เรื่อง เงาจันทราเหนือพสุธา
ณ ีฟากึ่ของู่เรือนไม้ บัณฑิตหนุ่มก้มศีรษะลงเล็กน้อย ขณะบรรยายเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเบื้องหน้าคือชายชราชุดดำ เคราขาวยาวสลวย รูปกายผอมสูงราวต้นไม้โบราณ เขาค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างช้าๆ ก่อนวางลงบนโต๊ะไม้ด้วยท่วงท่าที่สงบ
สายตาเขาหันออกไปยังทิศตะวันตก ดวงตะวันกำลังดับแสงลาลับยอดเขา
จู่ๆ ชายชราชุดดำก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา ดวงตาของเขาวาววับด้วยแววแห่งเล่ห์กล
“พลังแฝงของเด็กน้อยแซ่เซิน...ตาเฒ่าที่สวนสมุนไพรคงสัมผัสได้แล้วกระมัง บัดนี้คงกระวนกระวายใจเเน่เเล้ว ฮ่าๆๆ!”
เสียงหัวเราะของเขาไม่ดังนัก แต่กลับเต็มไปด้วยความขบขัน ราวกับกำลังล้อเลียนเพื่อนเก่า เหมือนจะเห็นภาพว่าตาเฒ่าผู้เย็นชาสงบคนนั่น ขณะนี้คงนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด กัดฟันแน่น พลางบ่นหงุดหงิดอยู่ในเรือนเล็กๆอย่างเเน่นอน
บัณฑิตหนุ่มคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอดมิได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเเล้วอมยิ้ม แม้เขาจะไม่กล้าหัวเราะ แต่ก็แอบคิดตามในใจว่าภาพนั้น ช่างน่าขบขันจนแทบอยากหัวเราะออกมาเสียตรงนี้
ชายชราชุดดำเห็นแววตาขบขันของบัณฑิตหนุ่มก็ส่ายหัวพลางยกถ้วยชาขึ้นีครั้ง
“เหอะ… ตาเฒ่าคนนั้น ต่อให้เเสร้งนั่งนิ่งสงบปานใด แต่หัวใจคงร้อนรุ่มไม่ต่างจากเตาไฟ ฮึ่ม… ข้าล่ะอยากเห็นนัก ว่าเขาจะอดกลั้นได้ีกี่วันก่อนจะเผยธาตุแท้ออกมา”
ว่าจบก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ท่ามกลางบรรยากาศที่คลี่คลายลง…
...
ขณะที่ดวงตะวันลับขอบฟ้าไปอย่างสมบูรณ์ แสงจันทร์เริ่มสาดส่องลงมาแทนที่ ด้านหลังเรือนไม้ของเซินหลางเหอ เด็กน้อยและบัณฑิตหนุ่มยืนเคียงกันอยู่ริมผาสูง
บัณฑิตหนุ่มหันมองทิวทัศน์เบื้องหน้า ดวงตาของเขาฉายเเววลุ่มลึก ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น
“หนุ่มน้อย…เจ้าเขียนบทกวีเป็นหรือไม่?”
เซินหลางเหอชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็เชิดหน้าเล็กน้อย ตอบด้วยความมั่นใจ
“เป็นขอรับ ข้าเคยเล่าเรียนมาก่อน”
ริมฝีปากของบัณฑิตหนุ่มคลี่ยิ้มจางๆ คล้ายยินดีที่ได้ยินคำตอบนั้น
“ดีมาก เช่นนั้น ข้าจะให้เจ้าเขียนบทกวีึ่บท…บทกวีที่สะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจเจ้า”
น้ำเสียงเขาหนักแน่น ราวกับทุกคำล้วนสำคัญ
“สิ่งที่เจ้าร่ำหา สิ่งที่เจ้าหวาดหวั่น หรือสิ่งที่เจ้าโศกเศร้า ล้วนจงปลดปล่อยลงบนแผ่นกระดาษนี้ เขียนมันด้วยหัวใจของเจ้า”
กล่าวจบ เขาคลี่แขนเสื้อออก ก่อนดึงกระดาษสีขาวเเผ่นึ่ออกมา พร้อมด้วยพู่กันและแท่นฝนหมึก
เซินหลางเหอยกมือรับไว้ ดวงตาใสจ้องมองกระดาษในมือชั่วครู่ หัวใจพลันสั่นไหวคล้ายถูกท้าทายสิ่งสำคัญ เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ได้ขอรับ!”
ทันใดนั้น เขานั่งลงบนพื้นหญ้าที่เย็นเฉียบอย่างไม่ลังเล พลางจ้องมองไปยังผาสูงเบื้องหน้า มือของเขากำพู่กันไว้แน่นราวกับกำลังจะปลดปล่อยทุกความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจออกมาในรูปแบบของตัวอักษร บัณฑิตหนุ่มมองดูเขาอยู่ครู่ึ่ ก่อนจะยกยิ้มบางพลางผสานมือไว้ด้านหลัง หันกายเดินจากไปอย่างเงียบงัน ปล่อยให้เซินหลางเหอเผชิญหน้ากับความคิดของตนเพียงลำพังภายใต้แสงจันทรา
เบื้องหน้าคือหน้าผาสูงชันทอดยาวออกสู่ความเวิ้งว้างยามราตรี ดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ทว่าดูห่างไกลจนเกินเอื้อมถึง ค่ำคืนนี้เงียบสงัด มีเพียงสายลมแผ่วเบาพัดผ่านปลายหญ้า สะท้อนเสียงครวญครางราวบทเพลงโศกเศร้าสะเทือนใจ
ร่างเล็กของเซินหลางเหอนั่งขัดสมาธิอยู่บนผืนหญ้า เขายังอ่อนวัยนัก แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความหนักแน่นเกินกว่าที่เด็กคนึ่สมควรมี ตรงหน้าของเขาคือกระดาษสีขาวสะอาดแผ่นึ่ พู่กันและแท่นฝนหมึกถูกจัดวางไว้อย่างเรียบง่าย
เขาค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้จิตใจไหลย้อนสู่ห้วงความทรงจำ ภาพบิดาถูกเรียกตัวสู่เมืองหลวง เเต่กลับจากไปไม่เคยหวนคืน... ภาพผู้คนในจวนล้มตายภายใต้คมกระบี่เเละดาบ เสียงกรีดร้องยังคงดังก้องในโสตประสาทของเขา มารดาที่ใช้ร่างเบียดผลักเขาออกไปพร้อมคำสั่งสุดท้าย “เจ้าต้องรอด” ก่อนที่ร่างนั้นจะจางหายไปท่ามกลางเปลวเพลิง จวนใหญ่ที่เคยเป็นบ้านอันอบอุ่น ถูกกลืนกินโดยไฟที่โหมกระหน่ำ กลับกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง น้ำตาไหลรินเงียบๆ ร่วงลงเปื้อนแก้มน้อยๆ ขณะที่มุมปากกลับกัดแน่นจนเลือดซึมออกมา สายตานั้นฉายแววเคียดแค้นราวเปลวเพลิงที่คุกรุ่นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
เขาค่อยๆ เอื้อมมือไปฝนหมึก เสียงหินบดดังกึกก้องในความเงียบ คล้ายสะท้อนเสียงคร่ำครวญในอดีต ฝนแล้วฝนเล่า จนหยาดหมึกดำสนิทหยดลงมาอย่างช้าๆ ดุจน้ำตาที่ไม่อาจเหือดแห้ง
ปลายพู่กันจรดลงบนกระดาษสีขาว คำแรกถูกบรรจงลากขึ้นด้วยมืออันสั่นเทา แต่ละอักษรคมชัดราวกับเลือดที่สลักลงบนหิน ทุกถ้อยคำคือเงาแห่งความทรงจำ ทุกประโยคคือเสียงร่ำไห้และคำสาบานอันลึกซึ้ง
ขณะที่อักษรแรกถูกบัันทึกลงบนกระดาษ ท้องฟ้าเบื้องบนก็แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน เสียงลมที่เคยแผ่วเบา กลับหนักขึ้นราวกับคำร่ำไห้ของวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่กลางหาว เมฆดำหนาทะมึนเบียดเสียดกันปกคลุมท้องฟ้า ดวงดาวซึ่งเคยทอแสงระยิบระยับพลันถูกกลืนหายไปในความมืดมิด
เสียงฟ้าคำรามดังก้องสะท้อนในหุบเขา ฝนเม็ดแรกกระทบปลายหญ้า ดัง “ติ้ง” เสียงนั้นใสชัดท่ามกลางความเงียบ ตามด้วยเม็ดที่สอง ที่สาม ก่อนกลายเป็นม่านสายฝนที่เทลงมาอย่างไม่ขาดสาย กลิ่นดินชื้นโชยขึ้นแตะจมูก ซึมซาบลึกสู่ผิวกายด้วยความเย็นฉ่ำ
เม็ดฝนกระแทกไหล่เล็กๆ ของเด็กน้อย ซึมผ่านเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม เสียง “แปะ แปะ แปะ” ของหยดน้ำกระทบลงบนแผ่นกระดาษดังชัดเจน เขาจึงยกสองมือปกป้องมันไว้แนบอก ราวกับสมบัติอันล้ำค่าที่แม้ว่าโลกทั้งใบจะพังทลายก็ไม่ยอมให้มันสูญหาย
สายฝนโหมแรงขึ้นเป็น-่าพายุ ผมเผ้าดำขลับของเขาเปียกชุ่มจนร่วงหล่นติดกรอบหน้า น้ำไหลหยดจากปลายคางหยดแล้วหยดเล่า แต่แววตาของเขากลับไม่ไหวเอน เขายังคงบรรจงวางกระดาษลงตรงหน้า จรดปลายพู่กันต่อไปด้วยมือที่สั่นระริก ทุกลมหายใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ถูกกลั่นออกมาเป็นอักษร
และในห้วงเวลาที่โลกทั้งใบกำลังคร่ำครวญ ร่างงดงามในชุดสีชมพูอ่อนก้าวออกจากความมืดมิดของม่านฝน ฝีเท้าของนางแผ่วเบาดุจสายลม นางมิได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด เพียงกางร่มคุ้มเหนือศีรษะเด็กน้อย ปล่อยให้หยาดฝนชโลมร่างตนเองแทน เงาของนางทอดลงบนร่างของเซินหลางเหอ ดวงตาคู่นั้นฉายแววเวทนาอันลึกซึ้งราวหยั่งถึงก้นบึ้งของหัวใจ
เด็กน้อยยังคงเขียนต่อไป แม้หยาดฝนโปรยกระหน่ำมิขาดสาย แต่ละเส้นลายอักษรกลับคมชัดดุจปลายเข็มที่ตรึงลงในวิญญาณ ทุกตัวอักษรล้วนบรรจงเขียนด้วยความเจ็บปวดที่ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ
ปลายพู่กันลากผ่านกระดาษดัง ฟึ่ด ฟึ่ด ความทรงจำแต่ละภาพผุดขึ้นในห้วงคำนึงพร้อมกับเส้นหมึกที่กำลังถูกสลักลง
มือเล็กสั่นระริก น้ำตาที่ไหลรินหยดลงบนกระดาษผสมกับหมึกดำ เกิดเป็นรอยเลอะกระเซ็นเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ยกมือขึ้นเช็ด มิหนำซ้ำยังฝืนเขียนต่อไปอย่างแน่วแน่ ราวกับจะสลักความทรงจำและความแค้นลงบนโลกนี้ให้คงอยู่ชั่วกาล
ทุกถ้อยคำที่ขีดเขียนลงไป ดุจคำสาบานจากวิญญาณของตระกูลที่เฝ้ามองจากเบื้องหลัง ทุกวรรคตอนหนักแน่นราวกับแบกรับเสียงร่ำไห้ของผู้ล่วงลับนับร้อย ปลายพู่กันนั้นจึงมิใช่เพียงเครื่องมือ หากแต่เป็นเลือดเนื้อและหยาดน้ำตาของเขาที่กลั่นออกมาเป็นตัวอักษร
จนกระทั่งตัวอักษรตัวสุดท้ายใกล้สมบูรณ์ เด็กน้อยกัดฟันแน่น หัวใจพลันเต้นแรงประึ่จะทะลุอกออกมา เขาสูดลมหายใจสั่นเทาครั้งึ่ ก่อนลงเส้นสุดท้ายบนแผ่นกระดาษอย่างบรรจง
ปลายพู่กันค่อยๆยกขึ้น อย่างช้าๆ ราวกับจะปิดฉากแห่งชะตากรรม เมื่ออักษรตัวสุดท้ายปรากฏบนกระดาษสีขาว เด็กน้อยปล่อยลมหายใจออกมาอย่างหนักอึ้ง น้ำตายังคงเอ่อคลอขอบตา
ทันใดนั้น! สายฟ้าฟาดผ่าลงกลางเวหา เสียงดังก้องสะเทือนดุจความพิโรธของพระเจ้า สายฝนพลันเทกระหน่ำแรงขึ้นีเท่าราวกับน้ำตาแห่งฟ้าดินที่ร่ำไห้ต่อความสูญเสีย ต้นไม้ใหญ่ริมหน้าผาโอนเอนราวจะล้มครืน เสียงลมโหมพัดประึ่เป็นเสียงคำรามแห่งวิญญาณผู้ล่วงลับ
ทว่าท่ามกลางความโกลาหลของธรรมชาติ ร่างเล็กนั้นกลับนั่งนิ่ง กอดกระดาษที่เปื้อนหมึกแนบอกไว้แน่น เขามิได้ครั่นคร้ามต่อเสียงฟ้าร้อง มิได้สะทกสะท้านต่อฝน-่าหนัก สองดวงตากลับเบิกกว้าง มองไปยังผืนฟ้า ราวจะประกาศให้ฟ้าดินทั้งปวงเป็นพยานต่อคำสัตย์สาบานที่เพิ่งถูกเขียนลง
ใต้ร่มที่อวี๋เยว่ฉีกางให้นั้น ความเงียบงันแผ่ซ่าน มีเพียงเสียงฝนและเสียงลมหอบหวนก้อง บทกวีบนกระดาษเปียกหมึกยังคงชัดเจนดุจลวดลายแห่งโชคชะตา
“เถ้าถ่านลุกโชน เผาผลาญตระกูลสิ้น
เสียงร้องโหยหวน ลมพัดสวนมิขาดสาย
หยาดน้ำตาึ่หยด ก่อเปลวเพลิงในดวงใจ
วันึ่คมดาบชโลมเลือด ฟ้าดินสั่นสะเทือน!”
บัดนั้นทั้งสวรรค์และปฐพีดูเงียบงัน ราวกับหยุดฟังเสียงสาบานของเด็กน้อย ฟ้าร้องครั้งสุดท้ายสะท้อนก้องในหุบผา ราวกับโลกได้รับรู้ว่า หนี้เลือดครั้งนี้มิอาจถูกลืมเลือน!
ใต้เงาร่มที่กางคุ้มหยาดฝนให้เซินหลางเหอ ร่างของอวี๋เยว่ฉีสั่นไหวเล็กน้อย น้ำฝนกระเซ็นเปื้อนปลายผมดำขลับ นางนิ่งเงียบไร้ถ้อยคำ สีหน้าสงบเยือกเย็น ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา
นางเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ราวกับไม่อยากให้เขาเห็นหยาดน้ำตาที่รินไหล ริมฝีปากเม้มแน่นจนซีดขาว ปลายนิ้วที่กำด้ามร่มสั่นระริก เผยถึงความพยายามกลั้นสะอื้นไว้ในอก หัวใจของนางราวถูกบีบรัดจนเจ็บแปลบ ทว่านางเลือกที่จะนิ่งเงียบ เพราะรู้ดีว่าในยามนี้ ไม่มีคำปลอบโยนใดจะทดแทนความสูญเสียและคำสาบานที่เพิ่งสลักลงบนกระดาษแผ่นนั้นได้
นางจึงยืนเคียงข้างอย่างเงียบๆ ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไปกับสายฝน มือที่กางร่มสั่นเทา ทว่าแววตากลับแน่วแน่ราวจะบอกว่า
“หากเจ้าเลือกเส้นทางนี้ ข้าจักอยู่เคียงข้าง แม้หนทางเบื้องหน้าจะเป็นทะเลเพลิงก็ตาม!”
หยาดฝนร่วงกระทบพื้นราวเสียงสะอื้นของผืนดิน ขณะที่ความเงียบระหว่างทั้งสองดังก้องยิ่งกว่าพันเสียงร่ำไห้ในยามราตรี เป็นความเข้าใจ ความผูกพัน และความสิ้นหวังที่ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมา
เสียงฝนยังคงโปรยไม่หยุด ราวกับสายน้ำแห่งความทรงจำที่ไหลรินไม่ขาดสาย
เซินหลางเหอวางพู่กันลงอย่างช้าๆ สายตายังคงจับจ้องตัวอักษรที่เขาบรรจงจารึกด้วยหัวใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ท่านอา… ข้าเขียนเสร็จแล้วขอรับ”
ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ ร่างสูงในชุดบัณฑิตค่อยๆ ก้าวออกจากความมืดดุจเงาที่เฝ้ามองอยู่ตลอดทั้งคืน เขาก้าวฝ่าหยาดฝนทีละก้าว โดยไม่สนใจน้ำที่ซัดสาดเปียกชุ่มร่าง ทุกย่างก้าวยังคงมั่นคงและสง่างาม
สายตาของเขาเหลือบมองเด็กน้อยที่เปียกปอนและหญิงสาวที่ยืนกางร่มปกป้องอย่างเงียบงันข้างกัน ดวงตาของบัณฑิตหนุ่มฉายแววลึกล้ำยากหยั่งถึง
เขาหยุดยืนตรงหน้ากระดาษแผ่นนั้น ก้มลงหยิบมันขึ้นมาด้วยความระมัดระวังราวกับเป็นของล้ำค่า พร้อมเก็บพู่กันและแท่นฝนหมึกอย่างพิถีพิถันทีละชิ้น ชั่วขณะนั้น เขายกมือขึ้น ลูบศีรษะเซินหลางเหอเบาๆ
เสียงทุ้มหนักแน่นเปล่งออกมาชัดเจน
“เจ้าเก่งมาก... คืนนี้ พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้าีครั้ง”
เพียงถ้อยคำสั้นๆ แต่เปี่ยมด้วยน้ำหนักแห่งคำมั่นสัญญา ราวกับอนาคตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงรออยู่เบื้องหน้า เด็กน้อยมองตามเขา เเม้ดวงตาจะยังแดงก่ำด้วยน้ำตา แต่ก็ฉายเเววแห่งความมุ่งมั่นออกมา
บัณฑิตหนุ่มหมุนกายกลับ ก้าวออกจากร่มเงาของสายฝนโดยไม่หันมองหลัง ร่างสูงค่อยๆ จมหายไปในม่านฝนดุจเงาที่เลือนราง ทว่ากลิ่นอายแห่งความหนักแน่นยังคงทิ้งร่องรอยชัดเจนในใจของผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
เเม้เสียงฝนยังโปรยปรายไม่ขาดสาย แต่ในขณะนั้น ท้องฟ้าทั้งผืนราวกับสงบนิ่ง เพื่อโอบรับเด็กน้อยสู่ค่ำคืนแห่งการพักผ่อน ก่อนที่พายุลูกใหม่จะเริ่มก่อตัวในยามรุ่งสาง...
*ตอนหน้าขอติดเหรียญนะครับ*
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??