เรื่อง ล่าผ่าแดนทมิฬ

ติดตาม
ตอนที่ 1,009 ความตระหนักธาตุ
ตอนที่ 1,009 ความตระหนักธาตุ
  • ปรับสีและขนาดตัวอักษร

มองขึ้นไปบนท้องฟ้าจากป่าหมื่นอสูร ขณะนี้เริ่มปรากฏหมู่ดาวเลือนรางให้เห็น แสงสว่างใกล้ลับหายไปในทุกขณะ ซึ่งมันเป็นประหนึ่งสัญญาณ บอกกล่าวกับเหล่ามนุษย์นับพันชีวิต ที่ได้ทำการก้าวล่วงเข้ามาสู่อาณาเขตแห่งมวลอสูรโดยไม่ได้รับอนุญาตว่า…

ค่ำคืนอันยากลำบากใกล้เข้ามาแล้ว

แต่ในชั่วขณะนั้น ซึ่งเหล่านักล่าผู้เข้าร่วมการประลองเพื่อถวิลหาความรุ่งโรจน์แด่ชีวิต กำลังพากันหาที่ปักหลักเพื่อรับมือค่ำคืนอันยากลำบาก ราเชน • เมฆพิทักษ์ กลับพุ่งผ่าน ‘โลกกึ่งกลางระหว่างวิญญาณและความเป็นจริง’ ด้วยความเร็วที่กฎเกณฑ์แห่งระยะทางไม่อาจอธิบาย

ภาพอันพร่าเลือนของผืนป่าวิเวกวังเวงจากภายใน ‘โลกกึ่งกลาง’ เคลื่อนผ่านไปด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัด จนกระทั่งสุดท้าย ชายหนุ่มก็มาถึงจุดจุดหนึ่งในผืนป่า และทำการออกจากโลกอันเร้นลับดังกล่าว

ร่างของเชนค่อยๆ ปรากฏขึ้นท่ามกลางผืนป่ามืดมิด ประหนึ่งแทรกตัวออกมาจากความว่างเปล่า สายตาของเขามองฝ่าความสลัวไปด้านหน้า เผยให้เห็นแผ่นหลังของ ณิญญู • เหมรินทร์ ที่เวลานี้กำลังนั่งย่อตัวหลบหลังพุ่มไม้

มองจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มจากตระกูลผู้ดีเก่ายกมือขึ้นลูบริมฝีปาก ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดตัดสินใจบางสิ่ง พร้อมกับบางครั้งพยายามที่จะชะเง้อคอมองผ่านพุ่มไม้ที่ใช้บดบังนั้นไปยังทิศทางหนึ่ง…

ท่าทางนั้นทำให้เชนไม่ได้เอ่ยปากเรียกอีกฝ่ายหรือเดินเข้าประชิด เพราะไม่อาจทราบได้ว่าเกิดสถานการณ์ใดขึ้นในที่แห่งนี้ทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพนั้น ถ้าเกิดส่งเสียงอย่างกะทันหัน อาจทำให้อีกฝ่ายตกใจและส่งเสียงตามมา ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่

เชนจึงตัดสินใจยกเท้าขึ้น ก่อนจะเหยียบลงไปบนใบไม้แห้งบนพื้นเบาๆ จนเกิดเสียง “แกร็บ” เบากริบ…

แต่นั่นก็ดังเพียงพอ ที่จะดึงสติของชายผู้ที่เหมือนจะกำลังจมอยู่ในความคิดหรือความลังเลอะไรบางอย่าง ให้ทำการหันขวับกลับมามองทางด้านหลังด้วยสายตาคมกริบ!

แต่เมื่อเห็นถึงร่างในความสลัวของเชน ใบหน้าตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง ถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะกวักมือเรียกเชนให้เข้ามาหาโดยไม่กล่าวอะไร

ชายหนุ่มผู้ถือครองพื้นฐานแห่งตำนาน เดินเข้าประชิดด้านข้างด้วยฝีเท้าเบากริบ ก่อนที่จะย่อตัวนั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย

ณิญญูเห็นถึงสายตาตั้งคำถามของเชน เขาจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะป้องปากพูดด้วยเสียงเบาหวิว

“ฉันเจอบางอย่างที่น่าสนใจจนปล่อยผ่านไม่ได้…อย่างน้อยก็สำหรับฉัน”

เชนมองอีกฝ่ายเรียบนิ่ง ก่อนจะถามกลับเสียงเบาไม่แพ้กัน

“ผู้เข้าร่วมคนอื่น?”

ณิญญูส่ายหน้า แต่ใบหน้าปรากฏท่าทีตื่นเต้นต่อบางสิ่งอย่างไม่อาจปกปิดได้มิด

“ไม่ใช่ แต่มันคือ…”

“ถ้าไม่ใช่ก็ถอย เรื่องอื่นนอกจากนั้นไม่จำเป็นต้องทำในตอนนี้”

ก่อนที่ณิญญูจะได้กล่าวบอก เชนก็พูดขัดขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเด็ดขาด

คำพูดนั้นราวกับจะดึงสติของณิญญูให้กลับคืนมา อีกฝ่ายกวาดสายตามองผืนป่ารอบด้าน เมื่อเห็นความมืดโรยตัวปกคลุม ใบหน้าของอีกฝ่ายก็เคร่งขรึมขึ้น

“นายพูดถูก โทษที สิ่งที่เจอทำให้ฉันตื่นเต้นไปหน่อย”

เชนไม่กล่าวถึงเรื่องนั้นต่อให้มากความ เขาทำการชี้นิ้วไปยังทิศทางของภูเขาขนาดย่อม

“ไปที่นั่นภายในยี่สิบนาที ในป่านี่เริ่มไม่ปลอดภัย กลิ่นอายพื้นฐานปราณเข้มข้นหลายจุดเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”

ณิญญูพยักหน้ารับ

“เข้าใจแล้ว แล้วนายจะไปด้วยกัน…”

ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวจบ ต่อหน้าต่อตาของณิญญู ร่างของเชนค่อยๆ เลือนหายไปประหนึ่งกำลังแทรกตัวเข้าไปในความว่างเปล่า และเมื่อสามวินาทีล่วงผ่าน ด้านข้างของณิญญูก็เหลือแต่เพียงความว่างเปล่าชวนวังเวง…

“เดี๋ยวหายเดี๋ยวโผล่อย่างกับผี…ให้ตาย…อยากได้ของขลังเคลื่อนย้ายแบบควบคุมได้ขึ้นมาเลย”

ชายหนุ่มจากตระกูลเหมรินทร์รำพึง ก่อนจะรีบปลีกตัวจากจุดที่อยู่ด้วยความเงียบกริบ

.

.

.

ผ่านไปประมาณยี่สิบนาที ณ ภูเขาขนาดย่อมอันเป็นฐานสำหรับค่ำคืนนี้ ณิญญูก็ได้ไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัย

เชนที่กำลังจัดแจงไม้แห้งเตรียมก่อกองไฟ รับรู้การมาถึงของอีกฝ่าย จึงลุกขึ้นจากสิ่งที่ทำ เดินไปหยุดตรงหน้าผาลาดเอียงที่เมื่อมองลงไปที่พื้นด้านล่าง สามารถเห็นถึงณิญญูที่กำลังหันรีหันขวางราวกับจะมองหาเขา

ชายหนุ่มไม่ได้ส่งเสียงใดออกไป อย่างที่รู้ดีว่าเป็นกฎต้องห้ามของป่าที่มากอันตราย เขาทำการเรียกไฟฉายออกมา ใช้มือบังปากไฟฉายไว้เพื่อป้องกันการกระจายของแสงที่อาจทำให้ใครที่อยู่ไกลออกไปเห็น ก่อนที่จะกดฉายแสงไปด้านล่างเร็วๆ หนึ่งครั้งเป็นการส่งสัญญาณ

ณิญญูที่เห็นแสงวาบลงมาแล้วหายไปในทันทีชะงักกึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้น เห็นถึงเงาร่างของเชนอยู่ในความมืดสลัว

แล้วเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากนั้น ณิญญูก็ทำการไต่ผาลาดเอียงขึ้นมาถึงตรงไหล่เขาได้ในที่สุด

ณิญญูกวาดสายตาสำรวจสถานที่แห่งนี้แล้วก็พยักหน้า

“เป็นที่พักที่ตรงตามตำราทุกอย่าง…แต่ดูแล้วนายคงไม่ใช่พวกหนอนหนังสือ คงเรียนรู้จากประสบการณ์ล่ะสิ”

“…”

เชนที่เวลานี้กำลังจัดแจงกองไม้แห้งไม่ได้กล่าวตอบอะไร

ณิญญูเดินเข้าไปหาเชนที่จัดแจงกิ่งไม้แห้งเสร็จ และกำลังจะทำการจุดกองไฟ

ณิญญูที่เห็นดังนั้นก็ทำการยกมือขึ้นดีดนิ้วดัง “เป๊าะ!” แล้วทันทีทันใดนั้น เปลวเพลิงกองหนึ่งก็วูบเผาไหม้กองไม้จนลุกท่วม

เชนชะงักมือทันที ด้วยความที่ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นผนึกวิญญาณอย่างแท้จริง เลยยังไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยกับ ‘วิญญาณธาตุ’ นัก…

“ไม่ต้องห่วง ฉันควบคุม ‘วิญญาณเพลิง’ ให้ปล่อยเป็นไฟทำความร้อนธรรมดา”

ณิญญูที่ทิ้งตัวนั่งลงอีกฟากของกองไฟกล่าวขึ้น พร้อมกับจ้องตรงมาที่เชนอย่างที่มีเรื่องจะคุย

“นายไปเจออะไร?”

เชนทิ้งตัวลงนั่งอีกฟาก พร้อมกล่าวถามในที่สุด ซึ่งณิญญูที่รอที่จะเล่าอยู่แล้วก็พูดขึ้นทันที

“หลังจากแยกกับนาย ฉันก็กำลังจะตรงมาที่นี่แหละ แต่ตอนนั้น ฉันรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมบางอย่างของวิญญาณก่อกำเนิด ตอนแรกฉันก็ประหลาดใจว่ามันคืออะไร แต่พอคิดไปถึงเรื่องที่ได้ยินมาจากท่านปู่ ตอนที่ท่านเล่าข้อมูลเกี่ยวกับขั้นผนึกวิญญาณให้ฟัง ตอนที่ฉันเพิ่งบรรลุถึงขั้นผนึกวิญญาณใหม่ๆ ฉันก็รู้ทันทีว่าแรงกระเพื่อมนั่น ต้องเป็นสิ่งที่ท่านปู่เล่าให้ฉันฟังเมื่อตอนนั้นแน่ มันคือ…”

ณิญญูดวงตาวูบแสง เต็มไปด้วยแรงแห่งความต้องการ

“ความตระหนักธาตุพร้อมผนึก!”

?

เชนย่นคิ้ว ใบหน้าปรากฏของความฉงนต่อศัพท์ดังกล่าว

ชายหนุ่มจากตระกูลผู้ดีเก่าเห็นเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่า คู่สนทนาเหมือนจะไม่รับทราบถึงข้อมูลในสิ่งที่ตนเพิ่งพูด

“ท่าทางนายคงไม่รู้เรื่องนี้สินะ? ก็ไม่แปลก ยังไงนายก็ยังอยู่ขั้นก่อเกิดวิญญาณ เอาอย่างนี้ ให้ฉันอธิบายสักหน่อย”

ณิญญูกล่าวเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้เริ่มพูดในทันที อีกฝ่ายเรียกหม้อสนามสำหรับต้มน้ำออกมา ใส่น้ำและผงกาแฟลงไปแบบลวกๆ อย่างที่ไม่มีพิธีรีตอง จนดูแทบไม่ออกว่านี่คือชายหนุ่มจากตระกูลที่เคร่งขรัดมารยาทในทุกสัดส่วน

ขณะที่รอให้กาแฟภายในหม้อสนามเดือด ณิญญูก็มองข้ามกองไฟมาที่เชน แล้วเริ่มพูดขึ้นในจังหวะนี้

“อย่างน้อยนายคงพอรู้สินะว่าหลังจากสร้าง ‘วิญญาณพร้อมผนึก’ เสร็จ นั่นก็จะทำให้ก้าวเข้าสู่ขั้นผนึกวิญญาณแล้วเกือบเต็มเท้า สิ่งที่นายต้องทำเพื่อก้าวเท้าเข้าสู่ขั้นผนึกวิญญาณอย่างแท้จริง และเป็นเรื่องที่ยากที่สุด บางคนใช้เวลาชั่วชีวิตก็ยังผนึกวิญญาณไม่ได้แม้แต่ดวงเดียวก็คือ ‘การตระหนักธาตุที่ต้องการผนึก’

“เข้าใจ ‘ธาตุ’ นั้นๆ อย่างลึกซึ้ง ลึกซึ้งชนิดที่สามารถประทับมันลงในวิญญาณของนาย และถ้าทำได้สำเร็จ นั่นก็คือการ ‘ผนึกวิญญาณ’ ”

เรื่อง ‘การผนึกวิญญาณ’ เชนรู้รายละเอียดมาแล้ว โดยเฉพาะตอนที่คุยกับ ‘เอนดีออส • เทพใต้หุบเหว’ ที่ถึงขนาดบอก ‘เหตุผล’ ที่ขั้นผนึกวิญญาณ ทำไมต้องทำกระบวนการผนึกธาตุนี้

ซึ่งเหตุผลที่คงจะมีน้อยคนนักที่จะเข้าใจความหมายว่า ‘ทำไมต้องผนึกธาตุ’ นั้นก็คือ เพื่อเป็นการผสมกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ทำการผนึกสรรพธาตุที่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่รังสรรค์ขึ้นมา ทำให้ธรรมชาติไม่รู้สึกว่าเราคือสิ่งแปลกปลอม…

ยิ่งสามารถทำการผนึกธาตุได้มากจำนวนเท่าไหร่ การกลมกลืนไปกับธรรมชาติก็จะยิ่งแนบสนิทเหนียวแน่นมากเท่านั้น และยิ่งถ้าธาตุนั้นมี ‘ความพิเศษ’ ด้วยแล้ว ความลึกล้ำในการกลมกลืนไปกับธรรมชาติก็จะยิ่งเหนียวแน่นแนบชิด

เอนดีออสยังกล่าวเกี่ยวกับการผนึกวิญญาณไว้ด้วยว่า ยิ่งทำให้สรรพสิ่งรู้สึกว่าเราไม่ใช่สิ่งปลอกแปลงได้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งส่งผลในการ ‘ค้นหาวิถี’ ในอนาคตอย่างใหญ่หลวงมากเท่านั้น…

นั่นคือเจตนาอันสำคัญยิ่งของขั้นผนึกวิญญาณ ซึ่งน้อยคนนักที่จะตระหนักรู้อย่างแท้จริง

ซึ่งนั่นทำให้ผู้ที่สามารถสร้าง ‘แท่นพื้นฐาน’ ได้มากจำนวนจะมีโอกาสอันกว้างใหญ่รออยู่ เพราะเมื่อมีแท่นพื้นฐานมากจำนวน ก็หมายความว่าสร้าง ‘วิญญาณพร้อมผนึก’ ได้มากตามมา แล้วก็จะสามารถทำการผนึกธาตุได้มากจำนวนและหลากหลายในเวลาถัดมา

ทุกขอบขั้นมีความหมายของมัน และส่งผลกระทบต่อเนื่องสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปอย่างมีนัยยะสำคัญ บางคนที่ไม่ได้มีความเข้าใจในเรื่อง ‘พื้นฐานปราณ’ ลึกซึ้งมากพอ อาจมองว่า ‘ขั้นพื้นฐาน’ อันเป็นปากประตูแรกเริ่มของเส้นทางแห่งพลังนั้นอ่อนด้อยไร้ความหวือหวา จึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก พยายามที่จะเร่งกระบวนการเพื่อไปสู่ขอบขั้นที่สูงขึ้นไปโดยเร็วที่สุด แล้วค่อยไปให้ความสนใจในขอบขั้นที่สูงแทน

แต่แท้จริงแล้ว กลับกันโดยสิ้นเชิง นั่นถือเป็นความคิดที่ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนก่นด่าสาปแช่งตนเองในอดีตมาแล้วนักต่อนัก…

ขั้นพื้นฐานที่อ่อนด้อยไร้ความหวือหวานั้น แท้จริงคือจุดที่ต้องให้การสนใจและต้องละเอียดอ่อนมากที่สุดในการก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งพลังเลยก็ว่าได้ เพราะมันคือ ‘รากฐาน’ ของทุกสิ่งในอนาคต

เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ‘เซียนพฤกษา’ ผู้ก่อตั้งสำนักเซียนพฤกษา และเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งห้วงท้องฟ้าและหมู่ดาวท่านนั้น คงไม่ทุ่มเทความมุมานะทั้งชีวิต พยายามถอดเหตุผลความทรงพลังของ ‘องค์ปฐมราชันเหนือฟ้า’ จนกระทั่งออกแบบรากฐานในการสร้าง [โอสถพื้นฐานเก้าแท่น] ให้แก่ประมุขของสำนักเซียนพฤกษาทุกรุ่นในเวลาต่อมา…

แม้เชนมีความเข้าใจในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง ชนิดที่น่าจะมากกว่าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวขัดณิญญูที่กำลังเล่า เขาเงียบและรับฟัง เพราะจริงๆ แล้วก็ยังมีรายละเอียดอีกหลายจุดที่เขาเหมือนจะยังไม่ทราบอยู่จริงๆ

ณิญญูเล่าต่อ โดยไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตอะไร

“กระบวนการที่ยากเย็นแสนเข็ญที่สุดก็คือ ‘การตระหนัก’ นี่แหละ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถ ‘ตระหนัก’ ได้ มันเป็นเรื่องที่ความพยายามอย่างเดียวไม่เพียงพอ มันมีเรื่องของพรสวรรค์ เรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิตเข้ามาเกี่ยวข้อง

“บางครั้ง นายอาจจะได้ ‘เปลวไฟ’ ที่ ‘พิเศษ’ ที่สุดมาไว้ในมือ แต่ถ้านายไม่สามารถ ‘ตระหนัก’ มันได้ ไม่สามารถถอดรายละเอียดและเข้าใจมันได้ถึงแก่น นายก็หมดสิทธิ์ที่จะ ‘ผนึก’ มันให้กลายเป็นของนาย”

ณิญญูชะโงกคอดูหม้อสนามที่เริ่มส่งกลิ่นเอกลักษณ์ของกาแฟคั่วเข้ม แต่เมื่อดูจากสีและกลิ่นว่ายังไม่ได้ที่นัก ชายหนุ่มก็ดึงตัวกลับก่อนจะพูดต่อไป

“ซึ่งบางครั้ง การที่ทำความเข้าใจธาตุไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่เก่งพอ ไม่ใช่เพราะสวรรค์ลิขิตมา แต่เป็นเพราะมีบางอย่างไม่สอดคล้องกับธาตุดังกล่าว เพราะฉะนั้น บางครั้งต่อให้พยายามแค่ไหนเปล่าก็เปล่าประโยชน์ นี่แหละคือความยากของการผนึกวิญญาณ

“นอกจากความพยายาม พรสวรรค์ ฟ้าลิขิต นายยังต้องลุ้นอีกว่าธาตุที่นายต้องการผนึกสามารถเข้ากันกับนายได้ไหม…เพราะงั้นเลยมีจำนวนไม่น้อยเลยที่ถอดใจจาก ‘ธาตุที่มีความพิเศษยิ่งยวด’ ไปทำการผนึกธาตุดาษดื่นที่หาได้ทั่วไปๆ ในธรรมชาติแทน

“แต่คนเหล่านั้นก็พยายามหาเงื่อนไข ที่ทำให้ธาตุพวกนั้นมีความพิเศษที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะนะ เช่นน้ำของ-่าฝนที่ตกหนักรุนแรงจนจมเมืองทั้งเมือง หรือไม่ก็ลมของพายุที่กวาดทำลายเมืองทั้งเมืองจนย่อยยับ…”

ณิญญูกล่าวมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักอีกครั้ง ชะโงกหน้าเข้าไปดูหม้อสนามเป็นครั้งที่สอง เมื่อเห็นว่าครั้งนี้ได้ที่แล้ว ก็ทำการใช้ ‘ปราณไร้ลักษณ์’ ยกหม้อสนามให้ลอยมาเทน้ำสีดำสนิทที่ส่งไอร้อนนั้นลงในแก้วที่เตรียมไว้ ก่อนที่จะสะบัดมือ ส่งหม้อสนามให้ลอยไปหยุดตรงหน้าเชน พร้อมกับมองมาคล้ายถามว่าจะเอาไหม?

ซึ่งพูดกันตามความจริง เชนที่ยังไม่ได้สนิทและไว้วางใจอีกฝ่ายขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะรับอะไรจากอีกฝ่ายมาเข้าปาก จึงทำการโบกมือปัดผ่าน ทำให้ณิญญูเรียกหม้อสนามกลับไปแขวนอุ่นไว้ที่เดิม

เมื่อยกกาแฟขึ้นจิบไปหนึ่งอึกจนใบหน้าดูแจ่มใส่ขึ้น ณิญญูก็พูดขึ้นว่า

“ที่ฉันเล่ามาทั้งหมดนี่ก็เพื่อจะบอกว่า ‘การผนึกวิญญาณ’ แต่ละดวงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ว่านะ มันก็พอจะมีทางลัดอยู่ นั่นคือ…”

มุมปากของบุรุษจากตระกูลผู้ดีเก่ายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม…

“แย่งชิงความตระหนักธาตุที่ถูกผนึกแล้วมาจากคนอื่น!”

ตอนต่อไป
ตอนที่ 1,010 วิธีแย่งชิงความตร...

นิยายแนะนำ

นิยายแนะนำ

ความคิดเห็น

COMMENT

ปักหมุด

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited( Kawebook.com )

Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )
ที่อยู่ : 20 หมู่ที่ 6 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 74000
เวลาทำการ : 08 : 00 - 18 : 00 จันทร์ - เสาร์
e-mail : contact@kawebook.com

DMCA.com Protection Status

เริ่มต้นเผยแพร่ผลงาน

เริ่มต้นเป็นนักเขียนออนไลน์ เขียนเรื่องราวที่ประทับใจ สร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และแบ่งปันประสบการ์ดีๆ กับผู้คนทั่วโลก kawebook.com เป็นโอกาส เป็นสื่อกลาง และยังเป็นอีกหนึ่งช่องทาง ในการสร้างรายได้ให้กับนักเขียนมืออาชีพ และนักเขียนมือสมัครเล่นจากทุกมุมโลก เพียงสมัครเป็นสมาชิกเว็บไซต์เพื่อเขียนหนังสือ การ์ตูน หรืออัพโหลดอนิเมชั่น ที่เป็นผลงานของท่าน และเผยแพร่ผลงานสู่สาธารณชน

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

© สงวนลิขสิทธิ์ 2017 Glory Forever Public Company Limited ( Kawebook.com )

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา