวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับขมวดคิ้ว
แม่ทัพผู้นี้เคยเป็นอดีตเพื่อนร่วมรบกับบิดาของนางเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่หลังจากแคว้นหลี่เจียนแยกตัวออกมาและทำสนธิสัญญาอิสระ บิดานางก็เสียชีวิตด้วยความลึกลับ ส่วนหวางจื่อคุนก็หายไปจากสนามรบหลายปี
และบัดนี้—เขากลับมาในฐานะศัตรู

องค์ชายหลี่หมิงยังยืนอยู่ภายในห้อง แม้ถูกกล่าวหาและล้อมไว้ ทว่าขุนนางหลายคนต่างมุ่งสู่ความเร่งด่วนของศึกใหม่จนมิอาจกักตัวเขาไว้ได้
“เรื่องของเจ้า ข้าจะปล่อยไว้ก่อน…” เฟิงหมิงเอ่ยขึ้น
“แต่หลังศึกนี้ เจ้าจะต้องรับคำตัดสิน!”
หลี่หมิงขบกรามแน่น ไม่เอ่ยโต้กลับ เพียงสะบัดแขนคลุมแล้วเดินจากไปอย่างผู้พ่าย

เฟิงหมิงหันกลับมายังโต๊ะกลางโถง
“เปิดแผนที่!”
จินเสวี่ยคลี่แผนที่ผืนใหญ่บนโต๊ะกลาง แสดงตำแหน่งชายแดนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นซื่อหยู
แนวภูเขาเยี่ยนเฉิงทอดยาวเป็นปราการธรรมชาติ แต่มีช่องว่างที่จุดหนึ่ง — “คอหอยเมฆา”
“หวางจื่อคุนกำลังมุ่งเข้าคอหอยเมฆาแน่นอน” จินเสวี่ยชี้
“หากพวกเราปล่อยให้เขายึดจุดนั้น แคว้นเราจะถูกตัดเส้นทางขนส่งระหว่างตะวันตกกับเหนือโดยสิ้นเชิง”
“กี่วันถึง?” ไป๋อวิ๋นถาม
“อย่างช้าสุด…ห้าวัน”
“เรามีกำลังเท่าไร?” เฟิงหมิงถามต่อทันที
“กองกำลังประจำชายแดน—สองหมื่นห้าพัน แต่แยกกระจายตามจุดยุทธศาสตร์”
“เราต้องเร่งรวมพลกองทัพหลวงเข้าเสริม!”

เฟิงหมิงกำหมัดแน่น
“ประกาศเรียกระดมพลจากหัวเมืองทุกทิศ”
“ส่งสารเรียกขุนศึกทั้งห้า—เจียงหลาน, ไป๋อวิ๋น, เฉินหลง, ลู่เหยียน และม่อฉี—รวมตัวที่ทุ่งหลงชิงภายในสามวัน!”
เสียงสั่งนั้นเด็ดขาด ก้องกังวานไปทั้งห้อง
แม่ทัพเฟิงหมิงไม่ได้ยืนอยู่เพียงลำพังอีกต่อไป เขากำลังจะเรียกพลังของทั้งแคว้นให้รวมเป็นหนึ่ง

ลมหนาวจากภูผาเยี่ยนเฉิงพัดแรงในเช้าวันถัดมา กลบเสียงฝีเท้าม้าทหารที่วิ่งตะบึงไปทั่วแคว้นซางหลิน ชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบหลากสีสัญลักษณ์ของหัวเมืองเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่จุดรวมพลที่ “ทุ่งหลงชิง” ซึ่งเป็นที่ราบใหญ่ทางตะวันตกของเมืองหลวง
เฟิงหมิงสวมชุดเกราะเต็มยศ ขึ้นยืนบนแท่นไม้ชั่วคราวตรงกลางทุ่ง มองดูทัพน้อยทัพใหญ่ที่ทยอยมารวมตัวกันราวกับสายธารไหลรวมสู่ทะเล
“รายงาน! กองทัพของแม่ทัพลู่เหยียนจากเมืองกวงเฉินมาถึงแล้ว!”
“กองทัพของม่อฉีจากชายแดนใต้กำลังเข้าทางหุบเขาซื่อซาน!”
“เฉินหลงนำทัพจากเขตหลินหรูมาทางทิศเหนือเช่นกัน!”
จินเสวี่ยส่งรายงานทั้งหมดเข้าไปในมือเฟิงหมิง ท่ามกลางแสงแดดส่องผ่านสายหมอกบาง ๆ ที่เริ่มจางลง

ฉากภายในกองบัญชาการชั่วคราว ทุ่งหลงชิง
แผนที่แคว้นขนาดใหญ่ถูกตรึงกับผนังเต็นท์กลาง กุนซือเฉินอวี้ซานยืนหน้าผัง มองดูลูกศรสีแดงที่ชี้เข้ามาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้
“จากรายงานล่าสุด—ทัพหวางจื่อคุนกำลังพักพลที่ป่าเย่ซาน เพื่อเตรียมทะลวงเข้าคอหอยเมฆาในอีกไม่เกินสองวัน”
“พวกเราจำเป็นต้องเลือกว่าจะรับมือตรงแนวนั้น หรือใช้ทางเบี่ยงเพื่อตีโอบด้านหลังเขา”
ไป๋อวิ๋นยืนกอดอก พูดด้วยเสียงแน่น
“หากตีโอบ จะเสียเวลาในการปีนเขาและจัดกองทัพ—แต่จะได้เปรียบเรื่องจู่โจมจากแนวสูง”
“หากรับหน้า ต้องเอากำลังเข้าปะทะทันที ทว่าหากพลาด…จะเปิดทางให้ศัตรูทะลุถึงเมืองหลวงในสามวัน”
เฉินอวี้ซาน: “เรามีทหารรวมทั้งหมดราว 4 หมื่น กับกำลังเบากึ่งลอบเร้นอีกสองพัน ข้าคิดว่า…”
เฟิงหมิงตัดบททันที “ข้าจะแบ่งกองทัพออกเป็นสามแนว”
“หนึ่งคือทัพหลัก ตั้งรับหน้าป่าเย่ซาน นำโดยลู่เหยียนและม่อฉี”
“สองคือทัพเบากลซุ่ม โอบตีด้านหลัง นำโดยไป๋อวิ๋นและจื่อเหยียน”
“สามคือทัพป้องกันเมืองหลวง คุมเส้นทางหลบซ่อนของศัตรู นำโดยเฉินหลง”
“ส่วนข้า…จะอยู่แนวหน้า”
เสียงเงียบลงในทันใด — ก่อนเสียงตะโกนตอบรับจะดังลั่นทั่วกระโจมบัญชาการ

บรรยากาศการเดินทัพ
วันต่อมา ขบวนทัพจำนวนมากเริ่มเคลื่อนพล เคลื่อนไหวราวคลื่นเหล็กที่หลั่งไหลไปตามแนวหุบเขา สะพานไม้ถูกเสริม สัญญาณควันลับถูกส่งข้ามภูเขา ทุกขุนศึกต่างปฏิบัติตามแผนของเฟิงหมิงอย่างไม่ลังเล
“พวกเรากำลังเผชิญกับหนึ่งในแม่ทัพที่เจนศึกที่สุดของแผ่นดิน”
“หากแพ้ครั้งนี้…แคว้นซางหลินอาจกลายเป็นเพียงชื่อในหน้าประวัติศาสตร์”


ฟากฟ้าเหนือ “คอหอยเมฆา” มืดคลุ้มด้วยเมฆฝน กลุ่มหมอกหนาแน่นค่อย ๆ ปกคลุมหุบผาอย่างเชื่องช้า ด้านล่างคือช่องทางคับแคบที่ถูกขนานนามว่า “ทางลมหายใจมังกร” เส้นทางหลักที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองตงหลินและเมืองหลวงแห่งแคว้นซางหลิน—และยังเป็นด่านผ่านเดียวที่ทัพใหญ่สามารถเคลื่อนพลได้โดยไม่ตกหน้าผา
เฟิงหมิงยืนอยู่เบื้องหน้ากองทัพหลักพร้อมขุนศึกหลินหย่งและม่อฉี
พวกเขาตั้งค่ายอยู่บนเนินดินเหนือปากทางหุบเขา ล้อมรอบด้วยแนวไม้ไผ่ที่ตั้งชิดกันราวกำแพงธรรมชาติ
เสียงกลองศึกดังขึ้นจากเบื้องล่างในหุบเขา
เสียงแตรเขาสามดังก้องไปทั่วท้องฟ้า นั่นคือสัญญาณของ “หวางจื่อคุน” แม่ทัพผู้มากประสบการณ์แห่งแคว้นหลี่เว่ย
“มาแล้ว… พวกมันขึ้นเขามาตรงตามแผน”
เฟิงหมิงเอ่ยเบา ๆ ดวงตาแน่นิ่งยิ่งกว่าความมืดของหมอก
“จงให้มันเห็น—ว่าเส้นทางสู่เมืองหลวง ไม่ได้เปิดไว้ให้ผู้ใดย่ำ”

ฉากการปะทะแนวหน้า
กลุ่มทหารแนวหน้าของเฟิงหมิง ใช้โล่ไม้กลมเรียงแน่นดั่งกำแพง ติดไฟฉายเพื่อสร้างแสงเล็กน้อยในช่องเขาอับแสง
เสียงลูกธนูทะยานออกจากแนวด้านหลังราวพายุฝน ซัดใส่ทัพแนวหน้าของศัตรูที่เพิ่งเคลื่อนพลเข้าเขตคับแคบ
หวางจื่อคุนยืนอยู่บนหลังม้าไกลออกไป สังเกตแนวรบด้วยสีหน้าเย็นชา
ข้างกายมีแม่ทัพรอง 3 คน ซึ่งต่างใช้วิธีบุกดุดัน
“จุดไฟข่มขวัญ เสียงธนูหลอกล่อ…เจ้าหนูเฟิงหมิงคนนี้ คิดจะวางกับดักหรือไร?”
“จัดกองพลทลายแนวโล่ แหวกตรงกลาง ใช้กองเบาพลิกแนวด้านข้าง ข้าจะดูสิว่า—แนวอ่อนของมันอยู่ที่ใดกันแน่!”
ทัพของหวางจื่อคุนเคลื่อนที่ด้วยความแม่นยำ
ธนูขนาดหนัก, หอกซัด, กับระเบิดควันเริ่มถูกนำมาใช้

ฉากโต้กลับของเฟิงหมิง
เมื่อศัตรูบุกเข้ามาลึกได้เกินแนวที่สอง—ทันใดนั้น ทหารแนวหลังกว่าห้าร้อยนายที่แฝงตัวอยู่กับแผ่นหิน ถูกสั่งให้ระดมยิงตะขอเหล็กใส่กองทัพศัตรูด้านข้าง พร้อมทั้งผลักหินกลิ้งจากยอดดินล้อมหุบเขา
เสียงหินกลิ้งกระทบเกราะ เกิดเป็นเสียงอึงอลปะทะกับเสียงกรีดร้องของทหารที่ตกใจ
ทัพหวางจื่อคุนเริ่มแตกเป็นสองแนวอย่างไม่ทันตั้งตัว
หลินหย่ง: “ข้าจะนำทัพปีกซ้ายบุกสวน! จู่โจมแม่ทัพรองของมัน!”
ม่อฉี: “ฝ่ายขวาเป็นของข้า! เราจะไม่ให้พวกมันรวมตัวได้อีก!”
ในเวลาเดียวกัน ทัพเบาใต้การนำของไป๋อวิ๋นก็เคลื่อนตัวจากแนวหุบเขาหลัง เข้าล้อมด้านหลังอย่างเงียบงันราวเงามัจจุราช

เสียงกลองศึกในคอหอยเมฆาดังกระหึ่ม
เสียงฝีเท้าม้าและหอกกระทบโล่กระแทกกับหัวใจของทุกคนที่อยู่ในสนามรบ
การตัดสินของศึกใหญ่เริ่มต้นแล้ว

เสียงโห่ร้องและเสียงสนั่นของอาวุธยังคงก้องกังวานทั่วคอหอยเมฆา
แต่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย แผนการของเฟิงหมิงเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจน
แนวรบของหวางจื่อคุน แม้จะเก่งกล้าในการควบคุมทัพ แต่อยู่ในภูมิประเทศที่เขาไม่ถนัด
เขาไม่รู้เลยว่าแนวเขาลึกด้านซ้ายคือ “ช่องหลอก” ที่เฟิงหมิงวางไว้
ม่อฉีตะโกนข้ามสนามรบ:
“สั่งทัพที่ซ่อนในป่า! เข้าปิดท้ายทัพศัตรูในแนวช่องหลอกซ้าย!!”
ทหารกว่าเจ็ดร้อยนายซึ่งซ่อนอยู่ภายในแนวป่าลึก พุ่งออกมาราวปีศาจทะยาน
คบเพลิงถูกโยนเข้าหากองเกวียนของศัตรู
สะเก็ดไฟแตกระเบิดเสบียง
แสงเพลิงสะท้อนบนใบหน้าเหงื่อไหลของเหล่าทหาร
หวางจื่อคุนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงระเบิดตามหลังตนเอง
“พวกมัน…เผาเสบียงเรา?!”

ฉากสวนกลับกลางสนามรบ
เฟิงหมิงสบจังหวะ เหยียบม้าขึ้นเนิน
พลันตะโกนด้วยเสียงหนักแน่น
“ธงฟ้าสะบัดกลางเมฆา—ทัพข้าบุกทะลวงแนวกลาง!!”
“หลินหย่ง! ไป๋อวิ๋น! รวมกำลังบีบข้าง ล่อมันเข้าสู่ปล่อง!”
แผ่นหินตรงจุดตื้นของช่องเขาที่ถูกวางไว้ล่วงหน้า แท้จริงคือกับดัก
เมื่อทัพศัตรูถูกล่อเข้ามารวมในแนวกลางมากพอ—เสียงหวีดของแตรคำสั่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ตูมมม!!
แนวหินถล่มจากด้านบน ทับแนวกลางของศัตรู
ทั้งฝุ่น เศษหิน และเสียงร้องปะทะกันเป็นเสียงเดียว

ฉากกลยุทธ์ของหวางจื่อคุน
ทว่าหวางจื่อคุนหาใช่แม่ทัพธรรมดา
แม้จะถูกโจมตีด้านหลัง เสบียงถูกเผา และแนวกลางแตก
เขากลับยังรักษาสติได้แน่นิ่ง เขาส่งคำสั่งผ่านแม่ทัพรองคนสนิท
“ปล่อยธงลวงให้มันคิดว่าเราถอยเต็มกำลัง… แล้วจงอ้อมเขาทางตะวันตก!”
“ทัพซ่อนของข้ารออยู่ที่นั่น! ข้าจะตีด้านหลังเมืองตงหลินของมัน!”
การศึกนี้ ไม่ใช่เพียงการประลองพละกำลัง
แต่คือศึกแห่ง “เจตจำนงของผู้นำ”
และทั้งเฟิงหมิงกับหวางจื่อคุน ต่างก้าวข้ามพรมแดนของนักรบธรรมดาแล้ว

เมื่อเสียงฝนเริ่มโปรยปรายลงมากลางคอหอยเมฆา
เลือดผสมดิน แดงคล้ำทั่วทุ่ง
แต่ทั้งสองทัพยังไม่หยุด
เพราะผลของศึกครั้งนี้…จะชี้ชะตาแดนตะวันออกทั้งผืน

กลางคืนที่ไม่เงียบสงบ
สายฝนโปรยปรายคล้ายเป็นม่านพรางทุกอย่างจากแสงจันทร์
เฟิงหมิงนั่งอยู่ในกระโจมบัญชาการกลางแคมป์ชั่วคราว
เสื้อคลุมเปียกชื้นแต่ยังไม่เปลี่ยน
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยครุ่นคิด เขากำลังไล่เรียงตำแหน่งทัพศัตรูที่ยังเหลืออยู่
“หากข้าเป็นหวางจื่อคุน… ข้าจะไม่ถอยกลับ”
“แต่จะหาทางตัดหลังเมืองหลวงเราให้จม…”
เขาขีดเส้นลงบนแผนที่ — เส้นอ้อมผ่านแนวเขาตะวันตกเฉียงใต้ไปยัง เมืองตงหลิน
เมืองสำคัญที่เป็นเสมือน ‘หลังบ้าน’ ของแคว้นไป๋หลัน หากถูกยึดได้จะเท่ากับตัดเส้นเลือดหลักของการศึกทั้งหมด

กลยุทธ์พลิกกลับ
จินเสวี่ยและม่อฉีที่ยืนอยู่ใกล้กันต่างสบตา
จินเสวี่ย: “ถ้าเช่นนั้น… เราควรตั้งกับดักไว้ที่ตงหลิน?”
ม่อฉี: “ไม่—เราควรใช้ ‘กับดักซ้อนกับดัก’”
“ให้พวกมันคิดว่าเรากำลังป้องกันตงหลินเต็มกำลัง แต่จริง ๆ แล้ว…”
ม่อฉีหยิบแผนที่เสริมอีกผืน ขีดเส้นผ่านหุบเขาเล็กชื่อว่า ลั่วซาน
ซึ่งเป็นเส้นทางที่ดูไม่น่าสนใจ แต่มีกำแพงหินสูงล้อมรอบ และสามารถใช้ทหารจำนวนน้อยยับยั้งศัตรูได้เป็นร้อย
เฟิงหมิงพยักหน้า
“ส่งแม่ทัพไป๋อวิ๋นกับคนของเขาไปซุ่มที่ลั่วซาน”
“ใช้ธงลวงส่งไปที่ตงหลินให้มากที่สุด—ข้าจะล่อหวางจื่อคุนเอง”

ด้านกองทัพของหวางจื่อคุน
หวางจื่อคุนในยามค่ำคืนก็ยังไม่หยุดเดินกลยุทธ์
เขานั่งล้อมรอบกับกุนซือของแคว้นหลี่เจียนสองคน ได้แก่ กุนซือเว่ยอี้ และ กุนซือไป่ฮวา
เว่ยอี้: “ข้าตรวจพบธงจำนวนมากในเมืองตงหลิน ดูเหมือนพวกมันจะตั้งรับเต็มกำลัง”
ไป่ฮวา: “หากเราตีได้ที่นั่น แคว้นไป๋หลันจะขาดหลังทันที”
หวางจื่อคุนหัวเราะในลำคอ
“ข้ารู้ว่าเฟิงหมิงมันเฉียบแหลม แต่ข้า… ก็ไม่ใช่เพียงทหารเถื่อน”
“แบ่งทัพตีตรงที่ลั่วซานก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนทิศไปตงหลิน หากพวกมันมีทหารอยู่จริง จะเผยไต๋ให้เราดู!”

ศึกนี้… ไม่มีใครเดินเกมแบบตรง ๆ อีกต่อไป
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้ว่า…
ใครพลาด… คนนั้นพัง

เส้นทางคับแคบแห่งลั่วซาน
รุ่งเช้าหลังค่ำคืนอันฉ่ำฝน
กองทัพเล็กของแม่ทัพไป๋อวิ๋นเคลื่อนตัวอย่างเงียบงัน
ผ่านเส้นทางแคบคดเคี้ยวในหุบเขาลั่วซาน สถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายต่างประเมินกันว่า
“หากศัตรูบุกเข้าทางนี้—ก็จงถือว่าโชคร้าย”
ทว่าความโชคร้ายในศึกนี้ กลับอาจกลายเป็นโอกาส…
ไป๋อวิ๋นกวาดตามองไปรอบแนวผาหินสูง
ทหารเพียงไม่ถึงห้าร้อยที่เขานำมา
ถูกจัดให้อยู่ตามระดับความสูงต่าง ๆ พร้อมหน้าไม้ กระบองเหล็ก และถุงทรายถ่วงศัตรู
กับดักหินถูกเตรียมไว้เป็นชั้น
เส้นทางยาวเกือบหนึ่งลี้ถูกเปลี่ยนเป็น “ด่านปราการสายฟ้า”
ไป๋อวิ๋นเอ่ยเสียงเรียบ:
“ถ้าเจ้าศัตรูโง่บุกมา… ก็ให้มันฝังศพอยู่ที่นี่เถอะ”

ด้านหวางจื่อคุน
ขณะที่ทัพหน้าของแคว้นหลี่เจียนเริ่มเคลื่อนเข้าสู่แนวลั่วซาน
หวางจื่อคุนเดินตามหลังพร้อมพลรบกว่าห้าพัน
ธงสัญญาณที่สั่งให้ “อย่าประมาท” โบกสะบัดเบา ๆ
แต่ทหารบางนายกลับเริ่มเหนื่อยล้า
พื้นดินชื้นแฉะจากฝนเมื่อคืน
หินลื่น กิ่งไม้แหลม เสียงจิ้งหรีดเงียบงันราวบรรยากาศในสุสาน
แล้ว…
พรึ่บ!
ลูกธนูดอกยาวพุ่งลงมาจากฟากฟ้า
พร้อมเสียงคำรามจากแนวหินทั้งสองฝั่ง
“ซุ่มโจมตี! มันดักไว้แล้ว!”

ศึกในลั่วซานปะทุ
เพลิงระเบิดถูกโยนลงกลางแถวทัพ
เสาไฟฉายลุกโชนในหุบเขา
ทหารหลี่เจียนหลายร้อยแตกแนวพยายามหนีตาย
แต่เส้นทางแคบ ไม่มีที่หันหลังกลับ
แม่ทัพไป๋อวิ๋นลงมือเอง—กระโจนออกจากแนวซุ่ม
กระบองเหล็กของเขากระแทกเกราะศัตรูจนบุบ เสียงแตกของกระดูกดังกังวาน
“ข้าอยู่ที่นี่! ไป๋อวิ๋นแห่งไป๋หลัน!! ใครกล้าก็เข้ามา!!”
ทหารฝ่ายศัตรูโถมเข้าหา
แต่ไม่รู้เลยว่า ที่จุดปลายทางของลั่วซาน…

แผนพลิกกลับของเฟิงหมิง
เฟิงหมิงนำทัพหลักเคลื่อนออกจากแนวหลังกว่าเจ็ดพัน
ตีโอบล้อมแนวของหวางจื่อคุนที่ยังหลงเหลืออยู่ด้านนอกลั่วซาน
พลธนูชุดหนักสี่ชุดเข้าแนวระยะ พร้อมระดมยิงต่อเนื่อง
ระฆังทองส่งสัญญาณดังทั่วหุบเขา
เสียงกลองรบกระหน่ำทั้งผืนแผ่นดิน
เฟิงหมิงตะโกน:
“จงจำไว้! ศึกนี้มิใช่เพื่อข้า—แต่เพื่อปกป้องคนในแคว้นทั้งหมด!”
“จงสู้ด้วยศักดิ์ศรีของนักรบไป๋หลัน!!!”
เสียงโห่ร้องกึกก้องตามหลัง
แนวปะทะขยายจากปลายลั่วซานสู่ราบกว้าง
เป็นศึกเปิดที่ม้า ทวน ธนู และกลยุทธ์โอบวงล้อมเริ่มเผยผล

ในศึกแห่งคอหอยลั่วซานนี้
การต่อสู้ไม่ใช่เพียงแรง…
แต่คือปัญญา และการวัดใจระหว่างผู้นำทั้งสอง
เฟิงหมิง และ หวางจื่อคุน
กำลังตัดสินกันว่า ใครจะเป็น “ราชาแห่งการศึก” แห่งยุค

-่าธนูสังหาร
เสียงหวีดหวิวของลูกธนูจำนวนมหาศาลแหวกอากาศ
คลื่นธนูจากแนวที่มั่นของเฟิงหมิงพุ่งซัดใส่แนวทัพหลี่เจียน
เหมือนทะเลเพลิงดำที่ถาโถมเข้าหาเกลียวคลื่นสีขาวของเกราะทหาร
แนวหน้าเริ่มล้มตายเป็นแถบ
บางนายร้องโหยหวน บางนายทรุดลงก่อนเอ่ยเสียงสุดท้าย
และบางนายยังตะเกียกตะกายเพื่อยืนหยัดประจันหน้าแม้ไร้อาวุธ
เสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งของไป๋อวิ๋นดังกระหึ่มอยู่กลางหุบเขา
มือขวาเหวี่ยงกระบอง มือซ้ายถือโล่ไม้หนา
“เจ้าคิดว่าแค่จำนวนจะชนะได้หรือ?!”

หวางจื่อคุนลั่นกลยุทธ์โต้กลับ
แต่หวางจื่อคุนหาใช่แม่ทัพที่มีเพียงแรงและบารมี
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า จับจังหวะธนูที่หมดพลัง
ก่อนตะโกนสั่งกองรองพลกว่า
“นำปีกซ้ายโอบวก! ปีกขวารุกทะลวง! ให้ทัพกลางปะทะตรง ล่อมันให้ออกมา!!”
ธงสัญญาณเปลี่ยน
และในเวลาไม่ถึงชั่วลมหายใจ
ทัพหลี่เจียนกลับมารุกไล่ในแนวโค้ง
เหมือนปลากัดที่ว่ายเบี่ยงเพื่อจู่โจมเข้าตาเหยื่อ
เฟิงหมิงรู้ทันทันที
เขาสั่งแนวหอกและแนวโล่เข้าสกัดการโอบวง
เสียงหอกกระทบโล่ โล่กระแทกหน้าไม้ดังสนั่น

ขุนศึกผู้หนึ่งรุกเข้าแนวกลาง
ในห้วงกลางสนามรบ
ขุนศึกหนึ่งของเฟิงหมิงปรากฏตัว — เวิ่นหลง
ชายร่างสูง ผ้าคาดหน้าผากย้อมเลือด ร่างเปื้อนฝุ่น
ถือคทายาวสีดำ แทรกตัวเข้ากลางแนวของทัพหลี่เจียน
พร้อมทหารแค่ห้าสิบคน
เวิ่นหลงคือหนึ่งในขุนศึกห้าคนของเฟิงหมิง
เขามิใช่ผู้เก่งกล้าเรื่องบู๊สุดยอด
แต่คือ “หมาป่าฝูงเล็กที่กัดจุดเดียวแล้วไม่ปล่อย”
เขาเข้าโจมตีแนวจุดเชื่อมระหว่างปีกขวากับทัพกลางของหลี่เจียน
รุกทีละก้าว ซ้ำจุดเดิม เสียงทหารฝ่ายตรงข้ามร้องโหยหวน
“มันบ้า! ฆ่ามันทีละคน! อย่าให้เข้าใกล้!”
แต่เวิ่นหลงไม่ตอบ
เขาเพียงกัดฟัน กระแทกคทาเข้าสีข้างศัตรู
และผลักแนวให้แตกช้า ๆ

ด้านเฟิงหมิงลั่นศึกเข้าชิด
เมื่อเห็นช่องเปิดที่เวิ่นหลงก่อ
เฟิงหมิงไม่รอช้า—เขาสะกิดม้า วิ่งตัดแนวทัพ
มือหนึ่งถือธงบัญชา มือหนึ่งจับดาบทวนสองคมคู่ใจ
เสียงตะโกนของเขาสะท้อนผ่านหุบเขา
“ผู้ใดติดตามข้า จงลุยทะลวงแนวข้าศึก ณ บัดนี้!!!”
กองคาวบอยม้าบุกตามหลังแม่ทัพ
ธงมังกรฟ้าแห่งแคว้นไป๋หลันโบกสะบัดกลางสมรภูมิ
และกลายเป็นจุดหมายให้ทุกคนเร่งวิ่งตาม

จุดจบของแนวทัพลั่วซาน?
ทัพของหวางจื่อคุนเริ่มโอนเอน
แนวปีกถูกโจมตีโดยเวิ่นหลง แนวกลางปะทะกับเฟิงหมิง
ส่วนแนวหลังมีพลแม่นธนูของไป๋อวิ๋นคอยปิดทาง
แผนโอบกลับของหลี่เจียนกำลังจะกลายเป็นกับดักย้อนศร
ทหารหลายคนเริ่มตะโกนขอถอย
“แม่ทัพ! เราต้านไม่ไหวแล้ว!”
แต่หวางจื่อคุนกลับนิ่ง
เขาหลับตา สูดลมหายใจ
ก่อนตวัดมือพร้อมร่ายบัญชาใหม่…

กลยุทธ์ไม้ตายของหวางจื่อคุน
หวางจื่อคุนหลับตาเพียงชั่วลมหายใจ
แต่ในสมองกลับวาดแผนที่สนามรบอย่างเฉียบคม
เขาไม่ได้มองแค่ตรงหน้า
แต่คิดเผื่อถึงอีกห้าร้อยก้าวต่อจากนี้
ทันใดนั้น เขาตะโกนเสียงก้อง
“ปล่อย ‘โล่อำพัน’!”
เสียงคำสั่งนั้นทำให้ทหารหลายร้อยคนจากแนวหลังเคลื่อนพล
พวกเขาคือกอง ‘โล่อำพัน’ – ทหารหุ้มเกราะหนัก ถือโล่ขนาดใหญ่หนาเจ็ดชั้น
ฝึกมาเพื่อฝ่าระลอกธนูและล้อมศัตรูด้วยพละกำลังโดยเฉพาะ
เมื่อโล่อำพันเข้าสนามรบ
พวกเขาเคลื่อนตัวเป็นรูปครึ่งวงกลม
ปิดช่องโหว่ที่เวิ่นหลงเจาะทะลุไว้
พร้อมรุกกลับอย่างโหดเหี้ยมในแนวปีก
เฟิงหมิงเห็นเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่าศึกนี้ยังอีกยาว
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม หันไปตะโกนสั่งขุนศึกอีกคน
“ไป๋อวิ๋น ให้ยิงซ้ำด้วยลูกไฟ! เผาแนวไม้พวกมันซะ!!”

ไฟจริงในสนามรบ
ไป๋อวิ๋นหัวเราะ
“อย่างที่ข้ารออยู่แล้ว!”
เขาโบกมือให้พลยิงธนู
ก่อนจะโยนกระเปาะน้ำมันขึ้นฟ้า
เพียงอึดใจ ลูกไฟหลายร้อยลูกพุ่งลงกลางแนวโล่อำพัน
เสียงไหม้ เสียงระเบิดควัน เสียงโกลาหลของทหาร
ระเบิดอารมณ์สมรภูมิให้ลุกเป็นเปลว
แม้โล่อำพันจะเป็นทัพเหล็ก
แต่เมื่อเพลิงลุกทั่วสนาม
หลายคนเริ่มถอย หลายคนร้อง
และหลายคนล้มทั้งที่ยังหันหน้าเข้าหาศัตรู

การตัดสินใจของเฟิงหมิง
เฟิงหมิงมองเห็นแนวปีกที่เริ่มล้ม
เวิ่นหลงที่เริ่มชะงัก
และแนวกลางที่กำลังเผชิญไฟที่ตนเองจุดขึ้น
นี่คือโอกาส
หากรีรอ ทุกสิ่งจะพลิก
เขากระชับสายบังเหียน
ตะโกนสั่งขุนศึกคนที่สาม — จินจ้าว
“จินจ้าว นำทัพซ้ายบุกตัดหัวแนวไฟซะ!”
จินจ้าว เป็นขุนศึกผู้กล้า หน้าตาเคร่งขรึม
เก่งเรื่องการจู่โจมสายฟ้าแลบ
เมื่อได้คำสั่ง เขานำกองอาวุธยาววิ่งตัดเข้ากลางสนาม
เข้าทางที่ถูกเพลิงแผดเผาไว้

ศึกกลางเปลวเพลิง
เสียงกระทบของโล่ หอก ทวน ดาบ
เสียงเปลวไฟแตกระเบิดเมื่อต้องเกราะ
เสียงตะโกนสั่ง สลับกับเสียงหวีดร้องของผู้บาดเจ็บ
เฟิงหมิงนำหน้า กองทัพวิ่งไหลตาม
แนวหลี่เจียนเริ่มแตกอีกครั้ง
หวางจื่อคุนกัดฟันแน่น
รู้ว่าหากไม่เปลี่ยนทิศทันที จะโดนล้อมจากสามด้าน
“ตัดขวา! ถอยไปรวมกับแนวเขา! อย่าให้อ้อมหลัง!!”

จุดพลิกผันที่ยังไม่สิ้นสุด
แนวทัพหลี่เจียนเริ่มถอย
ทหารบางส่วนหลบเข้าแนวป่า
แต่เฟิงหมิงไม่ตามลึกเข้าไปทันที
เขากลับหยุดตรงจุดสูงสุดของสนามรบ
มองลงมาสู่เปลวเพลิงที่ยังลุกอยู่
“ให้ไฟล้างพื้นที่ให้หมดก่อน… จากนั้นเราจะตัดเสบียงพวกมัน และเผาป้อม”
ขุนศึกทุกคนรับคำ
เวิ่นหลง จินจ้าว ไป๋อวิ๋น
รวมทั้งแม่ทัพท้องถิ่นที่ส่งเสริมสนับสนุนต่างมารวมตัวกัน
แต่ก่อนที่เฟิงหมิงจะเอ่ยคำสั่งต่อไป—
ทหารลาดตระเวนคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมข่าวสำคัญ
“ท่านแม่ทัพ! ทัพจากแคว้นเยี่ยนจวิ้น กำลังเคลื่อนผ่านช่องเขาหมอก!! เราอาจถูกตีโอบอีกฝั่ง!”

ศึกสองแนวรุก
ท่ามกลางเปลวเพลิงและชัยชนะที่เหมือนอยู่ในกำมือ เสียงของทหารลาดตระเวนกลับกรีดแทงกลางสนามรบราวสายฟ้า
“ทัพจากแคว้นเยี่ยนจวิ้นกำลังเคลื่อนผ่านช่องเขาหมอก!”
เสียงนั้น ทำเอาขุนศึกทั้งห้าชะงักงัน
ไป๋อวิ๋นถึงกับสบถลั่น
“พวกมันคิดตีเราลับหลังในยามเรากำลังลุยศึกกับหลี่เจียน!”
จินจ้าวกำดาบแน่น ก้าวเข้ามาหาเฟิงหมิง
“ท่านแม่ทัพ หากปล่อยไว้ พวกเราจะถูกโอบหลังจากทั้งสองแคว้นในเวลาเดียวกัน!”
เฟิงหมิงขบกราม นัยน์ตาเป็นประกายแห่งการคำนวณ
เขาไม่เพียงต้องรักษาชัยชนะจากหลี่เจียน
แต่ต้องเตรียมพร้อมรับมือศึกใหม่นอกตำรา
“เยี่ยนจวิ้น…”
“พวกเจ้ามาตามแผนพอดี…”
เขาเอ่ยเบา ๆ แล้วหันไปทางเวิ่นหลง
“เจ้ากับแม่ทัพกงไห่ แยกกองทัพออกไปหนึ่งพันคน ตั้งค่ายรับหน้าช่องเขาหมอก”
“จินจ้าว ไป๋อวิ๋น—พวกเจ้าพร้อมขุนศึกท้องถิ่น จัดแนวค่ายใหม่ริมห้วยฉาน
สร้างกำแพงดินให้สูงขึ้นภายในสามวัน ห้ามให้ข้าศึกฝ่ามาได้!”

ย้อนแผนให้กลายเป็นกับดัก
กงไห่ขุนศึกจากชายแดนผู้เก่งกล้าในการตั้งรับ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ก็รับบัญชาอย่างไม่ลังเล
“ช่องเขาหมอกแคบพอสมควร ข้าจะทำให้มันกลายเป็นป่าศพศัตรู!”
เวิ่นหลงยิ้มอย่างแปลกใจ
“ท่านแม่ทัพรู้ได้อย่างไรว่าเยี่ยนจวิ้นจะมาที่นี่?”
เฟิงหมิงตอบเรียบ ๆ
“เพราะในคืนก่อนการศึก มีคนในเมืองหลวงแอบติดต่อข้ามภูเขา…
ข้าไม่ได้โง่พอจะไม่จับสัญญาณจากสายลับในแคว้นตนเอง”
สายลมยามบ่ายพัดหอบกลิ่นควันและกลิ่นเหงื่อ
เสียงกลองศึกค่อย ๆ สงบลง
แต่แรงกดดันกลับหนาหนักขึ้นเรื่อย ๆ

เป้าหมายของเยี่ยนจวิ้น
แคว้นเยี่ยนจวิ้นขึ้นชื่อด้านการเคลื่อนพลเร็ว
ทัพม้าและกองลอบจู่โจมคือจุดเด่น
และแม่ทัพใหญ่ของพวกเขา—เซวียนหรงไห่
คือยอดนักรบผู้ไม่เคยแพ้การตีโอบใด ๆ
เขากำลังนำกองทัพห้าพันเคลื่อนเข้าช่องเขา
โดยหวังว่าเฟิงหมิงจะตกใจและถอนทัพ
แต่…ไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาคิด
“เจ้าเฟิงหมิง…เจ้าจะเต้นตามแผนข้า หรือจะกลายเป็นเหยื่อในเงาเขา?”

การเผชิญหน้าที่กำลังจะเริ่ม
คืนนั้น กองลาดตระเวนของแคว้นหลี่เจียนที่หนีรอดออกจากสนามรบ
เริ่มแอบไปรวมพลกับทัพเยี่ยนจวิ้น
“ท่านเซวียนหรงไห่…พวกเราพ่ายให้เฟิงหมิง…แต่ถ้าเราร่วมกัน โอกาสชัยจะอยู่ตรงหน้า!”
ชายผู้นั้นมองผ่านม่านหมอก บีบหินในมือแน่น
“ศัตรูข้ายิ่งใหญ่เพียงใด…ยิ่งคู่ควรแก่การล้มล้าง”
ช่องเขา…เปลี่ยนเป็นกับดัก
แนวช่องเขาหมอกที่ทอดผ่านเทือกเขาตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นอู๋หมิง เดิมเป็นเพียงทางเดินของกองเกวียนและพ่อค้า แต่ในยามนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นแนวป้องกันดั่งป้อมปราการของเวิ่นหลงและกงไห่
แม้กองกำลังของพวกเขาจะมีเพียงพันเศษ แต่ด้วยภูมิประเทศที่บีบรัดและเส้นทางคดเคี้ยว
บวกกับภูเขาสูงชันทั้งสองข้าง—
นั่นก็เพียงพอให้พวกเขากลายเป็นหนามแหลมทิ่มแทงศัตรูที่หลงกล
“ตะเกียงน้ำมัน วางไว้ตรงนี้”
“แนวเชือกล่อไฟต้องไม่ให้ศัตรูมองเห็น!”
“ซ่อนบั้งไฟส่งสัญญาณไว้ใต้โขดหิน!”
เสียงคำสั่งของกงไห่ดังก้องตลอดทั้งแนว
เวิ่นหลงยืนประสานมือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง มองลงจากหอคอยชั่วคราวที่สร้างขึ้นบนหน้าผา
“ศึกนี้จะไม่ใช่การสู้ด้วยกำลัง แต่เป็นศึกที่ชนะด้วยหนึ่งสมองหนึ่งใจ…”
เขาพูดพลางหันไปทางพลธนูและนักธนูไฟที่กำลังจัดขบวน
“…ของแม่ทัพผู้รู้จักใช้สถานที่เป็นอาวุธ”

กองทัพเยี่ยนจวิ้น—เคลื่อนเข้าช่องเขา
แม่ทัพเซวียนหรงไห่ นำทัพห้าพันม้าเข้าสู่ช่องเขาอย่างแช่มช้า
กลุ่มม้าหน้าเป็นกองลาดตระเวนเร็ว
ถัดมาเป็นรถลำเลียงเสบียง และปิดท้ายด้วยทัพธนูและหอกยาว
เขาเชื่อมั่นว่า…
ไม่มีทางที่กองกำลังเพียงพันเดียวจะหยุดยั้งพวกเขาได้
“หากมันขวางหน้า…เราก็เหยียบมันเป็นปุ๋ยหญ้าไปเถอะ”
“เฟิงหมิง ข้าจะเผาศพเจ้าทิ้งตรงนี้แหละ!”
แต่แล้ว…
“ปัง!”
เสียงบางอย่างระเบิดเบา ๆ ใต้กีบม้า
พืชแห้งบริเวณกองหญ้าก็ลุกไหม้
เปลวไฟแพร่กระจายอย่างรวดเร็วโดยลมที่หอบมาจากช่องเขา
“กับดัก!!”
เสียงร้องเตือนของทหารเยี่ยนจวิ้นดังกึกก้อง
พริบตานั้นเอง—
“ฟ้าววววว!”
-่าธนูเพลิงนับร้อยสายพุ่งลงจากยอดเขา
ซัดใส่แนวทัพม้าด้านหน้าที่กำลังสับสน
ม้าศึกแตกกระเจิง
เสียงกรีดร้องดังก้องใต้เงาหุบเขา

แผนเผด็จศึก
เวิ่นหลงยิ้มเยือกเย็นจากยอดผา
ในมือนั้นถือ “พัดหนังเสือ” อันเลื่องชื่อของขุนพลชั้นสูงในอดีต
“สัญญาณต่อไป…”
มือของเขายกขึ้นช้า ๆ
ธงสีเงินปักบนยอดไม้ถูกพลิกหน้าลง
เป็นสัญญาณให้หน่วยซุ่มตีอีกฟากของภูเขาปล่อยหินขนาดใหญ่กลิ้งถล่มสกัดทาง
“โครมมมม!”
ทางออกจากช่องเขาถูกบดบังด้วยเศษหิน
รถลำเลียงของเยี่ยนจวิ้นที่อยู่กลางแนวถูกตัดขาดจากแนวหลัง
“กับดักสองชั้น…”
“ทางหน้าถูกเผา ทางหลังถูกปิดล้อม”

เซวียนหรงไห่เริ่มรู้ตัว
แม่ทัพเซวียนหรงไห่กัดฟันแน่น
ดวงตาที่คมกริบของเขาหลุบมองไปยังแนวสันเขาที่มีควันกรุ่นและธงสีแดงขาวปักอยู่
“มันวางกับดักไว้ราวกับรู้ล่วงหน้า…”
แต่แล้วเขาก็หรี่ตาลง
ราวกับนึกบางอย่างออก
“ไม่สิ…เฟิงหมิงเองก็รู้ว่าข้าจะมา”
“และเขาไม่ได้มาตั้งค่ายที่นี่ด้วยตนเอง…”
เขากำหมัดแน่น
สายลมที่พัดผ่านในยามบ่ายของช่องเขา
ไม่ได้พัดเพียงเปลวไฟ—
แต่พัดเอาความเย็นชาที่เรียกว่า “ความพ่ายแพ้” มาเคาะประตูหัวใจเขาด้วย

โอบล้อม—ศิลปะที่ไม่มีเสียง
ท่ามกลางควันไฟและกลิ่นเลือด กลยุทธ์ของเวิ่นหลงยังคงเดินหน้าอย่างเงียบงัน
ในขณะที่แม่ทัพฝ่ายศัตรูยังคงมัวจัดกระบวนทัพท่ามกลางหุบเขาอันปั่นป่วน
เวิ่นหลงได้ส่งหน่วยลอบเร้นเดินป่าอีกสองกลุ่มไปทางด้านตะวันตกและตะวันออกของแนวภูเขา
“ปล่อยเขาให้ติดกับ!
จุดไฟตัดขบวน
แล้วให้กลุ่มซุ่มตีโผล่เข้าโจมตีจากสองปีก!”

—คำสั่งของเวิ่นหลงไม่ดังนัก
แต่เฉียบขาดพอจะสะกดใจทหารได้มากกว่าร้อยคำปราศรัย

บุกแทรกจากเงามืด
ในขณะที่เซวียนหรงไห่พยายามจัดแนวป้องกันและชักทัพม้าหนีกลับ
หน่วยลอบเร้นของอู๋หมิงก็บุกแทรกเข้าแนวหลังในยามที่ทหารของเขาหันหลังให้
หนึ่งในหัวหน้าหน่วย คือ จ้าวซานหลง ขุนพลที่ขึ้นมาจากทหารยามในป้อมชายแดน
มือขวาถือดาบสั้น มือซ้ายควบม้าอย่างไม่เกรงกลัว
“สั่งถอยงั้นหรือ? ถอยไปก็มีแต่ตาย!”
“พวกเจ้าจะปล่อยพวกมันออกจากช่องเขาได้ยังไง!”

—เสียงตะโกนที่ดังจนกลบเสียงม้าเหยียบดิน
เขาไม่รอคำสั่ง
นำทหารลอบเร้นกลุ่มหนึ่งบุกทะลวงเข้าเสบียงศัตรู
จุดไฟเผาเสบียงและหีบธนูสำรองจนระเบิดเสียงสนั่น
“บึ้มมมม!”
เสียงระเบิดนั้นทำให้เซวียนหรงไห่เงยหน้าขึ้น
หัวใจของเขาเย็นเยียบ
“พวกมันตีโอบเราจริง ๆ…”
“นี่มิใช่การต่อสู้ธรรมดา
แต่คือการแสดงศิลปะของศึก!”

ยุทธการ ‘สุ้ม เสริม ซ้อน’
ขณะที่ไฟในกลางแนวทัพเยี่ยนจวิ้นยังคงลุกไหม้
และแนวทัพกำลังระส่ำระสาย
พลันธนูจากทั้งสองฟากภูเขาก็ระดมยิงลงมาอีกระลอก
“ยิง!”
—เสียงเวิ่นหลงตะโกนจากยอดเขา
ธนูไฟ ธนูแหลม
และธนูที่ผูกเชือกไว้ปล่อยหินกลมพุ่งเข้าแนวกลาง
เสียงโห่ร้องของทัพอู๋หมิงดังกึกก้องจากสันเขาเหนือ
“สุ้มยิงจากที่สูง”
“เสริมแนวซุ่มจากปีก”
“ซ้อนกำลังบุกจากหลัง”

—นี่คือกลยุทธ์สามชั้นที่เฟิงหมิงวางแผนร่วมกับเวิ่นหลงก่อนหน้านี้

เซวียนหรงไห่—คำสั่งสุดท้าย?
แม่ทัพเยี่ยนจวิ้นกัดฟัน
เลือดซิบจากหน้าผากที่โดนหินกระแทกเมื่อครู่
ทหารข้างกายทยอยล้ม
เสียงครวญของบาดเจ็บดังก้องปะปนกลิ่นคาวเลือด
“ถอยแนวหลัง…ให้เปิดช่องกลาง”
“รวบรวมทหารหอกเป็นแนวโอบกันล้อมซ้ำอีกที”

“ข้าจะตัดหัวแม่ทัพมันให้ได้ก่อนจะตาย!”
เขากระโจนขึ้นม้าศึกสีดำสนิท
ควบตรงเข้าแนวกลางอย่างไม่หวั่นเกรง
หมายมุ่งปะทะกับหัวหน้ากองของอู๋หมิงเพื่อเปิดทางหนี

การรุกกลับของจ้าวซานหลง
ทว่า จ้าวซานหลงที่ปะทะด้านหลังก็ไม่ใช่ขุนพลธรรมดา
เมื่อเห็นแม่ทัพศัตรูเคลื่อนม้าเข้าสู่แนวกลาง
เขาโบกมือให้พลธนูรออยู่บนหน้าผาฝั่งตะวันตกเตรียมยิงซ้ำ
ขณะที่ตนเองควบม้าบุกเข้าข้าง—
“เจ้าจะหนีหรือ?
ไม่ง่ายนักหรอกเซวียนหรงไห่!!”
เสียงตะโกนปะทะกับเสียงม้ารบที่ยังคงดังทั่วช่องเขา
ไม่มีใครรู้ว่า
ในอีกไม่กี่อึดใจนี้
แม่ทัพเยี่ยนจวิ้นจะฝ่าฟันออกมาได้หรือจมหายไปกับควันและไฟของแผ่นดินอู๋หมิง

แผนสังหารบนหน้าผา
บนยอดเขาเหนือลำห้วยเว่ยตง
พลธนูนับร้อยเตรียมธนูไฟไว้ในมือ
ทุกคนรอคำสั่งเพียงหนึ่งเดียวจากเวิ่นหลง
เขามิใช่เพียงแค่กุนซือผู้วางกล
แต่คือผู้นำแห่งการลอบสังหารเชิงยุทธศาสตร์
ด้วยสายตาอันเยือกเย็นและคำนวณทุกระยะจากตำแหน่งบนเขา
“ธนูไฟระยะสองร้อยก้าว — ยิงพร้อมกันเมื่อข้าชูมือขวา
เป้าหมายไม่ใช่ทหารธรรมดา
แต่เป็นแม่ทัพบนหลังม้าดำ—เซวียนหรงไห่!”
ธนูที่ผูกด้วยผ้าชุบน้ำมันสีแดงเข้มวาวแสง
ถูกดึงจนตึงจากมือของเหล่าพลยิง
แสงอาทิตย์ยามสายส่องกระทบปลายธนูราวเปลวเพลิง

เสี้ยววินาทีของความเป็นความตาย
เซวียนหรงไห่กำลังมุ่งหน้าทะลวงเข้ากลาง
ม้าดำของเขาหอบหายใจแรง
บาดแผลบนแขนขวาของเขาซึมเลือด
ดาบในมือซ้ายยังมั่นคง
“หนทางมีเพียงหนึ่งเดียว
ข้าต้องฝ่าฝัน—”
แต่ขณะที่เขากำลังเร่งควบให้เร็วยิ่งขึ้น
สายตาของเขาก็สบเข้ากับเงาบนยอดเขา
และวินาทีนั้นเอง
มือขวาของเวิ่นหลงค่อย ๆ ยกขึ้นเหนือศีรษะ
“ยิง!!”

ฝนเพลิงตกจากฟากฟ้า
เสียงของเชือกธนูสะบัดกึกก้องไปทั่วขุนเขา
ลูกธนูไฟนับร้อยพุ่งออกจากยอดเขา
ทิศทางและระยะที่วางไว้แม่นยำราวกับประสานฟ้า
“ฟู่ว์—”
“วูบบบบ!”

—เสียงลมหอบเปลวเพลิงพุ่งล่วงลงดั่ง-่าฝนจากนรก
ทหารรอบข้างเซวียนหรงไห่ร้องเสียงหลง
บางคนพยายามบังเขาด้วยโล่
บางคนตะโกนให้เขาถอยกลับ
แต่เขากลับไม่ขยับ
เพราะรู้ว่าไม่มีทางพ้น
“อ๋องเยี่ยนจวิ้น…ข้า…ล้มเหลวแล้ว…”
เสียงเพียงเบาแต่แน่นหนัก
ร่างของเขาล้มลงพร้อมเปลวเพลิงที่ตกกระทบร่าง
ธงแม่ทัพสีดำถูกไฟเผาจนหายไปกับสายลม

ศึกแห่งช่องเขาสิ้นสุด
เพียงครู่เดียว
แนวทัพของเยี่ยนจวิ้นเริ่มล่าถอยแตกกระจาย
ทหารบางส่วนถูกจับเป็นเชลย
ส่วนใหญ่โยนอาวุธทิ้งแล้ววิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว
เฟิงหมิงควบม้าลงมาจากแนวสูง
พร้อมทหารม้าเคลื่อนเข้าสู่กลางช่องเขา
เขามองดูธงของแคว้นศัตรูที่ร่วงลง
และประกาศเสียงก้อง
“ศึกช่องเขาเว่ยตงจบลงแล้ว!”

“ต่อจากนี้…คือการบุกกลับ!”

เงาเบื้องหลังชัยชนะ
แต่ในขณะทหารเฮโลด้วยเสียงโห่ร้องแห่งชัย
เวิ่นหลงกลับมองไปยังเส้นขอบฟ้า
และพูดกับตัวเองเบา ๆ
“ความเงียบสงบหลังศึก—มักเป็นเงาของพายุอีกลูกเสมอ…”








ตอนต่อไป
ตอนที่ 52 (ภาค 2): แผ่นดินที่ย...

นิยายแนะนำ

นิยายแนะนำ

ความคิดเห็น

COMMENT

ปักหมุด

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited( Kawebook.com )

Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )
ที่อยู่ : 20 หมู่ที่ 6 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 74000
เวลาทำการ : 08 : 00 - 18 : 00 จันทร์ - เสาร์
e-mail : contact@kawebook.com

DMCA.com Protection Status

เริ่มต้นเผยแพร่ผลงาน

เริ่มต้นเป็นนักเขียนออนไลน์ เขียนเรื่องราวที่ประทับใจ สร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และแบ่งปันประสบการ์ดีๆ กับผู้คนทั่วโลก kawebook.com เป็นโอกาส เป็นสื่อกลาง และยังเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการสร้างรายได้ให้กับนักเขียนมืออาชีพ และนักเขียนมือสมัครเล่นจากทุกมุมโลก เพียงสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์เพื่อเขียนหนังสือ การ์ตูน หรืออัพโหลดอนิเมชั่น ที่เป็นผลงานของท่าน และเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา