เรื่อง Short Erotic
อีกาวัน้ส่งโปรเจควิชาเลือกแล้วงานของฉันยังไม่คืบหน้าเลยสักนิด เพราะมัวแต่วุ่นแก้วิชาอื่นนั่นแหละเลยไม่ได้ทำโปรเจคสักที
หยิบกระเป๋าเป้ใส่โน๊ตบุ๊คสะพายหลังเดินตรงขึ้นชั้นลอยของตึกเรียน เพราะชั้นลอยมันเงียบสงบลมก็พัดเข้าทำให้อากาศเย็นตลอดทั้งวันแต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีคนขึ้นมาใช้ ทำให้เวลาว่างๆ ฉันมักจะขึ้นมานั่งพักนั่งทำงานที่นี่อยู่เสมอ
ลิฟต์ถึงชั้นลอยเดินต่อขึ้นมาอีกหน่อยก่อนจะเข้าไปยังลานชั้นลอย เดินตรงไปยังมุมลานชั้นลอยที่ประจำ แต่ขณะที่กำลังจะวางกระเป๋าสายตาก็ดันเหลือบอะไรดำๆ ในหลืบซอยทำเอาฉันตกใจจนเผลอกรี๊ดออกมา
“กรี๊ด!!”
“ใจเย็น นี่คน”
เสียงทุ้มเข้มเล็ดลอดดังออกมาจากหลืบซอย คนหรอ คนใช่มั้ยนั่น ด้วยความสงสัยเลยค่อยๆ ย่องเดินไปดูก่อนจะเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง
ขาเรียวสวมกางเกงสแลคสีดำรองเท้าคอนเวิร์สสลับดำขาว เสื้อนักศึกษาแขนสั้นกับหมวกแก๊ปที่ปิดใบหน้าอยู่
“ข-ขอโทษที่มารบกวนนะคะ งั้นเดี๋ยวหนูไป-”
“ไม่้”
ชายคนนั้นยันตัวลุกนั่งพร้อมกับหยิบหมวกแก๊ปออกจากใบหน้าเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเข้มออกแนวดุดันกลับดวงตาสวยที่ดูเหมือนง่วงตลอดเวลา แต่เอาง่ายๆ เขาหล่อ และถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเป็นเพื่อนแก๊งเดียวกันกับพวกพี่โยด้วย
“? มองไร” รุ่นพี่คนนั้นเลิกคิ้ว “ป่าวค่ะ ไม่มีไร”
“อือ” ตอบรับเสร็จรุ่นพี่คนนั้นก็เอนตัวกลับไปนอนดังเดิมปล่อยให้ฉันได้แต่ยืนเอ๋องงงวยกับตัวเอง
สรุปคือฉันยังทำงานที่ต่อได้ใช่มั้ย พี่เขาจะไม่มาไล่ฉันทีหลังใช่มั้ย ยืนตบตีกับความคิดของตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจนั่งทำงานต่อ ทำงานก่อนล่ะกันพี่เขาคงไม่มาไล่ฉันหรอกนะ เพราะยังไงที่นี่ก็ที่ส่วนรวมอยู่แล้ว
นั่งทำงานไปอยู่พักใหญ่โปรเจคที่ทำมันค่อนข้างยากแม้จะใช้ Chat gpt ช่วยก็ช่วยไม่ได้มากเท่าที่ควร
“เฮ้อ~ทำไงดีเนี่ย” หนังสือในห้องสมุดก็ไม่มีด้วยจะถามใครได้ล่ะเนี่ย
ขณะที่กำลังตบตีกับความคิดตัวเองสายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่นอนอยู่ในหลืบ จะว่าไปพี่คนนั้นเขาก็เรียนสาขาเดียวกับฉันนี่ ถ้าฉันไปขอให้เขาช่วยเขาจะช่วยดีมั้ยนะ
“เอ่อ…ขอโทษนะคะ” มือหนาของเขาแง้มหมวกแก๊ปออกเล็กน้อยเผยให้เห็นดวงตาคมดุพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เพื่อนพี่โยแต่ละคนทำไมถึงได้น่ากลัวกันนักนะ ไม่เข้าใจจริงๆ
“คือ หนูจะรบกวนขอปรึกษาเรื่องโปรเจควิชาสถิติหน่อยค่ะ แต่ถ้าพี่ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ” รุ่นพี่ทำหน้านิ่งก่อนจะตบที่ว่างข้างๆ เป็นเชิงเรียกให้ไปนั่ง
“ขอบคุณค่ะ” รีบยกข้างของเขยิบตัวเองไปนั่งข้างเขา นึกว่าพี่เขาจะรังเกียจเสียอีก แต่อย่างน้อยก็ได้ตัวช่วยทำโปรเจคล่ะนะ
“สอนตรงไหน”
“คะ?” รุ่นพี่หันมองด้วยสายตานิ่งเรียบ พอมานั่งใกล้ๆ ทำให้เห็นดีเทลรายละเอียดบนใบหน้าได้อย่างชัดเจนและใกล้กว่าเดิมเสียอีก
ใบหน้านิ่งออกจะหยิ่งนิดหน่อย จมูกตาปากได้รูปนับพอดีกับใบหน้าคมชัด ผมสีดำสนิทยมยาวกลางๆ ดูยุ่งๆ แต่มันกลับทำให้เท่ขึ้นมาแบบจนน่าสงสัย
“มองไร” เสียงของอีกคนเรียกสติให้กลับมาโฟกัสตรงหน้าพบว่าพี่เขากำลังจ้องฉันกลับเหมือนกัน
“ขะ-ขอโทษค่ะ เมื่อกี้พี่ถามว่าอะไรนะคะ”
“จะถามเรื่องอะไร”
“อ๋อ การสรุปสถิติกับการหาข้อมูลมาเปรียบเทียบค่ะ”
“เปิดดิ”
“ค่ะๆ” ชักเริ่มจะเกร็งๆ ขึ้นมาแล้วสิ นี่ฉันคิดถูกใช่มั้ยที่มาขอให้พี่เขาสอนเนี่ย
นั่งทำโปรเจคไปไม่รู้กี่ชั่วโมงแต่ความคืบหน้าตอนนี้อีกไม่กี่บทก็เสร็จแล้ว พี่เขาสอนดีมากถึงแม้ตอนที่สื่อสารพี่เขาจะตอบไม่เต็มคำแบบประโยคขาดๆ บ้างแต่รวมๆ แล้วสอนละเอียดยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก
ลืมบอกไปว่าพี่เขาชื่อริท เป็นเพื่อนแก๊งเดียวกับพี่โยนั่นแหละ นิสัยของเขาจากที่ได้คุยคือเขาเป็นคนขี้เกียจ ขี้เกียจพูดขี้เกียจนู่นนี่นั่น ขนาดเมื่อกี้พี่แบล็คโทรมาให้ไปช่วยเข็นรถเขายังขี้เกียจเลย แต่พอเอาขนมมาล่อพี่ริทกลับยอมง่ายๆ ซะงั้น
ดูไปพี่ริทก็มีนิสัยเหมือนเด็กนะ ขี้เซา ขี้เกียจแล้วก็ชอบกินเอามากๆ เดี๋ยวไว้คราวหน้าถ้าเจอเขาอีกค่อยเลี้ยงข้าวก็แล้วกัน
“พี่ริทจะไปหาพี่แบล็คแล้วใช่มั้ยคะ”
“อืม มันดุ” มันดุคงหมายถึงพี่แบล็คชอบดุสินะ ฉันเข้าใจเพราะขนาดฉันที่พึ่งรุ้จักเขาได้ไม่เท่าไหร่เจอหน้ากันวันแรกก็ดุฉันซะแล้ว
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ไว้คราวหน้าหนูขอเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนนะคะ”
“อืม เอาเซ่นส์”
“คะ?”
“เอาสเวนเซ่นส์”
“อ๋อ จะกินสเวนเซ่นส์ใช่มั้ยคะ ได้ค่ะ ครั้งหน้าเดี๋ยวหนูเลี้ยงนะคะ”
“ขอบใจ” นัดแนะเสร็จพี่ริทก็ลุกออกไปไม่รอให้ฉันบอกลาหรืออะไรเลยสักนิด ช่างเป็นคนที่แปลกจริงๆ เมื่อกี้ก็เกือบจะคุยรอบเรื่องไปทีละ เอาเถอะ อย่างน้อยงานฉันก็เกือบเสร็จล่ะนะ
เสร็จงานก็จัดการเก็บของลงลิฟต์ ลงมาจนถึงชั้น 5 ประตูลิฟต์เปิดออกให้ฉัน้เงยหน้ามอง
“ไง เจอกันอีกแล้วนะ” ได้ไงอ่ะ ทำไมพี่แบล็คมาอยู่ที่นี่อ่ะ “ตกใจรึไงที่เป็นฉัน”
กำสายสะพายแน่นเขยิบตัวติดมุมลิฟต์ “พี่แบล็ค…รถเสียอยู่ไม่ใช่หรอคะ ทำไมถึง…”
“ก็ให้ไอ้ริทไปดูแล้วไง อีกอย่างนี่มันก็ตึกเรียนฉันทำไมฉันจะขึ้นไม่ได้ ไม่ได้มีป้ายติดสักหน่อยว่าห้ามขึ้น”
ได้แต่เม้มปากเงียบ เจอกี่ครั้งพี่แบล็คก็ยังปากร้ายเหมือนเดิม เกร็งชะมัด เมื่อไหร่จะถึงชั้น 1 สักทีเนี่ย อยากออกจากลิฟต์จะแย่แล้ว ฮือ~
กึง!!!
“กรี๊ด!” จู่ๆ ตัวลิฟต์ก็เกิดโยกแรงราวกับโดนกระชากแถมยังมีเสียงกึงดังลั่น แล้วด้วยความตกใจทำให้ฉัน้ที่เกาะ
รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองไปเกาะแขนคนข้างๆ เสียแล้วก่อนจะรีบชักมือออก “ขอโทษค่ะ หนูตกใจไปหน่อย”
พี่แบล็คไม่ตอบอะไรเพียงแค่เหลือบมองหลุบต่ำก่อนเดินไปที่แผงปุ่ม พี่แบล็คง่วนอยู่กับปุ่มฉุกเฉินอยู่พักนึงก่อนจะต่อยแผงปุ่มแรงจนมันยุบพร้อมกับจิ๊ปากอย่างอารมณ์เสีย
“shit!! มาเสียอะไรตอนนี้วะ”
“จะไม่ให้เสียได้ไงก็เล่นทุบจนบุบซะขนาดนั้น”
“ว่าไงนะ?” ถึงกับ้รีบยกมือปิดปากพร้อมกับหันหนีเพื่อหลบสายตาที่จ้องมาราวกับจะฆ่ากัน
“ปะ-เปล่าค่ะ” เกือบแล้ว ฉันว่าฉันพูดเบาแล้วนะทำไมได้ยินได้ล่ะเนี่ย จะหูดีเกินไปแล้วนะ
“มึงอยู่ไหน ลิฟต์ มึงไปเรียกช่างมาดิลิฟต์ค้าง อยู่ระหว่างชั้นากับสี่ เออเร็วๆ” พี่แบล็คยืนคุยโทรศัพท์อยู่ครู่ก่อนจะวางสายไป คงเป็นเพื่อนเขาแหละ หวังว่าเพื่อนเขาจะมาช่วยเร็วๆ นะ ไม่ใช่อะไร ไม่อยากอยู่กับพี่แบล็คนาน มันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก
นั่งรอความช่วยเหลือโดยที่มีความเงียบปกคลุมไปทั่วลิฟต์ ฉันกับพี่แบล็คไม่ได้คุยอะไรกันเลย คงเพราะฉันไม่อยากจะคุยกับเขาแล้วก็เขาก็ไม่อยากจะคุยกับฉันด้วย
“นี่”
“คะ?”
“ได้กับไอ้โยแล้วหรอ” ประโยคของรุ่นพี่คนข้างๆ ทำเอาฉันถึงกับเลิ่กลั่กตอบไม่ถูก ถ้าฉันตอบไปตรงๆ เขาจะรังเกียจฉันมั้ย ฉันจะไปทำให้เขาทะเลาะกับเพื่อนรึเปล่า
“เงียบทำไม ถามก็ตอบดิ”
“อะ-เอ่อ…ค-ค่ะ” สุดท้ายก็ตอบไป มันล่กอ่ะ ฉันกลัวว่าถ้าไม่ยอมตอบเขาจะไปเค้นกับพี่โยแทน แล้วก็กลัวว่าจะทำให้เขาทะเลาะกัน
ลอบถอนหายใจพลางเหลือบมองคนข้างตัว พี่แบล็คแค่นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะสบถออกมา “กูว่าล่ะ”
ฉันว่าจากนี้เขาจะรังเกียจฉันมากกว่าเดิมแน่ๆ เพราะแค่ที่ผ่านมาเขาก็รังเกียจฉันจะแย่อยู่แล้ว
พรึ่บ!!
จู่ๆ ไฟในลิฟต์ก็ดับลงเหลือเพียงแค่เงารางๆ ของแสงไฟฉุกเฉินบนแผงปุ่มที่สลัวจนเกือบจะดับ
“เหี้ยอะไรอีกเนี่ย” เงาร่างโปร่งสูงเดินตรงไปที่แผงปุ่มก่อนพี่แบล็คจะเปิดไฟฉายจากมือถือทำอะไรสักอย่างที่แผงปุ่มพร้อมกับกดพิมพ์อะไรสักอย่างก่อนจะชกกำแพงลิฟต์แรงจนรับรู้ได้ถึงแรงแกว่ง
“แม่งเอ้ย!! สัญญาณก็ไม่มี เวรจริง!”
“สะ-สัญญาณไม่มีหรอคะ” ฉันรีบหยิบมือถือในกระเป๋ากระโปรงขึ้นมาเช็คดูพบว่าสัญญาณมือถือขึ้น ‘No Signal’
“แบบนี้ก็ติดต่อใครไม่ได้สิ”
ก้อนเนื้อในอกเริ่มเต้นแรง อากาศภายในลิฟต์ก็ค่อยๆ ร้อนขึ้นจนอยากจะถอดชุดออก มือที่กำสายสะพายสั่นเทาไม่หยุด ดวงตาเริ่มพร่ารู้สึกเวียนหัวจนอยากจะอ้วก
“เฮ้” สัมผัสอุ่มๆ ที่แก้มคงเป็นมือของพี่แบล็คที่แนบแก้มฉันอยู่ ภาพของคนตรงหน้าที่เบลอจน้พยายาหรี่ตามอง เดี๋ยวก่อน ทำไมตัวพี่แบล็คโยกล่ะ ลิฟต์โยกหรอ
“ลิฟต์…โยก หรอคะ”
“โยกบ้าอะไร นี่เธอไหวป่ะเนี่ย” รู้สึกเหมือนมีอะไรมาตบๆ ที่แก้ม พี่แบล็คตบแก้มฉันหรอ เบาจัง
“หนู…ง่วง”
“อย่าหลับนะเว้ย แม่งเอ้ย!! เมื่อไหร่จะมากันวะเนี่ย!!”
“หนู…ขอนอน…ก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวดิ อย่างพึ่งหลับ” มีแรงตบที่แก้มเป็นระยะก่อนดวงตาทั้งสองข้างของฉันจะปิดลง ไม่สนแล้ว ง่วงมาก ถึงอากาศจะร้อนไปหน่อยแต่ขอนอนก่อนล่ะกัน
“shit!!”
อีกด้านหนึ่งฝั่งหน้าอาคารที่กำลังวุ่นวายไม่ต่างกัน โฟลทหนึ่งในแก๊งเพื่อนของแบล็คที่กำลังวุ่นวายกับตามหาช่างมาช่วยเพื่อนที่ติดอยู่ในลิฟต์
“ทำไมช่างไม่มาสักทีวะเนี่ยนานแล้วนะเฮ้ย เพื่อนกูจะตายอยู่แล้วนะ”
“เขาบอกว่าช่างไปช่วยคนติดลิฟต์ที่ตึกหลักอยู่”
“เวรเถอะ! แล้วทั้งมหาลัยมันมีช่างแค่ทีมเดียวรึไง”
“อือ”
“fuck!!!!” คำตอบของเพื่อนริททำเอาโฟลทอยากจะเอาหัวโขกกำแพง “มาลิฟต์อะไรวันเดียวกันเนี่ย กูจะบ้า!”
“ไม่้รอช่างแล้ว งัดกันเองเลย” โยที่เดินมาพร้อมกับธินเพื่อนในแก๊งอีกหนึ่งคน “กูตัดไฟลิฟต์แล้ว พวกมึงมาช่วยกูเปิดลิฟต์ดิ”
ธินเดินนำใช้กุญแจลิฟต์ที่ไปขอจากรปภ.ทำการเปิดประตูลิฟต์ หลังจากเปิดประตูลิฟต์ออกสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นก็ถึงกับ้คิ้วขมวดไปตามๆ กัน เพราะตัวลิฟต์แทนที่มันจะค้างอยู่ตรงชั้นแต่มันกลับไปค้างตรงระหว่างชั้นแทน
“ชิบ! แล้วจะช่วยไอ้แบล็คยังไงวะเนี่ย”
“กระโดลงไปได้มั้ย” โฟลทยื่นมือไปโบกหัวเพื่อนริทไปที “มึงจะบ้าเรอะ! ได้ตายก่อนไปช่วยมันอ่ะดิ”
“เอาดีวะ” ระหว่างที่ทุกคนกำลังพิจารณาหาทางช่วยเพื่อนจู่ๆ เพดานด้านบนของตัวลิฟต์ก็ถูกดันออกก่อนคนด้านในจะค่อยๆ ปีนออกมา
“นั่นไอแบล็คป่ะ”
ทุกคนหันไปมองยืนพิจารณาอยู่ครู่ก่อนจะมีเสียงห้าวตะโกนขึ้นมา “ยืนดูทำเตี่ยอะไร มาช่วยกูดิ!”
“ไอ้เชี่ย จริงด้วย”
“มึงปีนขึ้นมาได้มั้ย เดี๋ยวกูหน่อยเชือกเซฟตี้ให้” ธินตะโกนกลับไป “เออ!! แต่ขอเชือกเพิ่มด้วยเพราะกู้แบกยัยเด็กนี่ขึ้นไปด้วย”
ทุกคนพากันหันมองร่างที่นอนอยู่บนพื้นเพดานลิฟต์ข้างแบล็ค ทั้งโฟลททั้งโยต่างรู้ได้ทันทีว่าร่างนั้นเป็นนานา ต่างกับธินที่ไม่รู้จักเลยไม่รู้ส่วนริทพยายามหรี่ตามองแล้วแต่ก็ดูไม่ออกเพราะไม่เห็นหน้า
“เชือกอย่างเดียวจะไหวเหรอวะ” โฟลทถามด้วยความเป็นห่วง นึกสภาพแบล็คที่้แบกร่างหมดสติของนานา
“้ไหวแหละ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” ธินกัดฟันตอบ มองลงไปในช่องลิฟต์ที่มืดสนิท
“เดี๋ยวกูช่วยผูกเชือกให้” โยเสนอตัว เขาโยนเชือกอีกเส้นลงไปให้แบล็คด้านล่างเพื่อนำไปคล้องรอบตัวนานา แบล็คประคองร่างเธอขึ้นมาจากนั้นก็เริ่มพันเชือกให้แน่นหนาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มั่นใจว่านานาจะไม่หลุดระหว่างที่ถูกดึงขึ้นไป
“มึงเอาเชือกไปผูกกับเสาตรงนั้นให้หน่อยทำเป็นรอกจะได้ทุ่นแรงได้” ธินส่งปลายเชือกอีกด้านให้โฟลทกับริทเพื่อให้นำไปมัดกับเสาสำหรับ “เรียบร้อย”
แบล็คค่อยๆ ขยับตัวเพื่อเช็ค นานาที่ถูกมัดอยู่ด้านหลังก็ยังคงแน่นดี
“กูพร้อมล่ะ” แบล็คตะโกนบอกเพื่อนๆ ด้านบน
ธินหันไปส่งสัญญาณให้เพื่อนก่อนจะเริ่มลงมือดึงเชือก
แบล็คสูดหายใจลึกๆ แล้วเริ่มปีนป่ายขึ้นไปตามเชือกอย่างช้าๆ ทีละนิดๆ เพื่อนๆ ด้านบนช่วยกันดึงเชือกอีกเส้นที่ผูกกับตัวแบล็ค เพื่อช่วยผ่อนแรงและประคองไม่ให้เขาแกว่งไปมา
การปีนป่ายเป็นไปอย่างยากลำบาก แบล็ค้ใช้พละกำลังอย่างมากในการแบกร่างของนานาไปด้วย เหงื่อเริ่มไหลท่วมตัว เขากัดฟันแน่น พยายามมองขึ้นไปข้างบนเพื่อหาจุดยึดเหนี่ยว
จังหวะที่กำลังจะถึงจุดหมายจู่ๆ แบล็คก็รู้สึกถึงแรงกระตุกวูบหนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองลงไปในที่ใต้เท้าด้วยหัวใจที่เต้นรัว ภาพที่เห็นคือสลิงหนาของตัวลิฟต์ขาดสะบั้นไปส่วนหนึ่ง ห้อยร่องแร่งอยู่เหนือศีรษะเขาเพียงไม่กี่เมตร เสียงโลหะครูดกันดังสนั่นก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ความหวาดกลัวแล่นริ้วไปทั่วร่าง แต่เขาก็พยายามตั้งสติ คว้าเชือกให้มั่นคงยิ่งขึ้นก่อนจะปีนขึ้นต่อ
“สลิงลิฟต์ขาดหรอ” พอได้ยินเสียงดังผิดปกติทุกคนก็หน้าซีดเผือดจนถึงกับหยุดดึงเชือก “รีบดึง เดี๋ยวเชือกมันจะขาด” ธินหันไปบอกเพื่อนที่กำลังยืนช็อคเพื่อดึงสติก่อนจะรีบออกแรงดึงเชือกสุดกำลังที่มี หวังจะช่วยให้เพื่อนพ้นจากอันตรายโดยเร็วที่สุด
แม้ทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขาจะเจอเรื่องคอขาดบาดตายมากมาก็ตามแต่พอ้กลับมาเจอเรื่องแบบนี้อีกครั้งมันก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน
แบล็คกัดฟันปีนต่ออย่างไม่คิดชีวิต ภาพสลิงที่ขาดยังคงติดตา หากเชือกที่ผูกตัวพวกเขาอยู่เกิดขาดขึ้นมา พวกเขาคงร่วงลงไปในความมืดมิดเบื้องล่างอย่างแน่นอน
ในที่สุดก็พ้นจากช่องลิฟต์ เพื่อนๆ รีบดึงเขาขึ้นมาบนพื้นอย่างทุลักทุเลพร้อมกับร่างของนานาที่ยังคงสลบอยู่
เมื่อขึ้นมาถึงพื้นได้อย่างปลอดภัย แบล็คก็ทรุดตัวลงนั่งหอบหายใจอย่างหนัก เหงื่อไหลท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่มก่อนจะรีบคลายนานาออกจากตัวแล้ววางเธอลงบนพื้นอย่างเบามือ
“มึงยังไม่ตายใช่มั้ยเพื่อน” โฟลทรีบเข้ามาดูอาการของเพื่อนพร้อมกับจับตัวหมุนไปหมุนมาจนแบล็ค้ปัดมืออก “ถ้าตายตอนนี้กูคงเป็นวิญญาณที่กำลังคุยกับมึงอยู่มั้ง พูดมาได้”
"ชีพจรเบามาก หายใจแผ่วๆ" ธินด้วยสีหน้ากังวลขณะที่กำลังตรวจเช็คร่างกายนานา “้รีบพาเธอไปโรงพยาบาล”
“รถกำลังมาแล้ว อีกไม่เกินห้านาที” โยพูดขึ้นก่อนจะนั่งยอง แบล็คที่นั่งหอบอยู่กับพื้นมองไปยังเพื่อนชายที่กำลังเอื้อมมือไปปัดเส้นผมที่ร่วงปรกหน้าสวยของนานาด้วยสายตานิ่งเรียบ
“กูขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยวะ” หันไปมองโฟลทที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้าง “อะไร”
“ไอ้โยด้วยหรอ”เขาารู้ประโยคที่โฟลทจะสื่อมันหมายความว่าไง “เออ”
“เชี่ย จริงดิ”
ในระหว่างที่แบล็คกับโฟลทคุยเรื่องความสัมพันธ์ของโยกับนานา ธินกับโยที่กำลังดูแลนานาที่สลบระหว่างรอรถพยาบาล ริทก็ยืนมองนานาด้วยความตกใจและเป็นห่วง หลังจากที่เห็นหน้าเธอชัดๆ เพราะใครจะไปคิดว่ารุ่นน้องที่พึ่งเจอเมื่อตอนสายดันมาติดอยู่ในลิฟต์กับเพื่อนตัวเองแถมดูเหมือนทั้งทุกคนยกเว้นเขากับธินจะรู้จักเธอด้วย
“แล้วนานาไปอยู่กับมึงได้ยังไง” โฟลทถามด้วยความสงสัย “กูจะไปรู้มั้ยล่ะ มึงนี่ขี้เสือกจริง”
“เอ้า ไอ้-่านี่ รู้งี้น่าจะปล่อยให้ตกตายซะก็ดี”
“ถ้ามึงปล่อยกูตายยัยเด็กนั่นก็ตายด้วยนะ อย่าลืม”
“ไอ้…”
จังหวะเดียวกันรถพยาบาลก็มาพอดีทำให้การตีกัน้พับไปก่อน เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบลงจากรถพร้อมกับเปล โฟลท ธิน และโย ช่วยกันประคองนานาขึ้นเปลอย่างระมัดระวัง เจ้าหน้าที่รีบนำตัวเธอขึ้นรถเพื่อนำส่งโรงพยาบาล
แบล็คมองตามรถพยาบาลด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบที่มือข้างที่จับเชือกปีนขึ้นมา เขาเห็นว่าฝ่ามือแดงเถือกและมีรอยถลอกหลายแห่ง ธินที่สังเกตเห็นจึงรีบหยิบขวดน้ำและผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ามาทำความสะอาดและพันแผลให้แบล็คอย่างรวดเร็ว
“ฝากพวกมึงไปกับยัยเด็กนั่นหน่อย กูจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วเดี๋ยวตามไป” แบล็คบอกธินและริท
ธินพยักหน้า “เออๆ รีบตามไปนะ”
“กูไปด้วย-” โฟลททำท่าจะเดินตามเพื่อนไป แต่แบล็คคว้าแขนเขาไว้เสียก่อน “จะไปไหนมึง้อยู่กับกู” แบล็คบอกเสียงเรียบ “ไม่เอา! กูจะไปอยู่กับสาวน้อยของกู!”
“ของมึงพ่อมึงสิ” ไม่พูดเปล่ายกมือโบกกระบาลเพื่อนโจมโวยวายไปที
เหลือบหันมองโยที่ยืนมองรถพยาบาลจนลับตาก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น ความคลุกรุ่นที่อยู่ภายในใจมันเหลือล้นจนอยากจะปล่อยออกมา
มันทั้งโมโหและหงุดหงิดที่รู้ว่าคนที่เธอมีสัมพันธ์ด้วยคือโยเพื่อนสนิทของเขา ถึงแม้ไอ้เรื่องแบบนี้มันจะเป็นปกติที่บางทีพวกเขาก็มีเพศสัมพันธ์กับคนๆ เดียวกัน แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นยัยเด็กนั่นกลับโมโหขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจทั้งที่โฟลทก็เคยมีสัมพันธ์กับเธอ
เวรเอ้ย ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ไม่ได้หวงยัยเด็กนะ แค่หงุดหงิดเฉยๆ สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อสงบสติอารมณ์บอกตัวเองว่ายัยเด็กนั่นก็แค่คู่นอน ความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ตายยังไงก็ไม่มีทางอัพสถานะได้หรอก
จบเรื่องนี้แล้วหวังว่าเขากับยัยเด็กนั่นจะไม่เจอกันอีกล่ะกัน
“บ่นเหี้ยอะไรของมันวะ-โอ๊ย! หยิกหาพ่อมึงหรอสัส!”
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??