เรื่อง Short Erotic
ฉันนั่งกอดเข่าอยู่หน้าโน๊ตบุ๊ค ในห้องนั่งเล่นมาเป็นชั่วโมงแล้ว แต่แทนที่จะได้ความคืบหน้าของโปรเจกต์จบกลับมีแต่ไฟล์ที่เต็มไปด้วยรอยขีดเขียนกับปากกาลบคำผิดเต็มไปหมด หัวมันตื้อจนอยากจะปิดทุกอย่างแล้วร้องไห้ให้มันจบๆ ไป
เสียงเปิดประตูดังขึ้น พี่ธินเดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ แบบคนที่เพิ่งกลับมาจากไซต์งาน เสื้อเชิ้ตสีซีดถูกพับแขนขึ้นสูง กางเกงก็เลอะฝุ่นนิดหน่อย แต่แทนที่จะเดินเข้าห้องตัวเอง เขากลับตรงมาที่ฉันก่อน
“เครียดหรอ” เขาวางถุงอะไรบางอย่างลงบนโต๊ะ ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ แล้วดันกล่องนมกับขนมปังมาให้ “กินอะไรบ้างยัง”
“ยังเลยค่ะ…งานมันไม่เสร็จสักที” ฉันถอนหายใจแรงๆ จนผมหล่นลงมาปิดหน้า
พี่ธินไม่พูดอะไรยกมือขึ้นช่วยเก็บผมทัดหูให้ แล้วก้มมองหน้าจอโน๊ตบุ๊ค ที่เต็มไปด้วยแบบแปลนกับโน้ตยาวเหยียด เขาพึมพำเบาๆ เหมือนคนกำลังใช้สมองคิดตาม “อืม…อาจารย์คงอยากให้แก้ตรงโครงสร้างนี่ใช่มั้ย”
ฉันพยักหน้าหงึกๆ “ค่ะ เขาบอกว่ามันยังเพพพอาไปใล้จริงไม่ได้ พอ…แต่หนูไม่รู้จะแก้ยังไงแล้ว”
“มานี่ เดี๋ยวพี่ดูให้” เขาขยับเข้ามาใกล้จนไหล่เราแทบชนกัน มือใหญ่เอื้อมมาจับเมาส์จากมือฉัน แล้วเลื่อนคลิกทีละจุดเหมือนจะอธิบายอะไรสักอย่าง “ถ้าเป็นของจริงนะ เขาจะไม่ทำแบบนี้หรอก มันเปลืองแรงงาน ลองจัดใหม่แบบนี้สิ”
ฉันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่หรอก เพราะตอนนี้กลิ่นสบู่จางๆ จากตัวเขามันลอยเข้ามาปนกับกลิ่นเหงื่ออุ่นๆ บวกกับมือเขาที่โอบมาบังคับเมาส์ไปพร้อมกับมือฉัน หัวใจเลยเต้นดังจนกลัวเขาจะได้ยิน
“เห็นมั้ย แบบนี้มันง่ายกว่า” เสียงทุ้มๆ ของเขาดังอยู่ตรงหู ฉันเผลอหันไปพอดีจนแก้มแทบจะชนกัน ฉันหน้าแดงวูบ รีบเบือนหน้าออก “อืม…ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
พี่ธินมองฉันเงียบๆ อยู่พักนึงก่อนจะดันโน๊ตบุ๊ค ปิดฝาลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบๆ “พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ”
“แต่ว่า—”
“ไม่แต่” เขาพูดตัดทันทีแล้วลุกขึ้นมายื่นมือให้ฉัน “ไป พักผ่อนได้แล้ว”
ฉันลังเลแต่สุดท้ายก็ยื่นมือไปจับมือเขา พี่ธินออกแรงดึงแผ่วๆ ให้ลุกขึ้น สายตาเขามันไม่ได้แค่ใจดีเหมือนทุกที มันมีอะไรบางอย่างที่เหมือนจะกักเก็บเอาไว้ แล้วฉันก็ไม่กล้าถามต่อได้แต่เดินตามแรงมือเขาไปเงียบๆ
เช้าวันต่อมาฉันและเพื่อนอีกสองคนแบกแฟ้มงานใหญ่ๆ เดินเข้ามาในห้องอาจารย์ บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบ มีแค่เสียงรองเท้ากระแทกพื้นกับเสียงเปิดแฟ้มเอกสาร
“อาจารย์คะ เรานำโปรเจกต์มาส่งให้ตรวจค่ะ” ฉันเอ่ยเรียบๆ พลางวางแฟ้มลงบนโต๊ะ
อาจารย์มองฉันผ่านแว่นสายตารอยยิ้มบางๆ ไม่ได้บอกอะไรนัก แต่สายตาจับจ้องงานที่ฉันวางไว้จนแทบจะทะลุ
“อืม…” เสียงทุ้มเรียบๆ ของอาจารย์ทำให้ฉันเกร็งเล็กน้อย
เพื่อนสองคนของฉันเริ่มวางแฟ้มของตัวเองตามลำดับ ฉันนั่งลงตรงเก้าอี้รู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็วเพราะความกังวล ไหนจะงานฉัน ไหนจะสายตาอาจารย์ที่จับจ้องอยู่
อาจารย์ค่อยๆ พลิกแฟ้มดูทีละหน้า แว่นสายตากระดิกไปมาก่อนจะหยุดที่บางหน้าพร้อมกวาดสายตาเข้มๆ มาที่ฉัน
“ตรงนี้คุณยังขาดรายละเอียดเชิงเทคนิคอยู่ ต้องปรับแก้ให้ชัดกว่านี้” ฉันพยักหน้าแอบกัดริมฝีปากพยายามไม่ให้เพื่อนเห็นว่ากลัวแค่ไหน
“ส่วนอันนี้…” อาจารย์เอ่ยต่อพลิกหน้าไปอีกด้านก่อนจะชี้ตัวเลขและกราฟ “ลองคำนวณใหม่แล้วใส่ตารางเปรียบเทียบด้วย จะทำให้อ่านง่ายขึ้น”
เพื่อนคนข้างๆ ที่กำลังพยายามจดโน้ตทุกอย่างที่อาจารย์พูด แอบบ่นเบาๆ “อีกแล้ว…”
“โดยรวมงานก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่จะให้ดีกว่านี้ต้องไม่มีแก้ไข” อาจารย์เลื่อนแฟ้มคืนมาตรงหน้า
หลังจากคุยกับอาจารย์เสร็จพวกเราก็เดินออกจากห้องอาจารย์ เดินออกจากตึกไปพร้อมเพื่อนๆ ฉันพยายามเรียบเรียงแผนการแก้ไขงานในหัว ไหนจะเรื่องฝึกงานอีก ตอนนี้ยังหาที่ฝึกไม่ได้เลย
เฮ้อ…ชีวิตปี 4 นี่มันเหนื่อยจริงๆ
เสียงถอนหายใจของฉันดังขึ้นเป็นรอบที่ร้อยตั้งแต่เช้าจนถึงบ้าน ก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็เจอพี่แบล็คนอนเอกขเนกอยู่บนโซฟา ขาข้างหนึ่งพาดพนักอีกข้างนอนเล่นมือถืออย่างสบายใจ
เขาหรี่ตามองฉันแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “ทำหน้ายังกะหมาหงอย ยัยเด็กตัวเปี๊ยก ไปเจออะไรมาอีกล่ะ”
“อาจารย์ให้แก้งานอีกแล้วค่ะ”
“หรอ” เสียงทุ้มของเขาห้วนเแค่อ่ยอย่างไม่ใส่ใจตามสไตล์พี่แบล็ค ก้มหน้ากอดหมอนแน่นก่อนจะเอาหน้าซุกพร้อมกับเบะปากไม่ให้เขาเห็น
“เป็นไร”
“เป็นไร” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นจากหมอน เผลอพบสายตานิ่งๆ ของพี่ริทที่ยืนอยู่หลังโซฟา
“เปล่าค่ะ”
“โกหก”
แค่คำเดียวกับแววตาที่มองมาก็ทำให้ฉันชะงักไปทันที …ก็จริง เขาจะไม่รู้ได้ยังไงกันล่ะ ในเมื่อฉันเป็นคนโกหกไม่เก่ง แค่สบตาก็โป๊ะแตกแล้ว
“อาจารย์ให้แก้งานค่ะ” เสียงหลุดออกมาเบากว่าที่ตั้งใจ
“หมดเลย?” ฉันพยักหน้าหงึกๆ ตอบกลับไป
“สู้ๆ”
ประโยคสั้นๆ พร้อมมือใหญ่ที่ยกขึ้นมาลูบหัวเบาๆ แค่ครั้งเดียว แต่กลับทำให้หัวใจฉันเหมือนถูกกดปุ่มรีสตาร์ท จากที่หนักอึ้งก็ผ่อนคลายลงทันที
พี่ริทไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่หมุนตัวเดินเข้าครัวไปเงียบๆ เหมือนทุกที ฉันยกมือขึ้นแตะศีรษะตรงที่เขาเพิ่งยีเบาๆ แล้วมุมปากก็เผลอยกยิ้มออกมา
อย่างน้อย…วันนี้ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่บ้างแหละนะ
อีกด้านหนึ่งบนโต๊ะทำงานในห้องกระจกเต็มไปด้วยกองเอกสารทั้งแบบแปลน สัญญา และรายงานที่วางซ้อนกันจนแทบหาที่ว่างไม่เจอ เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดทำให้ธินต้องเอื้อมมือไปรับสายแทบจะต่อเนื่อง
“ครับ…เรื่องวัสดุผมให้คนเช็กสต็อกแล้วครับ ถ้าไม่พอเดี๋ยวสั่งเพิ่มให้เลย…ไม่ครับ คุณไม่ต้องห่วง ผมจะเข้าไปดูไซต์เองช่วงบ่าย”
เขากดวางสายก่อนจะถอนหายใจยาว นวดหว่างคิ้วตัวเองด้วยความล้าแต่ก็ยังฝืนก้มหน้าก้มตาตรวจเอกสารกองใหม่ต่อ
พนักงานคนหนึ่งเคาะประตูแล้วโผล่หน้าเข้ามา “คุณธินครับ อันนี้เอกสารเซ็นอนุมัติครับ”
“เอาไว้ตรงนั้นเลย” เขาพยักหน้าโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ เสียงเปิดแฟ้มดังแกรกๆ สลับกับเสียงกดปากกาขีดเซ็นอย่างเร่งรีบ
ชีวิตหลังเรียนจบไม่เคยง่ายเลยสักวันเดียว งานของที่บ้านมันไม่ใช่แค่ตัวเลขกับแบบแปลน แต่มันคือความรับผิดชอบที่ใหญ่เกินกว่าคำว่าลูกชายคนโตจะอธิบายได้
ทิ้งตัวกับพนักพิงสายตาพลันเหลือบไปเห็นกล่องนมกับขนมปังที่ยังวางอยู่มุมโต๊ะของที่เขาเผื่อเอาไว้เมื่อตอนเช้า
มื้อเช้าของวันนี้ยังไม่ได้กินเเลยแฮะ
ครืด~
เสียงสั่นแจ้งเตือนของข้อความจากลูกน้องส่งมา เขาเปิดอ่านก่อนจะค่อยๆ ขมวดคิ้วพร้อมกับถอนหายใจ
“ปัญหาอีกแล้วหรอ เฮ้อ…จะบ้าตาย”
“มีปัญหาอะไรบ้าง” ธินถามทันทีที่ก้าวลงจากรถ เสียงดังสนั่นของเครื่องจักรผสมกับเสียงคนงานที่ตะโกนโหวกเหวกทำให้บรรยากาศในไซต์ดูวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม
หัวหน้าคนงานรีบวิ่งมารายงาน “ตรงฐานเสาเหล็กมันไม่ตรงครับ แถมวัสดุที่สั่งมายังไม่พอ คนงานเลยต้องหยุดงานบางส่วน”
ธินกวาดตามองรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจแรง “โอเค เดี๋ยวผมเช็กเอง ไปตามวิศวกรมาด้วย”
เขาเดินตรวจพื้นที่ทีละจุด ชี้สั่งโน่นนี่พร้อมก้มลงเช็กเสาเหล็กอย่างละเอียด ระหว่างที่กำลังคุยกับหัวหน้าคนงาน เสียงโหวกเหวกก็ดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งไซต์ก่อสร้างติดกัน
“เฮ้! เครนมันเอียงแล้ว!”
“ระวัง!!”
เสียงโลหะเสียดสีกันดังสนั่นก่อนที่เครนขนาดใหญ่จะโคลงตัวแล้วโครมล้มลงมาอย่างรุนแรง
“หลบไป!!” ธินตะโกนสุดเสียงรีบวิ่งไปดึงคนงานที่อยู่ใกล้ที่สุดออกมาพยายามผลักพวกเขาให้หลบออกจากเส้นทางที่เครนกำลังจะล้ม
แต่ทันใดนั้นชิ้นส่วนเหล็กใหญ่กลับฟาดลงมาใกล้ๆ ที่เขายืนอยู่ แรงกระแทกมหาศาลทำให้เขากระเด็นไปชนกองไม้เต็มแรง
“อึก—!” ธินกัดฟันแน่น แขนข้างซ้ายเจ็บจี๊ดจนแทบขยับไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนกระดูกมันแตกหักวิ่งแล่นไปทั่วแขน
เสียงคนงานตะโกนดังระงมจนจับใจความไม่ได้ “คุณธิน!!”
“เรียกรถพยาบาลมาเร็ว!!”
เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นทั้งที่ร่างกายสั่นสะท้านจากความเจ็บ “ผม…ไม่เป็นไร” เสียงเขาขาดหายไปเป็นพักๆ เพราะหายใจไม่ทัน
เลือดซึมออกจากแผลถลอกตามแขนและไหล่ แต่ธินก็ยังฝืนใช้แขนอีกข้างช่วยดึงคนงานที่ยังติดอยู่ใกล้เศษเหล็กออกมาจนร่างกายแทบจะล้มพับตามไป
เสียงไซเรนรถพยาบาลดังใกล้เข้ามา แต่หูของธินเริ่มอื้อจนแทบไม่ได้ยินอะไรแล้ว เขาพยายามพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม แต่ความเจ็บที่แขนมันแรงเกินไปร่างกายแทบไม่ตอบสนอง
“คุณธิน!! อย่าหลับนะครับ!!” คนงานคนหนึ่งเขย่าตัวเขาแต่ดวงตาของธินเริ่มหนักขึ้นทุกที
ภาพตรงหน้าพร่ามัว เสียงโหวกเหวกของคนรอบตัวค่อยๆ เบาลง เหมือนทุกอย่างกำลังห่างออกไป เขาฝืนหายใจแรง ๆ สุดท้ายก็ไม่ไหว ร่างทั้งร่างทรุดลงกับพื้น ก่อนสติจะค่อยๆ ดับวูบแล้วภาพตัดดำสนิททันที
ในห้องนั่งเล่นเสียงทีวีเปิดคลออยู่เบาๆ พี่แบล็คนั่งข้างฉัน ช่วยอธิบายจุดที่ต้องแก้งานในโปรเจกต์จบไปด้วยท่าทีจริงจังเหมือนอยู่ไซต์งานจริงๆ จนบางทีฉันก็แอบเกร็ง
“ตรงนี้มันไม่สมจริง ยัยเด็กตัวเปี๊ยก ถ้าเอาไปเสนอเขาไม่ผ่านแน่” เขาใช้ปากกาในมือชี้ไปที่หน้ากระดาษร่าง
ฉันทำหน้าไม่พอใจใส่ทันที เขาเอาแต่เรียกฉันว่าเป็นยัยเด็กตัวเปี๊ยกอยู่นั่นแหละ “อย่าเรียกแบบนั้นสิคะ หนูไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
พี่แบล็คหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนจะตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่เชื่อกันสักนิด “หรอ”
ฉันได้แต่พองแก้มด้วยความไม่พอใจ เชอะ! คนนิสัยไม่ดี!
ด้านหลังพี่ริทนั่งเอนหลังอยู่บนโซฟา มือถือรีโมตในมือแต่แทบไม่เปลี่ยนช่องอะไรนอกจากนั่งดูการ์ตูนไปเรื่อยๆ พร้อมกับคีบขนมเข้าปากอย่างนิ่งๆ เขาไม่พูดอะไรแค่ปรายตามองมาทางฉันเป็นพักๆ
เสียงประตูบ้านเปิดดังขึ้นก่อนพี่โฟลทจะเดินเข้ามาพร้อมกับสูทที่พาดไว้บนแขน เขาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาอีกฝั่งทันทีแล้วทิ้งตัวพิงพนักแบบหมดแรง
“เฮ้อ…เหนื่อยชิบหายเลยเว้ย”
“ตายหรอ”
“ถ้ากูคงไม่มาเสนอหน้าให้มึงเห็นหรอกสัส”
“เจอลูกค้ามีปัญหามาหรอคะ” ด้วยความสงสัยบวกกับอยากละสายตาจากงานตรงหน้าเลยหันไปถาม
“ใช่อ่ะดิ แม่งโคตรเรื่องมากเลย งานเสร็จแล้วพอส่งไฟนอลให้บอกขอเปลี่ยนหน่อยได้มั้ยคะ ไอ้เราก็ใจดีเห็นว่าเป็นพาร์ทเนอร์ด้วยก็แก้ให้แล้วพอแก้เสร็จเสือกมาบอกที่หลังว่าขอเปลี่ยนได้มั้ยคะพอดีคุณแม่ไม่ชอบ อีเหี้ย!ถ้าไม่ชอบขนาดนี้ให้แม่มึงทำเองไป” เขาบ่นเสียงดังพลางยกขาาขึ้นมาพาดกับที่วางแขน
พี่ริทเหลือบตามองแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปสนใจจอทีวีต่อ ส่วนพี่แบล็คหันไปก็เขียนจุดที่ฉันต้องแก้ลงกระดาษไปพลาง “แล้วมึงก็บอกเขาไปอย่างงนั้น”
“มึงจะบ้าหรอเสียลูกค้ากันพอดี ก็ปฏิเสธแหละ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนกันนิดหน่อยเขาถึงยอม”
“ไม่ตายก็ดีแล้ว”
“อ่ะ ไอ้เหี้ยนี่ก็จะให้กูตายอย่างเดียวเลยสัส” เสียงฟาดหมอนดังขึ้น คงเป็นพี่โฟลทที่ฟาดหมอนใส่พี่ริทำ
เสียงบ่นของพี่โฟลทยังไม่ทันจบดีเสียงโทรศัพท์ของพี่แบล็คก็ดังขึ้นมา เขาหยิบขึ้นมากดรับสาย แต่ยังไม่ทันพูดอะไรสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยน คิ้วเข้มๆ ขมวดแน่น
พี่แบล็คหันเหลือบมองฉันครู่หนึ่งทำเอาฉันแอบสงสัย
“เออ ๆ เดี๋ยวไป” พี่แบล็คตอบสั้น ๆ ก่อนจะกดวางสาย
“มีอะไรหรอคะ”
“ไอ้ธินเกิดอุบัติเหตุที่ไซต์“ คำตอบของพี่แบล็คทำเอาฉันแทบหยุดหายใจ ร่างกายแข็งค้างเหมือนถูกดึงอากาศออกไปจากปอดในพริบตา
”จริงดิ แล้วมันเป็นไรมากเปล่า“ พี่โฟลทรีบลุกขึ้นนั่งน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล ต่างกับฉันที่สมองว่างเปล่าสติหลุดไปหมดแล้ว
“แขนหักมั้ง”
“ตายล่ะ”
“ไอ้-่านี่ก็แช่งให้เพื่อนตายอย่างเดียวเลย เดี๋ยวกูโบก” เสียงพี่แบล็คตวาดขึ้นมา “เก็บของ เดี๋ยวกูไปเตรียมรถก่อน”
“เออๆ”
เสียงฝีเท้าวิ่งและเสียงของพวกพี่ๆ ดังสับสนไปหมดแต่กลับแทบไม่เข้าหูฉันเลย
“ไปได้แล้ว”
เสียงพี่ริทเรียกฉันกลับมาจากภวังค์ ฉันรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามเขาออกไป หัวใจฉันเต้นแรงจนแน่นอก ความคิดวนซ้ำอยู่คำเดียวอย่าให้พี่ธินเป็นอะไรมากเลย
มาถึงโรงพยาบาล พวกเราเดินตรงไปยังห้องพักฟื้นที่พี่ธินพักอยู่ ทันทีที่เปิดประตูสภาพของพี่ธินก็ทำเอาฉันแทบทรุดลงกับพื้น สายน้ำเกลือเจาะแขนระโยงระยาง แขนข้างขวาถูกใส่เฝือก แขนข้างซ้ายพันด้วยผ้าทั้งแขน ขาทั้งสองข้างก็มีผ้าพันประปราย
“พี่…ธิน”
จู่ๆ ดวงตาก็ร่อนผ่าวก่อนน้ำตาจะไหลออกมาอัตโนมัติ มือสั่นจนจับอะไรไม่ถูก จนพี่โฟลทต้องเข้ามาช่วยพยุง
“ไอ้ธินปลอดภัยแล้ว พักฟื้นสักอาทิตย์ก็ออกได้แล้วล่ะ” พี่โยตอบ
ฉันพยายามจะเอื้อมมือที่สั่นระริกไปแตะใบหน้าของเขาก่อนจะปัดผมที่ปรกลงมาบดบังหน้าผากออกเบาๆ
น้ำตาเอ่อล้นไหลพรากจนภาพตรงหน้าเบลอไปหมด จำต้องยกมือขึ้นมาเช็ดแต่ไม่ว่าพยายามเช็ดเท่าไหร่ น้ำตาก็ไม่ยอมหยุดสักที
“นานา พี่ยังไม่ตาย ไม่ต้องร้องไห้ขนาดนั้นก็ได้”
เสียงทุ้มแผ่วของคนบนเตียงทำให้ฉันหยุดเช็ดน้ำตา ก่อนหันไปเห็นพี่ธินหันมายิ้มพลางหัวเราะเบาๆ ใส่
ฉันเบะปากทันที ก่อนจะโผเข้ากอดเต็มแรง “ฮือ!!! หนูเป็นห่วงพี่มากเลยรู้มั้ย”
“ครับๆ พี่ขอโทษนะ”
“หนูลูก ปล่อยมันก่อน เดี๋ยวมันตายเอานะ” พี่โฟลทรีบดึงฉันออกจากตัวพี่ธิน ฉันถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังเจ็บอยู่ แต่ก็เพราะความเป็นห่วงนี่นา
แม้ตอนนี้จะเริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อยนึงแล้วแต่น้ำตาที่ไม่ยอมหยุดสักที พี่ธินมองมาด้วยสายตาอ่อนโยน แม้ร่างกายจะพันแผลไปทั้งตัวแต่รอยยิ้มของเขาก็ยังเหมือนเดิม
พี่ธินค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่งโดยที่มีพี่โยค่อยช่วย “อย่าร้องเลยนะนานา เรายิ่งร้องพี่ยิ่งเจ็บนะ”
ฉันสะอื้นพยายามฮึบก่อนยกมือขึ้นปาดน้ำตาแรงๆ “ก็หนูกลัว…หนูกลัวว่าพี่จะทิ้งหนูไป”
พี่ธินจ้องตาฉันนิ่งก่อนจะยกมือข้างที่ไม่เจ็บมากขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วแตะลงบนศรีษะฉันพร้อมกับเขย่าเบาๆ
“พี่ไม่ไปไหนหรอก” รอยยิ้มแสนอ่อนโยนของเขากลับยิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเดิม “ไม่เอาไม่ร้องสิ”
“ฮึก!” พี่ธินดึงฉันเข้ามากอด อ้อมแขนอบอุ่นของเขาพร้อมกับสัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบศีรษะเบาๆ
“พี่ไม่ทิ้งเราไปหรอก พี่สัญญา”
“จริงนะ”
“จริงๆ ครับ” ฉันสวมกอดตอบแน่นราวกับไม่อยากปล่อยให้เขาหายไปไหนอีก
“เอ่อ..ขอโทษนะ คือพวกกูต้องออกไปมั้ย จะได้คุยกันสะดวก” เสียงพี่โฟลทแทรกขึ้นมาทำให้ฉันได้สติ รีบหันไปมองรอบๆ แล้วพบว่าทุกสายตากำลังจ้องมาที่เรา
“ไม่ตายก็ดี กูจะได้ไปทำงานต่อ” พี่แบล็คเอ่ยเสียงเรียบเย็น ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจใคร
“งั้นกูไปก่อนล่ะ มีอะไรก็โทรมา” พี่โยพูดพลางหันมายิ้มบางๆ ให้ฉันก่อนจะก้าวออกจากห้องตามไปอีกคน
“แล้วพวกกูต้องออกไปด้วยมั้ย” พี่โฟลทชี้นิ้วเข้าหาตัวเองกับพี่ริทที่ยืนมึนอยู่ข้าง ๆ
“แล้วแต่เลย”
“โอเค งั้นพวกกูไปก็ได้ ไป ไอ้ริท กลับ” พูดจบพี่โฟลทก็ลากพี่ริทออกจากห้องโดยไม่สนคำบ่นของพี่ริทเลยแม้แต่น้อย
“ง่วง”
“ง่วงก็ไปนอนสิ”
ทันทีที่เสียงของพวกเขาเงียบลง ห้องก็กลับมาสงบอีกครั้ง เหลือเพียงฉันกับพี่ธินที่ยังนอนอยู่บนเตียง เสียงเครื่องวัดชีพจรเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทำให้หัวใจฉันค่อยๆ สงบลงตามไปด้วย
ฉันทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง มองมือของพี่ธินที่มีสายน้ำเกลือเจาะอยู่ รู้สึกเจ็บแทนจนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะเบาๆ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่ไม่ชอบ” เสียงของเขาแผ่วเบา แต่ชัดเจนพอจะทำให้ฉันชะงักเงยหน้าขึ้นไปสบตา
รอยยิ้มอ่อนโยนที่ฉันคุ้นเคยยังอยู่ตรงนั้น ถึงแม้เขาจะเจ็บแทบทั้งตัวก็ตาม
หัวใจฉันอุ่นวาบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับตอบไปเบา ๆ “…ก็หนูห่วงนี่นา”
พี่ธินหัวเราะเบาๆ ก่อนเขาขยับมือที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางมาวางทับหลังมือฉัน “ขอบใจนะ”
เวลาผ่านไปจนถึงหนึ่งทุ่ม ห้องพักฟื้นตกอยู่ในความเงียบสงบ มีเพียงเสียงทีวีกับเสียงปากกาของฉันที่ขีดเขียนลงบนสมุดงานอย่างต่อเนื่อง แม้ในใจจะยังห่วงพี่ธินอยู่ก็ตามที แต่ไม่ได้งานก็เสร็จด้วย
ทางด้านพี่ธินนั่งพิงหมอน กินข้าวที่พยาบาลเอามาให้ตามด้วยยาที่ต้องทานตามเวลา เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพียงคอยเหลือบตามองฉันเป็นระยะๆ
“ทำหน้าเครียดเชียวนะ มันยากหรอ“ ฉันพยักหน้าตองเบาๆ “มากๆ เลยค่ะ แถมยังต้องแก้หมดเลยอีก”
“พักบ้างก็ได้ ส่งเดือนหน้านี่”
“หนูไม่ได้สมองอัจฉริยะแบบพวกพี่นะคะ ที่จะได้เสร็จภายในไม่กี่อาทิตย์โดยที่ไม่ต้องแก้น่ะ” แอบบึนปากเล็กน้อย
นึกแล้วก็หมั่นไส้ พวกพี่ๆ เขาทำโปรเจคจบด้วยเวลาหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น ต่างกับฉันที่ตอนนี้เข้าเดือนที่สองแล้วยังแก้ไม่เสร็จเลย
“ครับๆ ขอโทษครับ-โอ๊ย!” ฉันรีบวางงานของตัวเองพุ่งตัวรีบไปประคองพี่ธินที่พยายามจะลุกนั่ง
“จะลุกทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะคะ เดี๋ยวแผลก็ฉีกหรอก”
“ก็พี่ไม่อยากรบกวนเรานี่ เห็นยุ่งอยู่”
“รบกวนเถอะค่ะ หนูไม่อยากเห็นพี่เจ็บอีกแล้ว”
“ขอโทษครับผม ต่อไปนี้มีอะไรพี่จะบอกเราโอเคมั้ย” มือหนายกมาลูบศรีษะเบาๆ “อือ”
“งั้นพาพี่เข้าห้องน้ำหน่อยได้มั้ยครับ พี่อยากอาบน้ำ”
“ไม่แสบแผลหรอคะ”
“เราก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบเหนียวตัว อีกอย่างวันนี้พี่อยู่ไซต์งานทั้งวันเหม็นตัวแย่”
ฉันพยุงพี่ธินเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล พอเข้ามาได้ฉันก็จัดเก้าอี้พลาสติกให้นั่งก่อนจะเอาผ้าเช็ดตัวกับของใช้วางไว้
“เดี๋ยวหนูช่วยถอดเสื้อให้ก่อนนะคะ” ฉันเอ่ยเสียงเบาเหมือนกระซิบกับตัวเองมากกว่าพูดกับเขา มือสั่นน้อยๆ ตอนจับชายเสื้อขึ้น
“อืม” พี่ธินตอบสั้นๆ แต่สายตาที่มองมากลับทำเอาฉันหน้าร้อนวูบ
ฉันค่อยๆ ดึงเสื้อขึ้นอย่างระมัดระวังกลัวโดนแผลจนพี่ธินเจ็บ แต่พอเห็นผิวกายที่เต็มไปด้วยรอยช้ำกับผ้าพันแผล ใบหน้าฉันก็ร้อนผ่าวหนักกว่าเดิม รู้สึกทั้งสงสารทั้งเขินจนเผลอกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“ถ้าอายก็ไม่ต้องทำก็ได้นะ” เขาพูดเรียบๆ แต่ทำไมไม่รู้เหมือนเขาจะพูดยั่วเสียมากกว่า
“จะ…จะไม่ทำได้ไงเล่า! เดี๋ยวพี่แผลติดเชื้อขึ้นมาอีก หนูไม่ยอมหรอก” ฉันเถียงเสียงสั่นมือยังคงค่อยๆ ช่วยเขาอย่างระวังที่สุด
ฉันใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดแขนที่ไม่เจ็บก่อนอย่างเบามือ กวาดผ่านไหล่ ไล่ลงมาตามแผ่นอก พยายามไม่เงยหน้าขึ้นไปสบตาเขา แต่ก็รู้สึกได้ว่าพี่ธินเอาแต่มองฉันไม่วางตาเลย
บรรยากาศเงียบเกินไปจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังตุบๆ ไม่หยุด มือฉันยังคงเช็ดแขนกับแผ่นอกเขาอย่างระมัดระวัง แต่ก็สั่นจนผ้าสะบัดเบาๆ จนรู้สึกได้ พี่ธินเลิกคิ้วมองแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ทำไมมือสั่นขนาดนั้นครับนานา พี่ไม่ได้จะกินเราเข้าไปสักหน่อย”
“ก็…ก็ไม่ได้สั่นซะหน่อย!” ฉันรีบเถียง เสียงสูงจนฟังออกว่าโกหกไม่เก่ง แก้มก็ร้อนฉ่าแทบไหม้
“ครับๆ” เขาพยักหน้าช้าๆ แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปากนั่นทำเอาฉันใจเต้นแรงกว่าเดิมอีก
ฉันกัดริมฝีปากพยายามตั้งสมาธิกับงานตรงหน้า มือยังค่อยๆ เช็ดตามท่อนแขนลงมาจนถึงมือใหญ่ของเขา อยู่ๆ พี่ธินก็ยกเอื้อมแขนซ้ายมาปัดผมที่ปรกหน้าทำเอาฉันแอบสะดุ้งเฮือก
ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะก้มหน้ากลบความร้อนบนแก้ม แล้วค่อยๆ เช็ดผิวกายเขาต่อ แต่พอเลื่อนไปที่แผ่นอกด้านล่าง ความใกล้ชิดทำให้กลิ่นกายอุ่นๆ ของเขาลอยเข้าจมูกจนฉันแทบหายใจไม่ออก
มือที่ควรจะมั่นคงกลับยิ่งสั่นแรงขึ้นทุกที ขณะที่พี่ธินก็ยิ่งโน้มตัวลงมาใกล้กว่าเดิม
ฉันก้มหน้าก้มตาเช็ดผิวกายเขาต่อ มือสั่นไม่หยุด รู้สึกว่าหัวใจแทบจะหลุดออกมานอกอก ยิ่งพี่ธินเงียบมองอยู่อย่างนั้น ความกดดันยิ่งถาโถมจนฉันแทบหายใจไม่ออก
“ทำไมตัวเราหอมจัง…” เขาเอ่ยเสียงทุ้มเบาๆ พร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ขณะเดียวกันมือซ้ายที่ยังพอใช้ได้ก็คว้าข้อมือฉันไว้แน่น
“พะ…พี่ธิน อย่าแกล้งหนูสิคะ” ฉันเถียงเสียงสั่นแก้มร้อนผ่าวจนแทบระเบิด
“พี่ไม่ได้แกล้งนะ พี่พูดจริง” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมมองฉันราวกับจะจับกินกันให้ได้
ฉันเม้มปากแน่นพยายามเบนสายตาหนีก่อนจะขยับมือไปจับขอบกางเกงเขาเพื่อจะเช็ดตัวช่วงล่างให้ ใจเต้นรัวจนแทบชักมือกลับ เกือบลืมไปเลยมถ้าจะเช็ดช่วงล่างก็ถอดหมดสิ
“ตรงนี้ต้องช่วยถอดนะครับ แขนพี่ขวาหัก จะทำเองก็ไม่ได้” เขาพูดเรียบๆ แต่น้ำเสียงแฝงแกล้งชัดเจน
“มะ…ไม่ต้องพูดก็ได้ค่ะ หนูรู้แล้ว” ฉันบ่นอุบเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ดึงกางเกงเขาลงด้วยมือที่สั่นระริก ใบหน้าแดงก่ำร้อนวาบไปทั้งตัว
ทันทีที่เนื้อผิวเปลือยเปล่าปรากฏตรงหน้า ฉันก็รีบก้มหน้าลงต่ำกลืนน้ำลายแรงๆ ในลำคอ แทบไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ มือยังคงค่อยๆ เช็ดไปอย่างเก้ๆ กังๆ
แต่พี่ธินกลับโน้มตัวเข้ามาใกล้ จนเสียงหายใจอุ่นๆ ของเขาเป่ารดข้างแก้มฉันเบาๆ
“นานา…” เสียงเรียกชื่อนั้นทั้งแผ่ว ทั้งแฝงแรงกดดัน ราวกับทำให้หัวใจฉันแทบหลอมละลายอยู่ตรงนี้
ฉันค่อยๆ เช็ดตัวเขาลงมาจนถึงส่วนล่าง หัวใจเต้นแรงจนแทบจะไม่ไหว ความร้อนจากใบหน้าแล่นไปทั่วร่าง ยิ่งรู้ว่าชุดคนไข้ไม่ได้มีอะไรปกปิดไว้มากเท่าไร ความเขินก็ยิ่งทวีคูณ
มือที่สั่นอยู่แล้วสั่นหนักกว่าเดิม ฉันพยายามไม่เงยหน้ามอง แต่ยิ่งพยายามไม่คิดแต่หัวใจกลับเต้นแรงกว่าเดิมราวกับว่าจะหลุดออกมาจากอก
“นานา…” เสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อฉันอีกครั้ง คราวนี้ตามมาด้วยแรงดึงจากมือซ้ายของเขาที่คว้าข้อมือฉันแน่นขึ้นดึงให้ร่างฉันเอนไปหา
“รู้มั้ยว่าเวลาทำหน้าเขิน ๆ แบบนี้… มันน่ารักมาก” เขากระซิบใกล้หูเสียงอุ่นพร่าแทบทำให้สติฉันหลุดลอย
“พะ…พี่ธิน” ฉันพยายามเรียกเสียงสั่นแต่แทนที่จะผละออก เขากลับโน้มใบหน้าลงมาชิดจนปลายจมูกเฉียดแก้มฉัน ริมฝีปากแทบจะแตะกันอยู่แล้ว “เช็ดเสร็จแล้วใช่มั้ยครับ… งั้นต่อไป… ถึงตาพี่บ้างแล้วล่ะ”
พูดจบเขาก็กระชากเบาๆ ให้ร่างฉันเซไปชนกับอกแกร่ง แม้แขนหนึ่งจะใช้งานไม่ได้ แต่แรงของเขาก็มากพอที่จะตรึงฉันเอาไว้ไม่ให้ถอยหนี
ร่างของฉันถูกตรึงแนบกับอกกว้างกลิ่นสบู่เจือกลิ่นกายของเขาทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบระเบิด แขนซ้ายเพียงข้างเดียวที่เขาใช้กอดกลับดูเหมือนจะหนักแน่นจนฉันไม่อาจดิ้นได้
“ทำไมตัวเราหอมจังนะ…” เสียงทุ้มแผ่วพร่าเอ่ยขึ้น ริมฝีปากเฉียดแก้มฉันนิดๆ “หรือว่าพี่ติดกลิ่นเราเข้าแล้ว”
ใบหน้าฉันร้อนผ่า ไม่กล้าสบตาแต่กลับรู้สึกถึงสายตาคมที่กำลังมองมาอย่างลึกซึ้ง มือฉันสั่นหนักกว่าเดิมจนแทบจะทำอะไรไม่ถูก
“พะ…พี่ธิน ปล่อยก่อนค่ะ” เสียงฉันเบาจนแทบไม่พ้นลำคอ
“ไม่เอา” เขาโน้มใบหน้าลงชิด ริมฝีปากแตะที่ขมับเบาๆ แล้วไล้ต่ำลงมาตามแนวแก้มจนฉันสะดุ้งเฮือก
มือหนาที่กอดเอวฉันไว้ขยับแน่นขึ้น ดึงให้ร่างแนบชิดจนแทบไม่เหลือช่องว่าง ฉันพยายามเบี่ยงหน้าหนีแต่กลับถูกเขากดคางเบาๆ ให้หันกลับมา ดวงตาคมกริบสบกับฉันตรงๆ ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นจะทาบลงมาอย่างหนักแน่น
จูบแรกเริ่มต้นช้าๆ นุ่มนวล แต่เพียงชั่วอึดใจ ความหนักหน่วงก็ทวีขึ้นตามแรงอารมณ์ของเขา มือที่เคยสั่นของฉันเผลอยกขึ้นเกาะบ่ากว้างเพื่อประคองตัวเองเอาไว้ ร่างกายสั่นสะท้านจนควบคุมไม่อยู่
“อื้อ…” เขาผละเพียงเล็กน้อยก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก “อย่าทำเสียงแบบนั้นสิครับ… พี่ห้ามตัวเองไม่อยู่จริงๆ นะ”
“แฮ่ก…พี่ธิน-” ยังไม่ทันจะพูดจบพี่ธินก็คว้าคอฉันพร้อมกับกดจูบหนักๆ ก่อนจะสอดลิ้นเข้ามาสำรวจในโพรงปาก
มือหนาที่จับคออยู่ปล่อยออกก่อนจะเลื่อนลงมาบีบเค้นบั้นท้าย “อื้อ…”
“ทำให้พี่หน่อยได้มั้ยครับ” ไม่รู้ทำไมฉันดันพยักหน้าตอบ ในเมื่อมันมาถึงขนาดนี้ก็คงไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างยังไงวันนี้ก็คิวของพี่ธิน…
ฉันนั่งลงจับแก่นกายของเขาค่อยๆ ใช้มือรูด ก่อนจะก้มชิมส่วนหัวอย่างช้าๆ
“อ่าส์…นั่นแหละ แบบนั้นแหละ” ฉันเร่งความเร็วของมือตามจังหวะ ใช้ลิ้นเลียพร้อมกับดูดส่วนหัวอย่างชำนาญ
“เร็วอีกนิด”
ฉันเร่งจังหวะตามที่พี่ธินขอก่อนจะมีน้ำอุ่นทะลักออกมา “อ่อก!! แค่ก!!”
ค่อยๆ กลืนน้ำนั่นลงคอ แม้จะเคยทำบ่อยแต่มันก็ไม่เคยชินสักที
“ขอบคุณนะครับ แค่นี้พี่ก็ดีใจแล้ว” พี่ธินกดจูบลงบนศรีษะเบาๆ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูยินดี”
“ขอบคุณนะครับ น่ารักที่สุดเลย”
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??