เรื่อง สายลมไม่สิ้นชื่อข้า(名隨風在)

ติดตาม
ตอนที่ 53 (ภาค 2): คำมั่นในเงาเลือด
ตอนที่ 53 (ภาค 2): คำมั่นในเงาเลือด
  • ปรับสีและขนาดตัวอักษร

ตอนที่ 53 (ภาค 2): คำมั่นในเงาเลือด


แสงเช้าสาดกระทบยอดเขาหยกน้ำเงิน ค่ายทัพของแคว้นเจิ้งหลานทอดยาวกลางหุบเขาซีเฉินซึ่งกลายเป็นสุสานของศัตรู ทหารยังคงเก็บกวาดศพและซ่อมแซมแนวค่าย ขณะที่เสียงสั่งการยังดังกังวานไปทั่วบริเวณ

เฟิงหมิงยืนสงบอยู่หน้าแผนที่สงคราม ดวงตาจับจ้องจุดแดงที่ถูกปักไว้ตรงชื่อ “แคว้นไป่เยว่” สีหน้าของแม่ทัพหนุ่มนิ่งงัน แต่ในใจราวพายุหมุน

“หากแคว้นไป่เยว่คิดชักใยอยู่เบื้องหลังศึกนี้… พวกมันต้องไม่หยุดแค่เยี่ยนจวิ้นแน่”
หลินเฉิงกล่าวอย่างแน่นิ่ง

“หรือว่าเรากำลังตกอยู่ในเงาเกมที่ใหญ่กว่าที่คิด”
เซี่ยจื่อหมิง หนึ่งในกุนซืออีกคน พึมพำพลางยกแผนที่ที่มีรอยขีดโยงแคว้นต่าง ๆ เชื่อมต่อกัน



คุกเงาของเชลยศึก

ในคุกใต้ดินชั่วคราว หลางจุนถูกล่ามไว้แน่น
แม้จะบาดเจ็บหนัก เขายังมีแววตาที่ไม่ยอมจำนน

เฟิงหมิงเดินเข้ามาพร้อมกับกุนซือทั้งสาม

“ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย บอกมาเถอะว่าใครอยู่เบื้องหลัง และแคว้นใดกำลังจะเคลื่อนไหวอีก”

หลางจุนยิ้มเยาะ

“เจ้ากำลังเล่นอยู่ในกระดานของคนอื่น… พวกเจ้าทุกคน… ข้าเพียงเป็นหมากตัวหนึ่ง”

“หมายความว่าอย่างไร?”
เฟิงหมิงถามกลับ น้ำเสียงเข้ม

“แม้แคว้นเจิ้งหลานของเจ้าจะมีพลัง แต่พวกเจ้าจะไม่มีวันชนะ ‘ศึกที่มองไม่เห็น’…”
สิ้นคำ เขาหลับตาลง ปล่อยให้ความเงียบคืบคลาน



การตัดสินใจและคำมั่น

เฟิงหมิงออกจากคุก ใบหน้านิ่งเฉียบยิ่งกว่าเดิม
เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้าทางเหนือ — ทิศของแคว้นไป่เยว่

“หากแคว้นไป่เยว่เริ่มเกมนี้… ข้าจะไปเยือนมันด้วยตัวเอง”

หลินเฉิงหันมามอง

“ท่านจะทิ้งแนวชายแดนหรือ?”

“ข้าไม่ทิ้ง… แต่จะส่งขุนพลทั้งห้าออกไปควบคุมแนวป้องกันแทน ข้าจะพากุนซือสองคนไปด้วย
ขอเพียงเวลาสามเดือน ข้าจะกลับมาพร้อมคำตอบ”


พันธสัญญาใต้ผืนฟ้า

ค่ำวันนั้น ทั้งกองบัญชาการใหญ่เงียบสงัด
เฟิงหมิงเรียกขุนพลทั้งห้าขึ้นมาพบในกระโจมใหญ่
แสงเทียนสั่นไหว เงาทุกคนทอดตัวลงบนแผนที่ตรงหน้า

“ข้าจะออกเดินทางคืนนี้”

ทุกคนเงียบงัน ก่อนเสียงของไป่หลงโห่จื่อดังขึ้น

“ท่านแม่ทัพ… ศึกเพิ่งสิ้น ท่านจะไปโดยไม่มีคำสั่งหรือ?”

เฟิงหมิงวางฝ่ามือบนโต๊ะ

“นี่ไม่ใช่คำสั่งจากอ๋อง แต่เป็นพันธสัญญาของข้าในฐานะขุนศึกแห่งเจิ้งหลาน หากใครเล่นสงครามโดยไร้ศักดิ์ศรี ข้าจะทำให้พวกเขาชดใช้…
และข้าไม่อาจนั่งรออยู่เฉย ๆ ในยามที่เงาแห่งความพินาศคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง”

ไป่หลงโห่จื่อมองสบตาเขา ก่อนคุกเข่าลง

“หากท่านไม่กลับมาภายในสามเดือน ข้าจะยกทัพเข้าตามท่านเอง ไม่ว่าสงครามจะปะทุถึงระดับใด”

ขุนศึกทั้งห้าคุกเข่าพร้อมกัน
ทหารเวรยามหน้าค่ายต่างก้มหน้าจนพื้นดินสะเทือน



เงาสายลมเคลื่อนทัพ

เฟิงหมิงออกเดินทางโดยมีกุนซือสองคนคือ เซี่ยจื่อหมิง และกู้หรงอวี้ ติดตามไป
หลินเฉิงถูกสั่งให้ประจำอยู่แนวค่าย ร่วมกับไป่หลงโห่จื่อและขุนศึกคนอื่น ๆ

สามเงาเคลื่อนผ่านภูเขาซีเฉิน ทิ้งร่องรอยไว้เพียงแผ่นดินเย็นเยียบและกลิ่นเลือดที่ยังไม่จาง



อาณาเขตเงา – ป่าไป่ซาน

ค่ำวันถัดมา พวกเขาเดินทางถึงป่าไป่ซาน
อาณาเขตชายแดนแคว้นไป่เยว่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความลึกลับและการซุ่มโจมตี

เสียงกระซิบของลมป่าแทบกลืนทุกเสียง ฝีเท้าม้าหนักหน่วงแต่ระวัง
ทันใดนั้น ธนูสามดอกพุ่งเฉียดหน้าเฟิงหมิง

“ซุ่มโจมตี!”

เซี่ยจื่อหมิงชักดาบ ยืนระวังหลังเฟิงหมิง
ทว่าผู้ปรากฏตัวกลับไม่ใช่ศัตรู

“หยุดก่อน!”
เสียงหญิงสาวดังขึ้น ก่อนกลุ่มผู้สวมผ้าคลุมสีดำจำนวนสิบคนจะก้าวออกจากเงาไม้



ผู้เฝ้าเงาและร่องรอยเบื้องหลัง

หญิงสาวที่นำหน้ากลุ่มคนกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็น

“เจ้าเป็นขุนศึกเจิ้งหลานใช่หรือไม่? ผู้ที่เคยเป็นเชลยศึกแห่งแคว้นไป่เยว่เมื่อสิบปีก่อน”

เฟิงหมิงชะงัก

“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร?”

นางตอบสั้น ๆ

“เพราะข้าคือบุตรสาวของคนที่ช่วยเจ้าไว้… และตอนนี้ข้าเองก็ตกอยู่ในเงาเกมเดียวกันกับเจ้า”


ชื่อของหญิงลึกลับ

ใต้แสงจันทร์สลัวกลางป่าไป่ซาน หญิงสาวคลายผ้าคลุมศีรษะออก เผยใบหน้าคมคายดุจสลักด้วยพู่กันหมึกจีน ริมฝีปากบางเฉียบ ตาจดจ้องเฟิงหมิงไม่กะพริบ

“ข้าชื่อไป๋ฮวา”
“มารดาของข้าคือไป๋เหม่ย… คนที่เคยช่วยชีวิตเจ้าเมื่อวัยเยาว์”

เฟิงหมิงรู้สึกบางอย่างในอกสั่นไหว ภาพในคืนฝนตกเมื่อสิบปีก่อนพลันย้อนกลับมา
เสียงครางแผ่วของหญิงผู้หนึ่งที่บาดเจ็บหนักแต่ยังฝืนใจอุ้มเด็กชายหลบออกจากแนวศึก

“ข้าคิดว่านางตายไปแล้ว…”

ไป๋ฮวายืนนิ่งก่อนตอบเรียบ

“แม่ตาย… แต่คำสัญญานั้นยังอยู่—คำสัญญาว่าข้าจะไม่ยอมให้แคว้นนี้กลืนคนดีลงไปในกองเพลิงอีก”

เธอยื่นม้วนหนังสือบางให้เฟิงหมิง

“ในนี้คือรายนามของคนที่ลอบวางแผนปลุกปั่นศึกระหว่างเจิ้งหลานและไป่เยว่ ข้าไม่รู้ว่าความลับนี้จะพาเจ้าไปถึงไหน แต่หากเจ้าเชื่อว่าศึกครั้งนี้มิใช่เพียงเรื่องของดาบและโล่… จงอ่านมัน”



เบื้องหลังศึก — เงามืดของขุนอำนาจ

ภายในม้วนหนังสือ รายชื่อหลายสิบคนปรากฏชัด—ทั้งขุนนางของแคว้นเยี่ยนจวิ้น แคว้นไป่เยว่ และแม้แต่เจ้าหน้าที่บางส่วนในราชสำนักเจิ้งหลาน
ชื่อหนึ่งทำให้เฟิงหมิงมือสั่น — “เหอชิงเจา” ขุนนางอาวุโสผู้ใกล้ชิดอ๋องของตนเอง

“เป็นไปไม่ได้… เขาคือคนที่สนับสนุนข้าในช่วงเริ่มต้นแท้ ๆ…”

กู้หรงอวี้หยิบรายชื่อขึ้นพลิกไปพลิกมา ก่อนกล่าวเบา ๆ

“ในยุทธจักร แม้แต่คนที่ให้ดาบเรา… ก็อาจจะเป็นคนที่ลับมันไว้เพื่อแทงหลังในวันหนึ่ง”



พันธมิตรเงา — เงื่อนไขของไป๋ฮวา

ไป๋ฮวาไม่พูดพร่ำ

“ข้าจะช่วยเจ้า ข้ารู้เส้นทางลับของชายแดนไป่เยว่ และข้ารู้ว่าใครกำลังซื้อเวลาเพื่อให้แคว้นเยี่ยนจวิ้นยกทัพมาซ้ำ”

“แต่ข้าต้องการอย่างหนึ่ง—เมื่อเจ้าขึ้นเป็นแม่ทัพแห่งเจิ้งหลาน…
เจ้าต้องสาบานว่า จะไม่หันคมดาบใส่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ของไป่เย่ว”

เฟิงหมิงนิ่งไปนานก่อนพยักหน้า

“ข้าสาบานด้วยชื่อของข้า—เฟิงหมิง บุตรชาวนาแห่งหมู่บ้านจินฮวา ผู้ไม่เคยลืมสายลมที่พัดพาเขากลับบ้าน”


ข่าวจากแนวหน้า

รุ่งเช้า หลังจากการสนทนากับไป๋ฮวา เฟิงหมิงกลับมาถึงค่ายใหญ่ ณ ชายแดนด้านตะวันตกของแคว้นเจิ้งหลาน พร้อมรายงานจากแม่ทัพรอง

“ท่านแม่ทัพ! แคว้นเยี่ยนจวิ้นส่งทัพย่อยขนาดหนึ่งหมื่นเข้าลอบโจมตีแนวหลังของเรา บุกผ่านช่องเขาหลงชาน!”
“กำลังเสริมของเราจากทางใต้ยังไม่มาถึง!”

เสียงระฆังเตือนภัยดังลั่น กลองศึกเริ่มโหมหนัก การสั่งการอย่างฉับไวเริ่มขึ้น

เฟิงหมิงหยิบพู่กันปักหมุดบนแผนที่ “แบ่งทัพที่สองไปตรึงแนวตะวันตกเฉียงเหนือ กองทัพหลักคงไว้ในกลางตำแหน่ง ข้าจะนำกองคุ้มกันเคลื่อนไปทางช่องเขา!”



สายลมแรกของศึก

เสียงม้าเหยาะบนแนวหญ้าแห้ง
ดาบในมือเฟิงหมิงเย็นเฉียบดุจน้ำค้างยามเช้า
เคียงข้างคือเหล่าขุนพลคู่ใจทั้งห้า รวมถึงไป๋ฮวา ที่ควบม้าในชุดหนังดำผูกผ้าแดงไว้กับแขนขวา—สัญญาณของคนที่ ‘ไร้สังกัด’ แต่ยืนข้างธรรม

พวกเขาบุกเข้าแนวรบแรกบริเวณช่องเขาหลงชาน
ทัพเยี่ยนจวิ้นดาหน้าเข้ามาราวพายุหมอก
ธงสีน้ำเงินและสีแดงตีกันจนแทบมองไม่เห็นฟากฟ้า

เสียงเหล็กกระทบดังกึกก้อง
หอกยาวของ “ฮวาเหวินจิ้ง” หนึ่งในขุนพลของเฟิงหมิง ปักทะลุชายคนหนึ่งก่อนหมุนร่างกลับอย่างแม่นยำ

“แม่ทัพ! ทางซ้ายเริ่มถอย!”
เสียงกู้หรงอวี้ตะโกนจากแนวหลัง



ยุทธวิธีชิงพลิก

เฟิงหมิงตะโกนสวน

“ถอนแถวหน้า! ลวงมันเข้ามาในหุบเขา แล้วบีบสองด้าน!”

เป็นยุทธวิธี “หุบเขากระชับ” — ยุทธศาสตร์เก่าที่เรียนมาตั้งแต่ฝึกในหน่วยเด็ก

ขุนพลทั้งห้าเริ่มเคลื่อนตามคำสั่ง เศษดินและหญ้าแห้งปลิวว่อนขณะพลิกกระบวนทัพ
การถอยกลับกลายเป็นกับดักอันร้ายกาจ
เมื่อศัตรูตามเข้ามาถึงกลางหุบเขา กลับถูกล้อมจากทั้งซ้ายและขวาโดยทหารซุ่มของเจิ้งหลาน

เสียงคำรามของทหารนับร้อยดังกระหึ่ม

“เจิ้งหลานไม่ลืมเลือดบรรพบุรุษ!”



กลิ่นเลือดในคำมั่น

กลางเสียงโกลาหล ไป๋ฮวาแทงมีดสั้นใส่ทหารของเยี่ยนจวิ้นอย่างแม่นยำ มือเธอมีรอยเลือดเปื้อนเต็ม ฝ่ามือสั่นเล็กน้อยแต่ดวงตาไม่หวั่น

เฟิงหมิงหันมองเธอชั่วครู่

“เจ้าไม่ใช่เพียงคนส่งข่าวอีกต่อไป”

เธอตอบเสียงเรียบ

“ข้าไม่ใช่คนของใครทั้งนั้น ข้าเพียงสู้เพื่อให้เลือดแม่ข้าไม่สูญเปล่า”


แผนสองชั้นของศัตรู

ขณะแนวรบในหุบเขาหลงชานกำลังได้เปรียบ เสียงม้าเร่งจากทางตะวันออกพลันดังขึ้นอย่างไม่คาดคิด
ทหารแนวสอดแนมกลับมาพร้อมข่าวร้าย:

“แม่ทัพ! ทัพที่บุกช่องเขา… เป็นเพียงกำลังลวง! กองหลักของเยี่ยนจวิ้นกำลังเข้าทางตะวันออกเฉียงใต้—มุ่งตรงสู่คลังเสบียงเรา!”

เฟิงหมิงสีหน้าเปลี่ยนทันที ดวงตาคมดั่งดาบส่องไปยังแผนที่
เขาพึมพำเบา ๆ

“มันไม่ได้หมายตาพิชิตศึก… แต่มุ่งทำลายกำลังของเรายาวนาน”

เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วสั่งเสียงดัง

“ซ่งเหลียน! นำกองทัพที่สองเคลื่อนไปป้องกันคลังโดยเร็วที่สุด อย่าให้มันแตะต้องเสบียงแม้แต่ถุงเดียว!”



การตัดสินใจกลางไฟสงคราม

ซ่งเหลียน ขุนศึกที่นิ่งเงียบและสุขุมที่สุดในบรรดาห้าขุนพล พยักหน้ารับโดยไม่กล่าวอะไร
เขาควบม้าออกไปพร้อมทหารห้าร้อยในพริบตา
ขณะเดียวกัน เฟิงหมิงหันไปยังกุนซือทั้งสามของตน:
• กุนซือจี้ซาน ผู้เคร่งครัดในกลยุทธ์แบบโบราณ
• กุนซือหลินอวี้ ผู้ชำนาญข้อมูลและข่าวกรอง
• กุนซือฉูหย่ง ผู้เยือกเย็นและมองการณ์ไกล

“ข้าอยากรู้… แคว้นเยี่ยนจวิ้นเดินหมากนี้เพียงเพื่อถ่วงเวลา? หรือมันมีหมากที่ซ่อนอยู่อีก?”

จี้ซานตอบทันที

“ศัตรูมีหมากรองอีกแน่ ข้าเห็นสัญญาณในรูปขบวนของพวกมัน ข้างหน้าล่อ ข้างหลังย้อมเลือด”

หลินอวี้เสริม

“ในเวลานี้ เมืองชายแดนของเราจะอ่อนกำลัง หากเกิดการก่อการในเมืองหลวงหรือกองเสบียงล่ม เราจะกลายเป็นคนถือดาบไร้ปลอกทันที”

เฟิงหมิงจ้องกระดานไม้ตรงหน้า ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ

“เช่นนั้น… ข้าจะกลับไปเสริมกองกลางเอง ปล่อยแนวตะวันตกให้พวกเจ้าดูแล”



คำมั่นของใจ

ก่อนเขาควบม้าออกไป ไป๋ฮวาเข้ามาขวางหน้า

“ท่านแม่ทัพ ข้าจะไปกับท่าน”

เฟิงหมิงหันไปสบตา

“เจ้าไม่จำเป็นต้องฝ่าศึกเพื่อคำสัญญาของข้า”

ไป๋ฮวาส่ายหน้า

“ข้าไม่เชื่อคำสัญญา ข้าเชื่อใจท่าน… และไม่เคยลืมว่าท่านช่วยข้าไว้ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล”

เฟิงหมิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเรียบ ๆ

“เช่นนั้น… ไปตายด้วยกัน ถ้ามันถึงวันนั้นจริง ๆ”

ทั้งสองม้าเคียงม้า
เบื้องหลังคือเสียงสงครามที่ยังไม่จบ
เบื้องหน้าคือเงาลางของการทรยศที่เริ่มเคลื่อนไหวจากภายในแคว้น


ควันดำจากทิศใต้

ฟากฟ้าทางตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยโปร่งโล่งกลับกลายเป็นสีหม่น ท่ามกลางความอึมครึมของเมฆฝน กลุ่มควันสีดำค่อย ๆ ลอยกรุ่นขึ้นเหนือเส้นขอบเนินเขา

ทหารสอดแนมขี่ม้ากลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“แม่ทัพ! ศัตรูเผาทุ่งล้อมคลังเสบียงแล้ว พวกมันไม่ต้องการเสบียง—พวกมันต้องการให้เราตายช้า ๆ!”

เฟิงหมิงที่เพิ่งมาถึงจุดสังเกตการณ์กำหมัดแน่น

“มันไม่ได้ต้องการชัยชนะในสนามรบ… มันต้องการให้เราตายก่อนถึงสนามรบด้วยซ้ำ”

เขาหันไปยังซ่งเหลียนที่ยังยืนนิ่งราวกับแท่นหิน

“ยังเหลือเสบียงที่ไม่ได้เผาอีกเท่าไร?”

“ราวหนึ่งในสาม” ซ่งเหลียนตอบ “แต่ล้อมไว้หมดแล้ว”



ศัตรูในเงา

ขณะที่ทั้งสองกำลังประชุมกันในกระโจมกองบัญชา เสียงเท้าทหารดังขึ้นนอกเต็นท์
กุนซือหลินอวี้รีบเข้ามาพร้อมข่าวฉุกเฉิน

“มีคนภายในแคว้นเรา… ปล่อยข้อมูลตำแหน่งคลังเสบียงให้กับแคว้นเยี่ยนจวิ้น!”

เสียงในเต็นท์เงียบงัน

“เจ้าแน่ใจหรือ?” เฟิงหมิงถามเสียงเย็น

“แน่ใจ” หลินอวี้ยื่นม้วนสารลับที่ถูกดักได้ระหว่างทาง “ตราประทับขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงยังอยู่ครบถ้วน”



ชื่อที่ไม่มีใครคาด

เฟิงหมิงเปิดม้วนสาร พลันชะงักเมื่ออ่านรายชื่อผู้ส่ง:

“ขุนนางหลี่ซิ่น”
หนึ่งในขุนนางเก่าแก่ที่คอยสนับสนุนแคว้นเจิ้งหลานมาตลอด

“ข้าไม่อยากเชื่อ…”

“แต่มันคือความจริง” หลินอวี้กล่าว “และมันจะไม่จบเพียงเท่านี้”



คำสั่งที่หนักหนา

หลังจากเงียบไปพักใหญ่ เฟิงหมิงก็กล่าวกับซ่งเหลียน

“จงทิ้งคลังเสบียง… แล้วถอนกำลังออกมาสามส่วน”

ซ่งเหลียนเงยหน้าขึ้น

“แล้วอีกสองส่วนล่ะ?”

“ข้าจะนำไปล่อศัตรู ให้พวกมันไล่ตาม… ก่อนพาเข้าสู่กับดักทางหุบเหยียนหลง”
“ที่นั่น ข้าจะให้เลือดของพวกมันหยุดเพลิงเผาเสบียงของเรา!”


เส้นทางสู่เหยียนหลง

หุบเหยียนหลงเป็นเส้นทางแคบทอดยาวคดเคี้ยวระหว่างเขาหินสูงชัน สองฟากมีหน้าผา ทหารในกองบัญชารู้กันดีว่าหากเกิดศึกในหุบนี้ จะไม่มีทางถอยเว้นแต่จะฝ่าฟันไปจนสุดทาง

กองทัพส่วนหนึ่งของเฟิงหมิงนำโดยเขาเอง เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากฐาน ตั้งเป้าเคลื่อนไปทางทิศใต้
จุดประสงค์คือ ล่อศัตรู

“ให้พวกมันคิดว่าเราอ่อนแอ” เฟิงหมิงกล่าวกับโจวเหวิน หนึ่งในขุนศึกผู้ชำนาญเส้นทาง “จงวิ่งให้เร็วพอ… แต่ช้าเกินกว่าที่จะพ้นเงามันไป”



ดักรอในเงา

ในอีกฟากของภูเขา ซ่งเหลียนและหลินอวี้ได้เคลื่อนกำลังพลจำนวนมากไปตั้งรับในหุบเหยียนหลง บางส่วนแฝงตัวในพงไม้ บางส่วนอยู่บนเชิงเขาเตรียมเข่นฆ่าศัตรูที่หลงกล

“ที่นี่แคบพอให้ใช้พลน้อยสยบพลมาก” หลินอวี้กระซิบ

“ขอเพียงมันโลภไล่ตามทัพท่านแม่ทัพ เฟิงหมิง…” ซ่งเหลียนมองลงเบื้องล่าง “…ข้าจะเผาพวกมันให้มอดไหม้ไปกับเงาเขา!”



สายลมเปลี่ยนใจศัตรู

แม่ทัพ เซวียนหรงไห่ แห่งแคว้นเยี่ยนจวิ้นยิ้มเย็นเมื่อเห็นธงของเฟิงหมิงที่กำลังล่าถอย

“มันหนีแล้วจริง ๆ” เขาเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะหันไปตะโกน

“ไล่ตาม! ให้เร็วที่สุด! มันหนีเพราะรู้ตัวว่าไม่อาจต้านเรา!”

เสียงกลองศึกกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง
กองทัพเยี่ยนจวิ้นเคลื่อนไปตามหลังขบวนของเฟิงหมิง—ตรงเข้าสู่หุบเหยียนหลง



กับดักของสายลม

พอเข้าสู่หุบเขาได้เกือบครึ่ง เสียงหวีดของเขาสัตว์ก็พลันดังขึ้นจากยอดเขาทั้งสองข้าง
ตามมาด้วยลูกธนูหลายพันดอกที่ตกจากฟากฟ้า
ก่อนเสียงโห่ร้องของทหารแคว้นเจิ้งหลานจะตามมาอย่างพร้อมเพรียง

“ปล่อย! จุดเพลิง!”
“อย่าให้พวกมันตั้งตัวได้!”

ซ่งเหลียนสั่งการอย่างเยือกเย็น
หลินอวี้นำกลุ่มทหารระยะใกล้พุ่งจากแนวไม้ เข้าโจมตีตรงกลางกองศัตรูในขณะศัตรูยังติดค้างในทางแคบ
เสียงร้องระงมด้วยความตื่นตระหนก



เหยื่อที่หันกลับไม่ได้

เซวียนหรงไห่ที่อยู่กลางกอง รีบสั่งถอย แต่ก็พบว่าด้านหลังกองของตนถูกปิดทางแล้วโดยอีกหน่วยหนึ่งของเฟิงหมิงที่ย้อนกลับมาปิดท้าย

“มันหลอกข้า…” เขากัดฟันกรอด “นี่ไม่ใช่ทัพถอย…แต่มันเป็นการล่อข้าเข้ามาอย่างแท้จริง!”

ไฟลุกโชนขึ้นรอบทางทั้งสองข้าง
ลูกธนูยังโปรยปรายไม่หยุด—เปลวเพลิงสะท้อนใบดาบกลายเป็นสีแดงฉาน



เสียงแห่งคำมั่น

ที่ปลายหุบเหยียนหลง เฟิงหมิงยืนอยู่บนเนิน
มองการศึกเบื้องล่างอย่างเยือกเย็น ราวกับไม่หวั่นเกรงความตาย
เขาพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง

“ตราบใดที่พวกเขายังมีข้า… พวกเขาจะไม่ตายไปเปล่า ๆ”
“ข้าสัญญาไว้… แม้ต้องจมดาบลงในเงาเลือด ข้าก็จะพากลับแผ่นดินนี้ให้สงบ”


พายุแห่งเลือด

เสียงคำรามของเพลิงลุกโชนกลืนกินอากาศเบื้องล่าง
ควันดำพวยพุ่งลอยขึ้นปกคลุมหุบเหยียนหลงราวกับม่านมรณะ

กองทัพเยี่ยนจวิ้นจำนวนกว่าหนึ่งหมื่นนายติดอยู่ภายในกับดัก
ทางเข้าและทางออกถูกปิด
ซ้าย-ขวาเป็นหน้าผา
ด้านบนคือฝนธนู
ด้านล่างคือไฟนรก

ทหารจำนวนมากพยายามฝ่าฝันวิ่งออกจากวงล้อม แต่กลับพบว่าหน่วยคัดเลือกของเจิ้งหลาน—นำโดย จ่างเหวินไถ และ เซี่ยหาน ปิดปากหุบด้วยทัพมือหนึ่ง
ทั้งสองหน่วยเคลื่อนพลอย่างเป็นระเบียบ ราวกับรอเวลานี้มานาน

“ใครขวาง ฆ่าให้หมด!” จ่างเหวินไถตวาด พร้อมยกทวนขึ้นแทงทะลุเกราะศัตรู
“เราไม่ปล่อยให้ใครผ่านไปได้แม้แต่คนเดียว!”



เซวียนหรงไห่: โล่ของแคว้นเยี่ยนจวิ้น

เซวียนหรงไห่แม้จะรู้ตัวว่าตกหลุมพราง
แต่เขาก็ยังคงรักษาสมาธิไว้ได้อย่างน่าประหลาด
เขารวบรวมทหารใกล้ตัวกว่าพันนาย ตั้งขบวนแน่นหนาใช้เป็น “โล่” เพื่อเปิดทางถอย

“เปิดทางไปฝั่งตะวันตก! สร้างรูรั่วให้กองหน้าทะลวงออกไป!”

การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ฝ่ายเจิ้งหลานประหลาดใจเล็กน้อย
เพราะแทนที่เขาจะหนี เขากลับตั้งใจ “ทุบช่อง” พาทหารส่วนหนึ่งฝ่ากระแสไฟออกจากปากหุบ

“มันคิดจะบุกสวนออกทางเชิงเขา?!”
“มันบ้าไปแล้วหรือ?!”

ซ่งเหลียนสบถเบา ๆ เมื่อเห็นเส้นทางที่เซวียนหรงไห่เลือก—เส้นที่เพลิงล้อมหนักที่สุด!



การชนอย่างเลือดเย็น

เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังพร้อมกันจากหลายพันชีวิต
เซวียนหรงไห่ในชุดเกราะสีดำยกโล่ขึ้นเอง
มืออีกข้างชักดาบใหญ่ฟาดฟันทุกสิ่งตรงหน้า
เขาเป็นดั่งวัวกระทิงกลางเปลวเพลิง
ไม่สนว่าธนูจะเจาะไหล่หรือเปลวไฟจะเผาชายเสื้อ

“ทหารของข้า! หากจะตาย จงตายในท่าฟันสุดท้าย ไม่ใช่คุกเข่ารอเผา!”
“ผู้ใดฝ่าทะลุออกไปได้ ข้าจะขอให้ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็นขุนนางทันที!”

เสียงโห่ร้องของทหารเยี่ยนจวิ้นดังสนั่น พวกเขารวมพลังฝ่าทะลุแนวป้องกันด้วยเลือดเนื้อและเกราะเหล็ก
การปะทะตรงนั้นกลายเป็นศึกย่อยอันโหดเหี้ยมที่สุดในวันนั้น



เฟิงหมิงตัดสินใจ

บนยอดเขา เฟิงหมิงมองทุกอย่างผ่านกล้องทัศน์
เมื่อเห็นว่าศัตรูยังไม่สิ้นแรง และกำลังจะเปิดรอยแยกที่แนวป้องกัน
เขาจึงหันไปสั่งโจวเหวินและทหารติดตาม

“ข้าไปเอง”

ทุกคนตกใจ
เฟิงหมิงไม่ใช่แม่ทัพที่มักเข้าสมรภูมิด้วยตนเอง—เขาเป็นคนวางแผน ไม่ใช่คนแบกดาบ
แต่วันนี้เขากลับคว้าเกราะ รั้งดาบสั้นคู่ประจำตัว และกระโจนลงม้าศึกโดยไร้ลังเล



เงาที่กระโจนลงเปลวเพลิง

เฟิงหมิงควบม้าลงจากยอดเขา พุ่งตรงไปยังแนวปะทะที่กำลังแตก
เสียงตะโกนของเขาทำให้ทหารเจิ้งหลานที่กำลังล้าใจกลับมาเต็มไปด้วยแรงฮึกเหิม

“ตรึงแนวรบไว้! ข้ายังอยู่ที่นี่!!”
“อย่าให้พวกมันฝ่าพ้นไปได้แม้แต่นิ้วเดียว!”

ธงประจำตระกูลเฟิงโบกสะบัดกลางเปลวไฟ
ตัวเขาเข้าไปเสริมแนวหน้าโดยตรง
เสียงดาบกระทบดาบปะทะโล่สะท้อนไปทั่วแนวเขา

ท่ามกลางเปลวไฟ เงาหนึ่งของชายที่ไม่ใช่แม่ทัพนักรบ แต่กลับเป็นคนจุดประกายสุดท้ายของศึก… ได้กลายเป็นตำนานในวันนั้น


ประจันหน้า: ผู้นำทั้งสอง

เปลวเพลิงที่ลุกโชนราวกับอสูรบ้าคลั่ง กลืนกินเสียงโห่ร้องและเสียงโลหะปะทะกันไม่เว้นจังหวะ
กระทั่งใจกลางสมรภูมิ ที่ซากศพและควันดำปกคลุมจนแทบมองไม่เห็นทาง

ณ ที่นั้น เฟิงหมิงและเซวียนหรงไห่ ได้ประจันหน้ากัน—ท่ามกลางเสียงกู่ร้องและเศษซากอารยธรรมที่ถูกเหยียบย่ำ

ชายสองคนที่เคยพบกันเพียงผ่านเอกสารและข่าวกรอง
วันนี้กลับยืนห่างกันเพียงไม่ถึงห้าก้าว!

“เจ้า… เฟิงหมิง”
เซวียนหรงไห่เอ่ยเสียงต่ำ แม้บาดเจ็บแต่แววตายังแน่วแน่

“ข้าเอง” เฟิงหมิงตอบ พร้อมยกดาบขึ้นระดับสายตา “แคว้นเยี่ยนจวิ้น…ต้องหยุดไว้ที่นี่”

ทั้งสองไม่กล่าวคำสักครู่ ท่ามกลางเสียงตะโกนและเปลวเพลิงที่พุ่งสูง
เฟิงหมิงรู้ดีว่าศึกครั้งนี้มิอาจจบลงได้โดยปราศจากเลือดของผู้นำสักฝ่ายหนึ่ง
เช่นเดียวกับเซวียนหรงไห่ ที่รู้ว่า…หากไม่ฝ่าผ่านชายคนนี้ไปได้
พันธกิจทั้งแคว้นของเขาก็จะกลายเป็นเพียงตำนานที่ถูกจารในหินเย็นเฉียบใต้หุบเขา



การประลองใน-่าฝนแห่งไฟ

เฟิงหมิงรุกก่อน ดาบสั้นคู่งัดเข้าหาแนวรับของคู่ต่อสู้อย่างฉับพลัน
แต่เซวียนหรงไห่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง และมีประสบการณ์มากกว่า เขาเอียงตัวหลบได้ในจังหวะเฉียดฉิว ก่อนจะฟาดดาบใหญ่สวนมาอย่างรวดเร็ว

เสียงโลหะกระทบกันดังลั่น

เคร้งงงง!

ประกายไฟกระเด็นราวกับจะสาดทั่วทั้งแนวรบ
ทหารทั้งสองฝ่ายหยุดหันมามองการต่อสู้ที่ราวกับภาพวาดขนาดยักษ์ท่ามกลางเปลวเพลิง

การประลองมิใช่แค่การประมือของร่างกาย
แต่เป็นการประลองของจิตใจ — ความศรัทธา ความเชื่อมั่น และแรงปรารถนาในชัยชนะของแต่ละแคว้น



ความตั้งใจที่แตกต่าง

เซวียนหรงไห่ฟาดดาบลงมาพร้อมเสียงตะโกน

“ข้าไม่ต้องการเห็นเยี่ยนจวิ้นถูกสยบโดยพวกเจ้าผู้ใช้กลเล่ห์!”

“และข้า…” เฟิงหมิงพึมพำ ก่อนจะพุ่งเข้าประชิดอีกครั้ง
“…ไม่ต้องการเห็นประชาชนของข้าต้องเผชิญสงครามโดยไร้วันจบ!”

ดาบของเฟิงหมิงฟันเข้าใส่ไหล่ของเซวียนหรงไห่
แต่เขากลับกัดฟันยืนหยัด พลิกตัวตวัดดาบสวนเกือบฟันคอเฟิงหมิงได้เช่นกัน

เลือดกระเซ็นออกจากรอยแผลทั้งสองฝ่าย
การดวลไม่ได้สิ้นสุดลงง่าย ๆ



การมาถึงของจ่างเหวินไถ

เสียงคำรามของม้าศึกดังมาจากฝั่งตะวันตก
จ่างเหวินไถและกองกำลังที่เสริมจากแนวถอยกลับมาสมทบแล้ว!

“ท่านอ๋อง! ถอย!”
เขาตะโกนสุดเสียงพร้อมพุ่งดาบเข้าใส่แนวทหารเยี่ยนจวิ้น

ฝ่ายของเซวียนหรงไห่จึงเริ่มเสียขวัญ
เมื่อเห็นธงของจ่างเหวินไถบุกสวนมา พวกเขารู้ทันทีว่าไม่เหลือเส้นทางหลบหนีอีกต่อไป

เฟิงหมิงสบตากับเซวียนหรงไห่อีกครั้งหนึ่ง
ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้า แต่ก็ยังคงไว้ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี

“เราควรหยุดเสียแต่ตอนนี้”
เฟิงหมิงเอ่ย
“เพราะอีกไม่นาน จะไม่มีสิ่งใดหลงเหลือพอให้ต่อสู้เพื่อมันอีกแล้ว”



การล่าถอยที่ไม่สิ้นศักดิ์ศรี

เซวียนหรงไห่กัดฟันแน่น เขามองไปรอบตัว
ทหารของเขาล้มตายไปแล้วกว่าครึ่ง
เปลวไฟลุกลามเข้าใกล้กลางหุบ

สุดท้าย…เขาชักม้าถอย ไม่ใช่ด้วยความพ่ายแพ้ แต่เพื่อรักษาชีวิตที่ยังเหลือ
เพื่อกลับไปสานฝันอีกครั้งในวันหน้าที่อาจมาถึง


เปลวเพลิงมลาย – แต่ใจยังร้อนรุ่ม

ควันดำค่อย ๆ จางหาย เหลือเพียงเศษซากของสมรภูมิที่เปียกชื้นด้วยเลือด
เสาธงของทั้งสองแคว้นพังลงและถูกแทนที่ด้วยสีดินและเถ้าถ่าน
เสียงของเหล็กกล้าหยุดลง ทิ้งเพียงเสียงคร่ำครวญของผู้บาดเจ็บ และเสียงลมหายใจอ่อนแรงของผู้ที่ยังมีชีวิต

เฟิงหมิงยืนอยู่ท่ามกลางทหารของเขาที่ทยอยเก็บศพ บาดแผลบนไหล่ยังไม่สมาน
แต่เขาไม่สนใจ

“ให้ความเคารพแก่ผู้ตายทุกฝ่าย”
เขาเอ่ยกับแม่ทัพซ้าย
“แม้เขาจะเป็นศัตรู แต่เขาต่อสู้อย่างมีเกียรติ”

แม่ทัพซ้ายพยักหน้า ก่อนสั่งให้ยุติการไล่ล่าโดยสิ้นเชิง
สงครามครั้งนี้จบลงแล้ว



การกลับสู่เมืองหลวง – ใต้แสงจันทร์เงียบงัน

คืนถัดมา
กองทัพของเฟิงหมิงเริ่มเคลื่อนขบวนกลับ โดยนำศพของทหารที่เสียชีวิตกลับมาด้วย
ไม่มีเสียงโห่ร้อง ไม่มีเพลงชัยชนะ
มีเพียงเสียงเกือกม้าที่ก้าวอย่างระมัดระวัง บ่งบอกถึงความรู้สึกที่หนักอึ้งของผู้เป็นผู้นำ

จ่างเหวินไถเดินข้างม้าเฟิงหมิง
เขาเงียบมาตลอดทาง ราวกับคิดอะไรบางอย่าง

“จ่างเหวินไถ”
เฟิงหมิงพูดขึ้น “ครั้งหน้าหากเจ้าไม่เชื่อคำสั่งข้าอีก ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ากลับมาเดินเคียงข้างอีกต่อไป”

จ่างเหวินไถชะงักไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวเสียงต่ำ

“ข้ารู้… ข้าแค่ไม่อยากเห็นท่านตายกลางสนามรบ”



ราชสำนัก – ประกายเงาจากเบื้องหลัง

ณ เมืองหลวงของแคว้นต้าอวิ๋น
ขุนนางหลวงชั้นสูงประชุมลับกันภายในตำหนักที่ประดับด้วยม่านไหมสีม่วงเข้ม
ข่าวการกลับมาของเฟิงหมิงได้สร้างความสั่นสะเทือนแก่ผู้คนไม่น้อย
โดยเฉพาะผู้ที่คิดว่าความตายของเขาจะทำให้เกิดช่องว่างอำนาจ

“เขากลับมาจริงหรือ”
“และยังมีชีวิตครบสมบูรณ์…”

เสียงซุบซิบดังทั่วห้อง

แม่ทัพหลี่ชิง แม่ทัพผู้ควบคุมทัพชายแดนตะวันตกกล่าวขึ้นเสียงเข้ม

“ต่อให้เขากลับมา…แต่แคว้นเราก็สูญเสียไปมาก ยังต้องมีคนรับผิดชอบอยู่ดี!”

คำกล่าวนี้ทำให้บรรยากาศเย็นเยียบ
เพราะแม้เฟิงหมิงจะชนะ แต่ศัตรูก็ถอยพร้อมพลังอันยังไม่หมดสิ้น

และความเสียหายจากสงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินกว่าราชสำนักจะเพิกเฉย



เงาของผู้เฝ้ารอ – บุรุษในเงามืด

ที่เงาด้านหลังตำหนักใหญ่
ชายผู้หนึ่งซึ่งไม่เคยปรากฏตัวในที่สาธารณะมานานหลายปี ยืนอยู่หน้าภาพวาดเมืองหลวง

เขาสวมชุดผ้าไหมสีดำสนิท ดวงตาเฉียบคมแม้จะผ่านกาลเวลามาแล้วหลายปี
ไม่มีใครกล้าเอ่ยนามเขาเต็มปาก
แต่ในหมู่ขุนนางผู้เก่าแก่… เขาคือ “เฉิงเซ่าเหวิน”
อดีตที่ปรึกษาใหญ่ของราชบัลลังก์ ผู้หายตัวไปหลังเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อสิบห้าปีก่อน

“เฟิงหมิง…เจ้ายังไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”
เขากระซิบกับภาพวาด
“แต่น่าเสียดาย…เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ข้ารู้ดีว่าไม่มีทางรอด”



ปิดม่านสงคราม เปิดม่านการเมือง

เฟิงหมิงกำลังกลับมาพร้อมชื่อเสียง
แต่เบื้องหลัง เสียงกระซิบของการทรยศเริ่มกลับมาอีกครั้ง

ราชสำนักอาจไม่ใช่สนามรบที่ใช้ดาบ
แต่กลับเต็มไปด้วยเหล็กแหลมที่มองไม่เห็น

ตอนต่อไป
ตอนที่ 54 (ภาค 2): เล่ห์แห่งรา...

นิยายแนะนำ

นิยายแนะนำ

ความคิดเห็น

COMMENT

ปักหมุด

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited( Kawebook.com )

Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )
ที่อยู่ : 20 หมู่ที่ 6 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 74000
เวลาทำการ : 08 : 00 - 18 : 00 จันทร์ - เสาร์
e-mail : contact@kawebook.com

DMCA.com Protection Status

เริ่มต้นเผยแพร่ผลงาน

เริ่มต้นเป็นนักเขียนออนไลน์ เขียนเรื่องราวที่ประทับใจ สร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และแบ่งปันประสบการ์ดีๆ กับผู้คนทั่วโลก kawebook.com เป็นโอกาส เป็นสื่อกลาง และยังเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการสร้างรายได้ให้กับนักเขียนมืออาชีพ และนักเขียนมือสมัครเล่นจากทุกมุมโลก เพียงสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์เพื่อเขียนหนังสือ การ์ตูน หรืออัพโหลดอนิเมชั่น ที่เป็นผลงานของท่าน และเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา