เรื่อง กัมปนาท
ช่วงเวลาแ่ความเคลื่อนไหวำเิไปอย่างรวดเร็ว เหล่าัึาต่างะากันไปพูดคุยัชาวบ้านาบ้านเรือน เสียงหัวเราะและาเบิกบานัาตั้งแต่าเ้าจรดแสุดท้ายวัน ราวัความเรียบง่ายิีีิชนบทไ้หวนัาอีกครั้ง
ชาวบ้านหุงหาอาหารไว้้ัเด็ก ๆ ที่ักลางเ่เ บ้างั่ล้อมวงพื้นดิน บ้างึ้ั่แคร่ไ้ เสียงพูดคุยัแว่วาเป็นระยะ าเหล่านี้่าชวนใ้อรู้ึอบอุ่น ราวััาในัเา์หวนคืน ่าครั้งนี้แ่าไปเล็กน้อย เาะมีเื่พ้องา้อยู่เี้า
เว้นเสียแต่พ่อท่านที่มิไ้ร่วมวงอาหาราปกติ เนื่องด้วยยามเย็นท่านเคร่งครัดในศีล จึงมิไ้กินอาหารเย็นเช่นผู้อื่น คงหลีกเร้นอยู่ในห้องพระัเหล่าบริวารเ่เ
“มึงไม่กินข้าวหรอ?”
เสียงใสแหลมก้านพลูดังึ้จากข้างกาย เมื่อเห็นอรเอาแต่ั่นิ่ง ราวักำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“กูยังไม่หิว มึงกินก่อนเลย”
“แล้วมึงมองหาอะไร?”
“ก็มองหายาน่ะสิ ไปไหนเขาอีกแล้ว ไม่าั่กินข้าวเลย”
มือที่กำลังจกข้าวเหนียวชะงักกะทันหัน เมื่อชื่อเื่ที่ผิดแปลกถูกเอ่ยึ้
อรลุกึ้จากแคร่ เดินทอดน่องไปยังป่าด้านข้างหมู่บ้าน สถานที่เดียวัที่เธอพบยาตอนเช้า หวังว่าอีกฝ่ายอาจกลับไปปลีกวิเวกเช่นเดิม
่ากลับว่างเปล่า
“จะมืดค่ำอยู่แล้ว หายไปไหนอีก…”
เสียงพึมพำอรแผ่วเบา แต่แฝงความเป็นห่วงแผ่ซ่านทั่วหัวใจ ดวงาองไปรอบผืนป่า สายหมอกเริ่มคลี่คลุมอย่างแผ่วเบา ต่างจากาเ้าที่แแดดยังพอใ้มองเห็นทางเดิน แต่บัดนี้ผืนป่ากลับดูไร้ขอบเขต มืดมัวและน่าสะพรึง
เธอกวาดสายตาไปรอบบริเวณ หวังจะเห็นเงาเื่สาว จนกระทั่งดวงตาสะดุดเข้าัร่างหนึ่งในม่านหมอกจาง ร่างนั้นยืนห่างไป ใส่เสื้อผ้าสีดำทะมึน อาจเป็นยา… หรือเปล่า?
อรไม่เอ่ยเรียก เพียงแต่ค่อย ๆ ก้าวาร่างนั้นไปอย่างเงียบงัน หากยิ่งเดินา ร่างนั้นกลับยิ่งถอยห่างราวัลวงหลอก แม้เธอจะไม่ละสายตาเลยแม้แต่น้อย
อรระงับคำเรียกไว้ เาะไม่แน่ใจว่าร่างนั้นใช่ยาจริงหรือไม่ แสุดท้ายวันเลือนหายไปแล้ว ป่าในยามค่ำคืนไม่ใช่ที่ที่ควรเดินเล่น และสิ่งที่อรกังวลที่สุด มิใช่เพียงสัตว์ร้ายหรือภัยจากมนุษย์
หากแต่เป็น 'สิ่งที่ไม่ใช่คน'
ตั้งแต่เธอผ่าน ดงผีป่ำ อรยิ่งแน่ใจว่าผี-่า สัมภเวสีทั้งหลายต่างจับจ้องเธออยู่ แม้จะทำอันใดเธอไม่ไ้ตรง ๆ แต่คนรอบข้างเธอกลับมิไ้มีเกราะป้องกันเช่นเดียวกัน และหากเกิดเหตุใดัยาที่เธอคอยเป็นห่วง แล้วช่วยไม่ทัน อรคงโทษตัวเองไปตลอดชีวิต
บริเวณโดยรอบอบอวลด้วยความชื้นป่าลึก ต้นไ้ใหญ่ชูยอดสูงเสียดฟ้า แตกกิ่งก้านสลับซับซ้อน ใบไ้แห้งกรอบโรยตัวลงผืนดินเหนียวที่ชุ่มด้วยหยาดน้ำค้างเก่า เสียงจิ้งหรีดเรไรเร่งรัวเป็นจังหวะค่ำคืน แทรกผ่านความเงียบสงัดในอากาศ
ร่างลึกลัั้นัเดินนำหน้าอย่างมั่นคง แม้ไม่มีคำพูดใดหลุดจากริมฝีปาก แต่มันกลับมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำใ้อรต้องก้าวาไป
ทุกย่างเท้าเธอเหยียบลงใบไ้ที่ทับถม ส่งเสียงแหบกรอบสะท้อนในความเงียบ เธอราวัจมอยู่ในภวังค์ ลืมสิ้นแม้แต่การหันัามองทางที่ผ่าน
ภูเขาซึ่งเคยมองเห็นจากหมู่บ้านเป็นเพียงเงาเล็กไกลตา บัดนี้กลับดูใหญ่โตึ้ทุกครั้งที่ก้าวเข้าใกล้ ราวัมันกำลังขยายตัวรองรับผู้าเยือนอย่างเงียบงัน
เบื้องหน้าไม่ไกลนัก หน้าผาโล่งกว้างทอดตัวอยู่ตรงเชิงเขา ม่านหมอกขาวลอยกรุ่นบดบังทัศนวิสัย แจันทร์ที่เคยถูกเรือนยอดไ้บดบัง ค่อย ๆ สาดส่องผ่านช่องว่างึ้าอย่างช้า ๆ ทอประกายลงหมอกจางนั้นเปรียบเสมือนเส้นแพรเงินลอยระยิบระยับในอากาศ ลมหายใจแผ่วเบา ความู้ึหนึ่งไหลย้อนึ้าในใจ
“เอื้อยอร สิไปไสจ๊ะ”
ราวัถูกปลุกใ้ตื่นจากภวังค์ อรชะงักเท้า เมื่อร่างเล็กเด็กน้อยผู้หนึ่งปรากฏตรงหน้า
เขาผอมบาง พุงกลมตึงตัดัแขนขาเรียวเล็ก ดวงตากลมใสแจ๋วดั่งลูกแก้วสะท้อนแจันทร์ เป็นดวงตาที่ทั้งใสซื่อและลึกลับในเวลาเดียวกัน ผิวเนื้อคล้ำแทนตัดัรอยยิ้มไร้เดียงสาที่แต่งแต้มอยู่ใบหน้า
เด็กน้อยสวมเสื้อผ้าฝ้ายเก่าที่ซีดจางจากการใช้งาน แต่กลับสะอาดเรียบร้อย ผ้าซิ่นเก่าถูกพับคลุมรอบเอวเหมือนผ้ากันเปื้อน ทับด้วยกางเกงขาสั้นผ้าฝ้ายที่ดูเก่าแต่ัถูกรักษาไว้อย่างดี ผมสั้นหัวโป่งรุงรังเหมือนไม่เคยผ่านหวี ด้านข้างลำคอมีเชือกเส้นเล็กคล้องพวงาลัยดอกไ้แห้งที่เริ่มกรอบและกรุ่นกลิ่นจาง ๆ ดอกไ้โบราณ
“คำปุ่น!”
“พ่อใ้าาเอื้อยกลับเฮือนจ้า”
อรเงยหน้าึ้ มองไปร่างที่เธอเดินาเมื่อครู่ ร่างนั้นหายไปแล้ว ราวัไม่เคยมีอยู่จริง
“หมู่เอื้อยอยู่เฮือนแล้วเด้อ เพิ่นกินข้าวกันเรียบร้อยแล้ว พ่อบอกบ่ต้องห่วง ข่อยาาเอื้อย ใ้ฟ้าวกลับจ้า”
จบประโยค อรจึงเริ่มหันมองไปรอบบริเวณอีกครั้ง และนั่นเองที่ทำใ้เธอรู้ตัวว่า ถึงเวลาแล้วที่เธอต้องรีบกลับบ้าน
ท่ามกลางม่านหมอกที่ยังลอยคลุ้งอยู่เหนือผืนดิน แไฟพรายสีอ่อนนวลค่อย ๆ ปรากฏึ้เบื้องหน้า ลอยนิ่งกลางอากาศดุจแแ่ความหวัง มันไม่เจิดจ้า ่าพอจะคลี่คลายความมืด ณ ที่แ่นี้ไ้ เธอก้าวาแที่ผีพรายนำทางไปช้า ๆ ท่ามกลางความเงียบป่าที่เริ่มสงบลง
ข้างกาย มีเสียงคำปุ่นคอยพูดคุยด้วยเบา ๆ เป็นเื่ระหว่างทาง คำพูดที่เปี่ยมด้วยความห่วงใย สองมือกุมกันด้วยความสนิทสนม
คำปุ่นกุารทองที่ติดาอราตั้งแต่เด็ก เป็นทั้งน้องชาย เป็นทั้งเื่เล่น และเป็นดั่งผู้เตือนใจเมื่อใดที่เธอัาบ้านพ่อ
ทางที่อรใช้เดินจากป่า พาเธอวกัาสู่ลานหน้าเรือนพักเื่พ้องอย่างพอดิบพอดี แตะวันท้ายยามลาลับ เหล่ามิตรสหายล้วนึ้เรือนกันหมดแล้ว บ้างั่สนทนาหัวเราะอยู่ใต้ชายคา บ้างเอนกายั่ทอดอารมณ์ตรงบันไดเรือน เมื่อเหลือบเห็นอร ต่างก็ทักถามด้วยความสงสัยว่าเธอหายไปไหนา อรเพียงยิ้มบาง ตอบตัดบ่าไปเดินเล่น แล้วหันสายาองไปยังเรือนอีกหลัง ก็แลเห็นยานั้นอยู่เรือนแล้ว สีหน้าอรจึงอ่อนลง โล่งใจอย่างเห็นไ้ชัด ก่อนจะตั้งใจจะเดินต่อเพื่อไปหาพ่อท่านที่อยู่เรือนไม่ไกลากนัก
เจ้ากรรม
แคร่ไ้ริมชายเรือน ปรากฏร่างก้านพลู ั่ขัดสาธิจกข้าวเหนียวคำโต ปลาร้าบองในถ้วยเล็กวางอยู่ข้างตัวอย่างเป็นระเบียบ เจ้าตัวดูสบายอกสบายใจ ราวัไม่คิดจะกลับไปั่รวมกลุ่มัใครแล้ว
อรกลั้นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยถามอย่างเอ็นดูปนเหนื่อยใจ
“มึงไม่อิ่มหรอ?” อรถามขณะเดินึ้า
“กูไม่อิ่มง่ายๆ ข้าวบ้านมึงอร่อยอ่ะ!”
“แล้วาั่ตรงนี้ไม่กลัวหรือไง?”
“ไม่กลัว เาะมีคำปุ่นอยู่เป็นเื่”
พลันนั้น เด็กพุงเต่งก็ปรากฏร่างึ้ข้างก้านพลูพร้อมหัวเราะคิกคัก
“เป็นหยังคือบ่หลอกเอื้อยเขาใ้หัวโกร๋นแหน่?” อรแซว
“าหลอกก็ไม่กลัวหรอก น่ารักขนาดนี้ จะกลัวไ้ไงล่ะ เนอะ?”
“แม่นจ้า!”
อรถอนหายใจเบา ๆ อย่างเอ็นดูในความสนิทสนมเื่ัเจ้าหนูคำปุ่น ก่อนจะลุกึ้ เดินตรงไปยังเรือนหลังในที่เธอรู้ดีว่าพ่อท่านเธอคงั่สาธิอยู่เงียบ ๆ าวิสัย
ย่างเท้าอย่างแผ่วเบา อรเดินเข้าาั่ข้างกายบิดาในห้องพระที่อบอวลด้วยกลิ่นธูปจาง ๆ และแเทียนริบหรี่ที่ทอดเงาพระพุทธรูปทองเหลืองตรงหน้า เธอประนมมือึ้อย่างสงบ แล้วเริ่มสวดบทมนต์ในใจ เสียงบทสวดเธอหลอมรวมไปัความเงียบสงัดในยามค่ำคืนอย่างกลมกลืน
เมื่อบทสวดจบลง ก็เป็นจังหวะเดียวัที่พ่อท่านคลายสาธิ ลืมตาึ้อย่างช้า ๆ อรเหลือบมองท่านอย่างเกรง ๆ ดวงตาเว้าวอนราวัจะขออภัยล่วงหน้า หากท่านจะตำหนิเรื่องที่เธอไปเพ่นพ่านในป่ายามวิกาลโดยไม่บอกกล่าว
แต่กลับผิดคาด...
“ไปนอนไป พ่อสินอนแล้ว”
คำพูดบิดาเรียบง่าย ราบเรียบ ไม่มีแม้แต่แววตำหนิในน้ำเสียง มือชราเอื้อมไปจับไ้เท้าอย่างคุ้นชิน แล้วค่อย ๆ พยุงร่างลุกึ้ ทิ้งใ้บุตรสาวไ้แต่ั่มองาแผ่นหลังนั้นด้วยความู้ึผิดเงียบ ๆ
อรั่อยู่อย่างนั้นอีกครู่ ราวัใช้เวลาไตร่ตรองในความเงียบ ก่อนจะโน้มกายลงกราบพระ แล้วลุกึ้เดินไป หัวใจยังอวลด้วยความละอายและคำถามที่ยังไม่ไ้คำตอบจากสายตานิ่งขรึมพ่อท่าน
ยามวิกาลคลี่คลุมบ้านเรือนไ้กลางป่า ทุกสรรพเสียงเข้าสู่ห้วงแ่ความสงัด รัตติกาลแผ่ปีกคลุมท้องฟ้าไว้จนมืดมิด มีเพียงแจันทร์ซีดเผือดลอดผ่านร่องไ้ และแไฟจากกองไฟเล็ก ๆ ที่ก่อไว้หน้าบ้าน ซึ่งัสว่างริบหรี่เพื่อไล่ยุงและใ้ไออุ่นในความหนาวเหน็บ
เรือน อรัก้านพลูนอนขดกายอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าทั้งคู่ยังหลับสนิท แม้อากาศจะไม่มีเครื่องปรับใด ๆ ช่วยใ้เย็น แต่กลับเยือกเย็นเสียจนไอหนาวแทรกซึมถึงกระดูก
เสียงลมหวิวเบา ๆ พัดผ่านยอดไ้ เสียดสีใบไผ่ใ้ไหวอย่างแผ่วเบา เสียงนกฮูกโต้ตอบัจิ้งหรีดที่ซ่อนตัวในพุ่มหญ้าไกล ๆ เป็นบทเพลงยามค่ำคืนที่ฟังดูชวนใ้อุ่นใจ
จนกระทั่งเสียงหนึ่ง ค่อย ๆ แทรกเข้าาอย่างเงียบเชียบ
เสียงแผ่วเบาราวกระซิบ... เสียงที่คุ้นเคย
“กะตะาเร โชวะบันตา…”
เสียงพึมพำแผ่วเบาดุจสายลมกระซิบดังึ้ในความเงียบงัน หูก้านพลูกระตุกเล็กน้อย ก่อนเปลือกตาจะกระพริบเบา ๆ
“อัตตา านา สัมภะวะ โน มะตา พา…”
เสียงท่องมนต์แปลกประหลาดัำเิไปอย่างต่อเนื่องซ้อนทับกันอยู่ในความมืด ่าใจก้านพลูจำมันไ้แม่นยำจำไ้ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ บทสวดนั้น เสียงนั้น… ัาอีกแล้ว
ดวงตาเบิกโพลง ความหวาดกลัวผุดึ้พร้อมเสียงกรีดร้องอันแหลมสูงที่ฉีกความเงียบเป็นเสี่ยง ๆ
“กรี๊ดดดดดดดด!”
แขนทั้งสองข้างรีบยันตัวึ้อย่างแรง ดวงตากวาดมองไปรอบห้องอย่างตื่นตระหนก แต่กลับไม่พบสิ่งใดเลยนอกจากอรที่ยังหลับสนิทนอนแน่นิ่งอย่างไม่ไหวติงอยู่ข้างกาย
เสียงสวดัำเิต่อไป ่าในความมืดนั้น คล้ายมีเสียงอื่นแทรกึ้ เสียงกรีดร้องยืดยาว สะท้อนก้องไปทั่วผืนดิน เยียบเย็นและวังเวง สองมือก้านพลูยกึ้ปิดหู น้ำตาเอ่อคลอ ความกลัวทะลักท่วมใจจนหายใจแทบไม่
มันาอีกแล้ว...
“อร! อร!” เธอสะกิดเื่ด้วยแรงสั่นระรัว หวังเพียงว่าอีกคนจะตื่นึ้าเป็นหลักใ้ยึดเหนี่ยว แต่ร่างอรัแน่นิ่ง ดั่งจมอยู่ในฝันลึก
“จงหลุดจากเนื้อ
จงละจากกาย
จงมอบใ้ข้า
ผู้หิวกระหาย…”
“กรี๊ดดดดดดดดด!”
เสียงสวดมนต์เปลี่ยนเป็นเสียงข่มขวัญ ย้ำคำชัดเจนราวักระแทกใส่วิญญาณ เสียงอันทรงพลังกระแทกผนังเรือนจนเหมือนสั่นสะเทือน
“ชีวา วิญญา สังเวย
นามสิ้น ซากสูญ โอม!”
เสียงกรีดร้องยืดยาวจนแสบแก้วหู ดังกระหึ่มราวมีผู้คนนับร้อยกู่ร้องจากใต้ดิน หมอกดำคืบคลานอยู่รอบเรือนอย่างเชื่องช้า
“กรี๊ดดดด!”
เสียงกรีดร้องก้านพลูเป็นชนวนที่ดึงสติอรัา เธอลืมตาโพลงก่อนจะกระโจนเข้าหาร่างเื่ที่ั่สะอื้นอยู่ไม่ห่าง
“มึงเป็นอะไร!”
“มัน...ฮือ...มันาอีกแล้ว”
“อะไร?!”
ปึ้งงงงง!!
เสียงประตูไ้ไผ่กระแทกเข้าัผนังบ้านดังลั่น แไฟทุกดวงพลันสว่างวาบ เผยใ้เห็นร่างสูงใหญ่อาจารย์สุเทพที่ยืนขวางกรอบประตูอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาท่านกวาดไปทั่วทั้งห้องอย่างระแวดระวัง
ด้านหลังท่านคือคำปุ่นที่ยืนเกาะแขนเสื้อพ่อแน่น ตัวสั่นเทา น้ำตาคลอเบ้า สีหน้าอกสั่นขวัญแขวนไม่ต่างจากก้านพลูแม้แต่น้อย
“บ่มีอิหยังแล้ว กะพวกเสียงผีห่าซ่ำนั่นล่ะ”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยาอย่างเคร่งขรึม ไม่ไ้ปลอบโยน แต่กลับชัดเจน หนักแน่น
“แต่ว่า…”
ประโยคขาดห้วง เหมือนจะพูดต่อ แต่กลับหยุดเพียงเท่านั้น ก่อนจะกลืนคำลงไปแล้วเปลี่ยนน้ำเสียงอย่างเฉียบขาด
“อีหล่า ฟ้าวพาเพิ่นไปนอน แลงหลายพอแล้ว”
สิ้นเสียงคำสั่ง พ่อท่านก็หมุนตัวกลับ เดินจากไปอย่างไม่ใยดีต่อเสียงท้วงติง อรยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไ้แต่กลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นคิ้วที่ขมวดแน่นพ่อ และแววตาหนักแน่นดุจเหล็กกล้าท่าน
เธอไม่กล้าเอ่ยคำใดต่อ
เงียบงัน
เมื่อเสียงฝีเท้าพ่อท่านหายไป อรจึงค่อย ๆ หันัาหาเื่ผู้ยังั่ตัวสั่นอยู่ สองมือประคองไหล่บอบบางก้านพลู แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ… ช้า ๆ... ไม่มีอะไรแล้ว...”
คำพูดซ้ำวน ราวัจะกล่อมทั้งเื่และตัวเธอเองใ้เชื่อมั่นว่า ‘ไม่มีอะไร’ จริง ๆ
เมื่อก้านพลูเริ่มหลับตาลงและหายใจราบเรียบึ้ อรจึงค่อย ๆ เอนกายลงนอนข้าง ๆ สายตาัเปิดอยู่ จ้องมองเพดานไ้เหนือหัว ความคิดวนเวียนไม่รู้จบ
เสียงนั้น... บทสวดนั้น...
น้ำเสียงพ่อที่เคร่งครึมผิดปกติ คำพูดที่ขาดห้วง... และคำปุ่น สีหน้าเหมือนคนที่เพิ่งวิ่งหนีจากอะไรบางอย่างา
ทุกสิ่งเหมือนเงื่อนไขที่หลุดร่วงจากความจริง
มันไม่ใช่เรื่องปกติ…เกิดอะไรึ้
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??