เรื่อง กัมปนาท
เวลา่าไปเืเดือน ิีชิวิตของนักศึกษาที่มหาลัยดำเนินตามปกติ ทุกคนต่างใช้เวลาในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่ แต่ทว่าในช่วงนี้ กลับมีบางสิ่งที่คอยเคลื่อนไหวเงียบ ๆ อยู่ในชีวิตของอรและก้านพลูด้วยเช่นกัน พวกเทั้งคู่พยายามจัดการกับเรื่องราวในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเตรียมตัวเดินทางไปต่างจังหวัด จนบางครั้งก็หัวหมุนไปกับภารกิจมากมาย
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ดูเหมือนว่าพวกเจะเจอกับเรื่องแปลกประหลาดที่ยากจะหาคำตอบ ก้านพลูเริ่มได้ยินเสียงกรีดร้องแสนทรมานนั่นทุกคืนอย่างต่อเนื่อง เสียงนั้นค่อย ๆ เข้ามาใกล้และถี่ขึ้นจนแทบจะทุกคืน ในขณะที่อรก็ได้ยินด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่แปลกยิ่งขึ้น…ก้านพลูมักได้ยินถี่กว่าตัวอรเองเสียด้วยซ้ำ พวกเเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ และในบางครั้ง อรก็ไม่สามารภเข้าใจสิ่งที่ก้านพลูกำลังประสบได้เลย อรไม่สามารถสัมผัสในสิ่งที่ก้านพลูสัมผัสได้อย่างเช่นทุกครา ราวกับว่าสิ่งนั้น กำลังปกปิดอะไรเอยู่
ช่วงเวลา่าไปจนถึงวันเดินทางที่ทุกคนต่างรอคอย การเดินทางไปยังจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเยี่ยมเยือนบ้านเรือนของ ‘อาจารย์ สุเทพ บุญศิริ’ หมอผีชื่อดังในจังหวัด รวมถึงการเรียนรู้ิีชีวิตของชาวบ้านระแวกอำเภอ ‘กุฉินารายณ์’
บางสิ่งกำลังรออยู่ที่นั่น และบางสิ่งก็กำลังเดินหน้าไปสู่จุดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
"อรุณสวัสดิ์ค่ะเพื่อน ๆ" อรกล่าวทักทายเหล่ากลุ่มนักศึกษาทื่ยืนรออยู่หน้าแท่นรถทัวร์
“แหม พอรู้ว่าได้ไปเที่ยวหน่อย ตื่นเช้ากันเชียวนะ” ก้านพลูแซวเพื่อนหัวแถวด้วยรอยยิ้ม
การเดินทางครั้งนี้ยาวไกลถึง ๘ ชั่วโมง ทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่เช้ามืด บางคนมาถึงสถานที่นัดก่อนเวลาเสียอีก ทุกคนต่างตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ อรเริ่มนับรายชื่อนักศึกษาตามรหัสเพื่อเช็คว่าทุกคนมากันครบหรือยัง ต่างคนต่างทยอยขึ้นรถหลังาที่อรเอ่ยชื่อของตน ขณะเดียวกัน สายตาของอรก็กวาดไปทั่วทั้งบริเวณ
“1344 สิรินยา….สิรินยา…”
ไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ
‘หรือว่าจะไม่มา?’
อรขานชื่ออีกครั้ง “สิรินย….”
“เขาขึ้นไปแล้ว” เสียงของก้านพลูดังขึ้นข้าง ๆ
อรหันไปตามทิศทางที่ก้านพลูกำลังจ้องอยู่และพบว่า ยาได้ขึ้นไปนั่งบนรถทัวร์แล้ว
‘ขึ้นไปเมื่อไร?’
อรไปยังร่างนั้นบนรถทัวร์ด้วยความสงสัย ก่อนจะขานรายชื่อเพื่อนคนถัดไปต่อ โดยไม่รู้เลยว่า…ก้านพลูที่เมื่อครู่ยังคงร่าเริง กลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
ณ เวลา ๗ โมงตรง ล้อรถทัวร์คันใหญ่เริ่มเคลื่อนหมุนออการั้วมหา’ลัย อรคว้าไมโครโฟนขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า ทำหน้าที่ราวกับไกด์นำเที่ยวคนหนี่ง
“เอาหละค่ะเพื่อน ๆ ในที่สุดเราก็ได้ออกเดินทางกันแล้ว เย้!”
“เย้!” เสียงตะโกนตอบกลับอย่างดีใจของเพื่อน ๆ ดังลั่นไปทั่วคันรถ บรรยากาศคึกคักราวกับการเดินทางครั้งนี้คือวันหยุดยาวแสนรื่นรมย์
“เราจะเดินทางกันประมาณ ๘ ชั่วโมงนะคะ ใครปวดหนักปวดเบา ห้องน้ำอยู่ข้างล่าง ช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยนะ แล้วเราจะแวะพักกินข้าวกันที่จังหวัดบุรีรัมย์ ตอนนี้พักผ่อนกันให้เต็มที่ รู้ว่าตื่นเช้ากันมาก”
อรพูดพลางยิ้มกว้าง แต่ในขณะนั้นเอง สายตาของเกลับไม่ละไปาหญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ท้ายสุดของรถ เมีสีผมสีส้มเพลิงโดดเด่น ขัดกับใบหน้าที่เรียบเฉย เย็นชาราวกับรูปปั้นและไม่เอ่ยปากพูดใด ๆ ตลอดเวลา
อรยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางไมค์และเดินกลับมานั่งข้างก้านพลูบริเวณหัวรถ
“นี่มึงเป็นอะไรเนี่ย?” อรถามขึ้นทันที่ที่นั่งลง
“ปะ…เปล่า” ก้านพลูตอบกลับเสียงเบา
“มึงได้ยินเสียงนั่นอีกแล้วหรอ?”
“เปล่า…”
อรถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “งั้นกูคงช่วยอะไรมึงไม่ได้นะ มึงก็รู้ว่าช่วงนี้กูไม่เห็นเหมือนที่มึงเห็น”
เพูดพลางใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนรักที่นั่งสั่นเทา ปิดหูแน่นเหมือนพยายามตัดเสียงบางอย่างออกาหัว
ระหว่างทาง บรรยากาศบนรถยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงเพลงาคาราโอเกะ บ้างก็หลับไปเพราะความง่วงที่สะสมกันมาตั้งแต่เช้า
เว้นแต่เพียงคนเดียว
หญิงสาวผมสีส้มเพลิง ยังคงนั่งนิ่งเฉยเงียบงันท่ามกลางบรรยากาศครื้นเครง เเงียบเสียจนราวกับเงาดำที่ไม่ต้องการให้ใครรับรู้การมีตัวตน
การเดินทางยาวนานจนในที่สุด รถก็แวะปักที่จุดพักรถจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อให้เหล่านักศึกษาได้ลงพักทานข้าวและซื้อของกินติดขึ้นรถ
อรแอบเหลือตายาอยู่เสมอ…
เไม่แม้แต่จะขยับ
ไม่ลงไปกินข้าว ไม่เข้าห้องน้ำ
นั่งอยู่ที่เดิมราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเบาะนั่งนั้น
“อ่ะ เราซื้อมาฝาก”
อรยื่นถุงขนมให้หญิงสาวที่นั่งนิ่งอยู่บนรถ ยาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ถุงขนมในมือของอรสลับกับหน้าอรอย่างสงสัย
“เราเห็นยาไม่ลงไปกินอะไรเลย กลัวจะหิว…กินหน่อยเถอะนะ เรายังต้องเดินทางอีกไกลเลย”
ไม่ีำตอบกลับายา เเพียงแค่หันหน้ากลับไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง “ยา….” อรเอ่ยเสียงแผ่ว
“อร!!!”
เสียงก้านพลูตะโกนเรียกมาาหัวรถ ทำเอาอรกับยาหันไปต้นเสียงพร้อมกัน แต่ก่อนที่บทสนทนาจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง กลุ่มเพื่อน ๆ ก็ต่างทยอยกลับกันขึ้นมาบนรถ
อรจำต้องลุกเดินกลับไปยังที่นั่งของตน แต่ก่อนจะาเไม่ลืมที่จะวางถุงขนมไว้ข้างเบาะที่ยานั่ง เผื่อว่าเจะรู้สึกหิวขึ้นมาสักนิด
การเดินทางยังคงดำเนินอย่างเนิบช้า บรรยากาศในรถทัวร์สลับกันไประหว่างเสียงหัวเราะคิกคัก กับความเงียบที่โรยตัวลงมาเป็นช่วง ๆ คล้ายทุกคนเริ่มเหนื่อยล้าาระยะทางที่ทอดยาวนาน
ไม่นานนัก รถก็เข้าสู่เขตจังหวัดกาฬสินธุ์ เสียงล้อที่เคยกลิ้งไปบนทางหลวงราบเรียบ เริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงกระทบของพื้นถนนขรุขระ เมื่อรถเลี้ยวแยกออกาถนนใหญ่ เข้าสู่ถนนสายรองค่อย ๆ แคบลง…แคบลงทีละน้อย
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
าตึกสูงแน่นขนัดในเมืองใหญ่ กลายเป็นบ้านชั้นเดียว เรือนเรียบ บ้านไม้ยกพื้นหลังเล็ก ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่สองข้างทาง
เสียงเครื่องยนต์ดังสะท้อนในความเงียบของชุมชน ราวกับเป็นเสียงแปลกปลอม
นักศึกษาหลายคนเริ่มรู้ตัวว่าการเดินทางใกล้ถึงจุดหมาย ต่างคนต่างชะโงกหน้าออกไปนอกตัวรถด้วยความตื่นเต้น
สองข้างทางเริ่มเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่แน่นทึบ เรือนยอดไหวเอนไปตามแรงลม ถนนเริ่มลึกเข้าไปในผืนป่าที่ไม่ถูกรบกวน บางช่วงเป็นถนนดินแดง ไม่มีร่องรอยของคอนกรีตแม้แต่น้อย แสงอาทิตย์เริ่มแผ่วลง ท้องฟ้าเปลี่ยนสีาทองนวลกลายเป็นหม่นเทา ช่วงเวลาโผล้เพล้เริ่มเข้ามา บรรยากาศรอบข้างกลายเป็นเงาสลัวที่ปกคลุมไปทั่ว เส้นทางข้างหน้าเริ่มพร่ามัว
พรึ่บ
“รถเป็นอะไรหรอคะลุง?” เสียงหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาถามขึ้น เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ รถก็หยุดนิ่งสนิทไปเสียอย่างนั้น พร้อมกับได้ยินเสียงสตาร์ทรถซ้ำ ๆ ขึ้นมาอย่างรัว ๆ
“บ่ฮู้คือกัน จู่ ๆ รถกะดับ” ลุงคนขับตอบกลับเสียงแหบแห้ง
“มึง!” เสียงก้านพลูเอ่ยขึ้นเรียกอรที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเเริ่มซีด ความรู้สึกที่แปลกและหนาวเหน็บแผ่ซ่านไปทั่วตัว ก่อนที่เจะเริ่มสั่นเทา มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหู ดวงตาปี๋จนเืจะหลับสนิท ร่างกายของเเริ่มเอนไถลลงไปกับเบาะรถ
“อืม…ใจเย็น…ก็แค่พวกผี-่า สัมภเวสี” อรพูดเสียงเบาราวกับปลอบประโลม เนั่งนิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ภายในกลับแฝงไปด้วยความตระหนก
พวกมัน…เหล่าผีร้าย…ได้มารวมตัวในที่แห่งนี้
รถของพวกเหยุดอยู่กลางดงผีป่ำ เส้นทางที่เหล่าพวกเ่ามานั้น เต็มไปด้วยวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด
รอบ ๆตัวรถล้วนแต่เป็นวิญญาณที่ล่องลอยไปมา บ้างก็เป็นผีสาง บ้างก็เป็นสัมภเวสีหรือแม้กระทั่งผีตายโหงที่ร่างกายเน่าเปื่อย
พวกมันยืนอยู่รอบ ๆ ตัวรถ ตาเหลือกเพ่งด้วยสายตาอาฆาตร้องหวนด้วยเสียงแหบแห้งเหมือนต้องการเข้า แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ เพราะสร้อยพระที่พ่อของอรให้ไว้คอยคุ้มครองเหล่าคนบนรถอยู่
“อิหล่า!!” ลุงคนขับร้องเรียกด้วยความตะหนก ก่อนจะรีบขึ้นมาที่ชั้นบนของรถอย่างรวดเร็ว เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขากำลังขับ่าดงผีป่ำ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดงที่เต็มไปด้วยผี-่าร้ายแรง จึงตัดสินใจวิ่งขึ้นมาขอความช่วยเหลือาอร
ในขณะเดียวกัน เพื่อน ๆ ที่เหลือต่างก็นั่งงงกันอยู่ประจำที่ ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พวกเขายังคงไม่เห็นอะไร แต่ความเงียบงันที่ปกคลุมทำให้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
‘เพียงแค่รถเสียไม่ใช่หรือ?’
ภาพที่คุ้นตาของเหล่าเพื่อน ๆ ได้กลับมาอีกครั้ง การบริกรรมคาถาบางอย่างของอรได้เกิดขึ้นบนรถทัวร์ คาถา อาคมที่ถูกท่องอย่างน่าขนลุก แต่เหมือนกับจะไม่ได้ผลนัก เหล่าผี-่าต่างถอยกันไปทีละก้าวเพียงเท่านั้น แต่ก็ยังไม่หายไป
“ฮืออออออ…..” เสียงร้องไห้ของก้านพลูเริ่มดังขึ้นข้าง ๆ อรที่กำลังท่องอาคมไล่ผี-่าไปอย่างหนัก พวกมันเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หากพวกเรายังจอดอยู่ที่นี่นานเท่าไร เหล่าวิญญาณก็ยังคงมาเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้น ก้านพลูได้ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยและสายตาของเก็จับจ้องไปยังบริเวณรอบ ๆ ตัวรถ พวกมัน…เหล่าผีที่ล้อมรอบรถนี้อยู่…กำลังตอมกันเหมือนฝูงผึ้งที่พุ่งเข้าหาน้ำผึ้ง มันมืดจนเแทบไม่เห็นอะไรนอกาเงามืดที่เกาะกลุ่มไปทั่ว
เรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกเพราะกลิ่นเหม็นเน่าที่มาาภายนอก เสียงของผีเปรต เสียงของวิญญาณที่ดังแว่วเข้ามาในหูของเจนแทบจะเป็นบ้า
“ไสหัวไป!”
เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น รุนแรงและก้องกังวาลจนสะท้อนเข้าไปถึงกระดูกดำ ราวกับดังก้องมาาทุกทิศทางพร้อมกัน อรและก้านพลูสะดุ้งเฮือกหน้ากันด้วยแววตาตื่นตระหนก
น้ำเสียงนั้นแหบพร่าที่แฝงไปด้วยอำนาจ…และไม่ใช่เสียงคนบนรถ
สำเนียงท้องถิ่นที่แปลกประหลาดจนทำให้ขนลุกวาบขึ้นมาทั้งหลัง
ทันใดนั้น เหล่าสัมภเวสีที่ตอมแน่นอยู่รอบตัวรถก็กู่ร้องโหยหวนพร้อมกัน ก่อนจะพากันกรูถอยออกไปราวกับมีสิ่งใดบางอย่างข่มขวัญพวกมันไว้
เจ้าป่าเจ้าเขา?
อรนึกในใจอย่างสับสน หากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างที่เคิดจริง เควรที่จะสัมผัสหรือเห็นท่านได้ แต่ครั้งนี้กลับไม่มีสัญญาณใด ๆ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยพลังงานหรือแม้กระทั่งต้นเสียง
ก้านพลูค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าพวกมันถอยไปแล้ว
แต่หัวใจของเกลับไม่สงบลงเลย กลับเต้นถี่ด้วยความรู้สึกบางอย่าง
‘ทำไมพวกมันถึงมากขนาดนี้…มากเหมือน…’
เเคยเห็นเหตุการ์แบบนี้มาก่อน ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้.
“บ่มีหยังแล้วจ๊ะลุง ไปกันต่อเถาะ” อรหันไปบอกลุงคนขับที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
แกลองลงไปสตาร์ทรถและพบว่าสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ รถทัวร์จึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกาดวงมรณะนั้น เสียงเครื่องยนต์ที่กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง
ก้านพลูหันไปรอบ ๆ รถ
เพื่อน ๆ ในคณะส่วนใหญ่ยังคงมีสีหน้าสงสัย บ้างถาม บ้างเงียบ บ้างพยายามกลบเกลือนด้วยเสียงหัวเราะแห้ง ๆ แม้ภาพนี้จะชินตาของเหล่าหมู่คณะ แต่ก็แปลกใหม่สำหรับมนุษย์ธรรมดาเช่่นกัน
ก้านพลูค่อย ๆ ชันเข่านั่งบนเบาะและหันไปด้านท้ายของขบวนรถ ทันใดนั้น แววตาคู่หนึ่งจ้องตอบกลับมาทันที
ดวงตานั้นนิ่งสนิท
ไม่กะพริบ
ไม่ไหวติง
มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ที่ยกขึ้นตรงมุมปาก
ยิ้มที่แฝงไปด้วยความ ‘น่ากลัว’
ก้านพลูรีบเบือนหน้าหนีกลับที่นั่งประจำโดยไม่หันไปอีกเลย หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุกอก
“อะไรวะ?” อรถามขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นเพื่อนรักมีท่าทีลุกลี้ลุกลน
“เปล่า…” ก้านพลูตอบ แต่แววจาไม่อาจปิดบังความไม่สบายใจ
อรไม่เซ้าซี้ เเพียงแต่ค่อย ๆ หันไปที่ท้ายรถ…ยังคงเห็นร่างของหญิงสาวผมส้มเพลิงนั่งอยู่ที่เดิม
นั่งนิ่ง
ไม่ไหวติง
ออกไปนอกหน้าต่าง
ไม่มีใครสามาารถคาดเดาอารมณ์หรือความคิดาใบหน้าเรียบเฉยนั้นได้เลย
ไม่เลย…
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??