เรื่อง ธาราย้อนแห่งนครเชียงทอง
บอสะุ้หลุดาภวังค์ ความรู้สึกนีุ้้ๆ เหมือนเคยเป็ก่อนที่จะ้อดีตมาที่ยุคนี้ จึงจำได้ทันทีว่าพระพุทธรูปองค์นั้นคือพระแก้วมรกต พระพุทธรูปองค์สำคัญของไทยที่ได้เคยไปกราบสักการะมาแล้ว
บอสรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดจึงเข้าสู่ภวังค์คล้ายกับเมื่อก่อนเช่นนี้ เขาคิดว่ามันต้องมีความเกี่ยวโยงอะไรกันบางอย่างเป็แน่ แต่ยังคิดไม่ออกว่าคืออะไร จนทับเดินมาสะกิดที่หลัง
“ไซ นี่เจ้าเป็อันใด อยู่ๆ ก็เหม่อเช่นนี้… ?”
“ไม่มีอันใดดอก ไปๆ เข้าไปนอนกันได้แล้ว นี่ก็ดึกมากแล้วหนา วันพรุ่งจักได้ออกเดินทางต่อแต่เช้า”
“เออๆ ข้าก็เป็ห่วงดอก เลยถาม ยังจักมาไล่ข้าอีก เป็อะไรของเจ้ากัน…”
ทับงุนงงกับพฤติกรรมของบอส จึงได้แต่บ่นงึมงัมแล้วก็เดินเข้ากระโจมไป ส่วนบอสก็พยายามสะบัดหัวไปมาเพื่อให้คลายความกังวลเรื่องเมื่อครู่ไปก่อน แล้วจึงเดินตามทับเข้ากระโจมไป
รุ่งเช้ากิจวัตรก็เป็เช่นเดียวกับเมื่อวาน ทุกส่วนเร่งทำทุกอย่างให้แล้วเสร็จ แล้วออกเดินทางต่อภายในเวลาไม่เกิน 7 โมงเช้า เรือทั้ง 4 ลำแล่นาท่าน้ำที่วัด โดยหลังาเชียงของได้ไม่นานก็จะถึงบริเวณที่เป็แก่งอีกครั้ง ซึ่งตรงจุดนี้จะยาวต่อเนื่อง มีหลายจุดเป็ช่วงที่แม่น้ำแคบจึงต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมาก
จนมาถึงช่วงก่อนสบยอน ซึ่งเป็จุดบรรจบลำน้ำยอนไหลลงแม่น้ำโขง (บริเวณวนอุทยานห้วยทรายมาน อ.เชียงของ จ.เชียงราย ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็ช่วงที่แม่น้ำโขงแคบที่สุดในบริเวณนี้ (กว้างประมาณ 100 เมตร) รวมถึงสภาพภูมิประเทศเป็เกาะแก่ง และน้ำไหลเชี่ยว มีความอันตรายเป็อย่างมาก ทุกคนเลยต่างลุ้นเอาใจช่วยไปกับฝีพาย
จู่ๆ สายตาของทับที่นั่งอยู่บนเรือธงก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ซุ่มอยู่ข้างหน้า ด้วยสติปัญญาของทับจึงรู้ได้ทันทีถึงจุดประสงค์ของคนกลุ่มนั้น จึงรีบตะโกนบอกทุกคนให้เตรียมตัวรับมือ
“ทหารทุกคน เตรียมพร้อมรับมือลูกธนูแลเกาทัณฑ์ บัดเดี๋ยวนี้ !!!”
สิ้นเสียงของทับ ทุกคนต่างตกใจที่ได้ยิน แต่ก็พร้อมชักดาบาฝัก ไม่นานก็มีลูกธนู-่าใหญ่ยิงโค้งลงมาจากตลิ่งทั้งสองฝั่งของแม่น้ำโขง ทหารทุกคนต่างปัดป้องลูกธนูเหล่านั้นอย่างทุลักทุเล เพราะเรือโคลงเคลงอยู่ตลอดจากเส้นทางน้ำที่เป็ช่วงน้ำเชี่ยวกราดและเป็เกาะแก่ง
มีทหารของเรือนำ (เรือลำแรก) ถูกยิงจนบาดเจ็บไปแล้ว 2 คน ทับและแสนอินเห็นท่าไม่ดี จึงรีบแจ้งให้ฝีพายเรือธง (เรือลำที่ 2 ) พยายามพายไปให้ใกล้เรือนำ แล้วทั้งสองก็กระโดดขึ้นเรือลำแรกนั้นไป ใช้ออร่าดาบปัดป้องลูกธนูที่พุ่งลงมาอย่างฉุกละหุก ส่วนเรือธงก็มีแสนรังสรรค์และทหารคนอื่นช่วยปัดป้องให้แก่เ้าะาศักดิ์ฯ อยู่
บอสที่เห็นท่าไม่ดีัั้ จึงรีบแจ้งฝีพายของเรือตาม (เรือลำสุดท้าย) ที่บอสนั่งอยู่ ให้ไปชิดกับเรือหลัก (เรือลำที่ 3) ที่บรรทุกของบรรณาการอยู่ แล้วบอสก็กระโดดขึ้นเรือไปยืนอยู่บนหีบของบรรณาการ พร้อมชักดาบออกเตรียมปัดป้องกันของบรรณาการไว้ เพราะบอสคิดว่าเป้าหมายที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้คือการทำลายของบรรณาการ ในขณะเดียวกันนั้นก็มีการสื่อสารทางจิตมาจากทับว่า
"ไซ เจ้าระวังตัวด้วย ข้าคิดว่าเป้าหมายครานี้ จักเป็เรือหลักลำนั้น รอข้าจัดการที่นี้สักประเดี๋ยวแลจักเร่งไปช่วย'
และก็เป็ดั่งที่บอสและทับคิดไว้ ยังไม่ทันขาดคำของทับ เป้าหมายของลูกธนูถูกเปลี่ยนจากเรือ 2 ลำแรก มาเป็ลำที่ 3 ลูกธนูไฟถูกยิงลงมาอีก-่าใหญ่พุ่งเป้ามายังเรือหลักที่บอสยืนอยู่นี้ บอสจึงรีบรวบรวมสติ และเค้นพลังมาไว้ที่ดาบ แสงสีทองเรืองรองเปล่งประกายเจิดจ้าบนใบดาบของบอส ก่อนจะวาดดาบขึ้นฟ้า
แสงสีทองสว่างวาบปัดลูกธนูไฟส่วนใหญ่เหล่านั้นกระเด็นออกไป มีเพียงบางส่วนที่หลุดรอดผ่านเข้ามาได้ แต่ไม่โดนของบรรณาการหรือตำแหน่งสำคัญของเรือ ลูกเรือจึงช่วยกับดับไฟได้อย่างทันท่วงที บอสกลับมายืนเตรียมพร้อมตั้งรับอีกครั้ง พร้อมใบดาบที่เปล่งแสงสีทองสว่างจ้า
ทุกคนที่ประจำอยู่บนเรือทั้งหมดที่ได้เห็นบอสแสดงวิชชาดาบที่เหนือชั้นต่างพากันอ้าปากค้าง เพราะเกิดมายังไม่เคยพบวิชชาเช่นนี้มาก่อน จะมีเพียงบางคนที่เคยเห็นบอสใช้วิชชานี้แล้วตอนสมรภูมิวัดร้าง แต่ภาพตรงหน้านี้ก็ยังพลอยให้อดตะลึงอีกครั้งไม่ได้
เช่นเดียวกับเ้าะาศักดิ์ฯ และพระยาเขตฯ ที่เห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน เพราะตอนแรกคิดว่าพวกต้องจบเห่แล้วเป็แน่ ลูกธนูไฟร่วม 30 ดอก ถูกยิงออกมาพร้อมกัน ถึงจะรู้ว่าบอสเก่งเพียงใดก็ไม่คิดว่าบอสจะรับได้ทั้งหมดอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นบอสสร้างปาฏิหาริย์อีกครั้ง จึงทั้งอึ้งและโล่งใจไปพร้อมๆ กัน
ไม่ใช่แค่ฝ่ายเท่านั้น เหล่าศัตรูก็ต่างพากันตกตะลึงในสิ่งที่เห็นนี้จนลืมจะยิงธนูในชุดต่อไป ทั้งหมดต่างพากันหันไปถามคนข้างๆ ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น คนผู้นั้นใช้วิชชาอะไร ระหว่างนั้นพลันมีชายผู้หนึ่งที่แต่งตัวแตกต่างไปจากผู้อื่นในที่นั้น พูดขึ้นว่า
“จงเอาธนูมาให้ข้า..!!!”
สิ้นคำั่ ทหารคนหนึ่งจึงนั่งคุกเข่าแล้วนำธนูลวดลายงดงามคันหนึ่งยกขึ้นเหนือศีรษะ ชายผู้นั้นรับคันธนูพร้อมลูกมาขึ้นสาย เล็งอยู่เพียงครู่เดียวลูกธนูนั้นก็ถูกยิงออก คนผู้นี้ไม่ได้ยิงเป็วิถีโค้ง แต่เป็การยิงตรงๆ ไปยังเป้าหมายเลย เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังคล้ายฟ้าฝ่า ทับที่ตอนนี้ข้ามมาหาบอสที่เรือหลักแล้ว จึงสังเกตเห็นแสงจากธนูที่กำลังพุ่งมานั้น
จะตะโกนบอกบอสก็คงไม่ทัน จึงใช้อาคมเร่งความเร็วกระโดดหมายจะใช้ออร่าดาบกันลูกธนูนั้นไว้ แต่เมื่อดาบของทับปะทะกับลูกธนูนั้น ทับถึงกับกระเด็นจนเกือบจะตกจากเรือ บอสถึงเพิ่งรู้ว่ามีลูกธนูเล็งมาหา โชคดีที่ทับช่วยชีวิตไว้ ด้วยความตกใจ บอสจึงรีบวิ่งไปดูอาการของทับทันที ซึ่งทับก็ไม่ได้เป็อะไรมาก บอสจึงพูดกับทับว่า
“ทับ ช่วยหาธนูให้ข้าหน่อย”
“หา นี่เจ้าจะเอาธนูไปทำอันใด เจ้ามิเคยฝึกเลยหนา…?”
“เอามาให้ข้าเถิด หากเป็เช่นนี้พวกเราจักตกเป็เป้าอย่างเดียวเลยหนา”
“อะๆ ก็แล้วแต่เจ้าเลย แต่จงระวังเจ้านั้นด้วยหล่ะ ลูกธนูมันมิธรรมดาเลย คาดว่ามันจักต้องเป็เจตลมที่แข็งแกร่งเป็แน่ เล่นเอาเสียตอนรับเมื่อครู่ ข้ามือสั่นไปหมด”
“ได้ๆ ข้าจักระวัง แลเมื่อครู่ข้าขอขอบใจเจ้าหนา ทับ”
ทับยิ้มให้แล้วก็เร่งไปหยิบธนูที่อยู่ในเรือมาให้บอส บอสจับธนูและลูกขึ้นมา พร้อมขึ้นสายแล้วเล็งไปยังจุดที่เห็นแสงธนูนั้นยิงมา ซึ่งตอนนี้อยู่ห่างไปร่วมจะ 100 เมตรแล้ว บอสที่ไม่เคยจับธนูมาก่อนเลย แต่กลับรู้สึกคุ้นชินกับท่วงท่าที่ตัวเองกำลังทำอยู่นี้ ซึ่งถึงเขาจะแปลกใจอยู่แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว บอสจึงปล่อยลูกธนูนั้นให้พุ่งออกไป
ลูกธนูของบอสหลังาคันกลับเปล่งแสงสีทองพุ่งไปยังตำแหน่งชายผู้นั้นยิงธนูมาหา ด้วยความตกตะลึงและรู้ถึงอาณุภาพของลูกธนูดอกนี้ ชายผู้นั้นจึงรีบั่ให้ทุกคนหมอบลงกับพื้นได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนที่ลูกธนูของบอสจะพุ่งชนต้นไม้ด้านหลังจนระเบิดกระจุย
เหล่ามือธนูทั้งหลายของฝั่งศัตรู เมื่อได้เห็นพลังทำลายล้างของลูกธนูดอกนี้แล้วถึงกับหมดกำลังใจจะต่อสู้ต่อ มีเพียงชายผู้นั้นที่ยืนมองต้นไม้ที่ระเบิดแตกกระจุยนั้นอย่างเจ็บใจ
‘เจ้านั้นมันเป็ผู้ใดกันหนอ เหตุใดจึงใช้ทั้งวิชชาดาบและวิชชาธนูที่ร้ายกาจเยี่ยงนี้ได้ มันเป็เจตวิญญาณใดกันแน่…’
ตอนนี้เรือทั้ง 4 ลำแล่นพ้นช่วงเกาะแก่งไปแล้ว แม่น้ำโขงเริ่มกลับมากว้างขึ้นอีกครั้ง เรือทั้งหมดพยายามรักษาตำแหน่งไว้ที่กลางแม่น้ำ บอสและทับรวมถึงทหารคนอื่นยังคงยืนถือดาบและธนูคุมเชิงอยู่ จนผ่านไปซักพัก เมื่อไม่เห็นมีศัตรูตามมาแล้วจึงได้พากันเก็บดาบและธนู
ทั้งหมดต่างพากันช่วยตรวจดูความเสียหายและคนเจ็บ พบว่า สภาพเรือโดยรวมไม่ได้รับความเสียหายมากนัก ถูกลูกธนูปักใส่บ้างเล็กน้อย ส่วนข้าวของไม่มีอะไรเสียหาย ของบรรณาการเองก็เช่นกัน มีเพียงทหารที่ถูกลูกธนูยิงใส่จนบาดเจ็บจำนวน 3 คน เท่านั้น ซึ่งตอนนี้กำลังปฐมพยาบาลกันอยู่
แต่ดูเหมือนจะมีทหารผู้หนึ่งบาดเจ็บค่อนข้างมาก ซึ่งไม่สามารถปฐมพยาบาลบนเรือได้ เ้าะาศักดิ์ฯ เห็นัั้ จึงั่ให้ขบวนเรือทั้งหมดไปเข้าฝั่งที่เมืองเชียงแสน ซึ่งอยู่อีกประมาณ 20 กิโลข้างหน้า โดยแสนรังสรรค์รีบทัดทานคำั่เ้าะาศักดิ์ฯ ทันทีว่า
“ท่านเจ้าคุณ… มันจักมิเป็อันตรายเกินไปดอกหรือขอรับ พวกเมื่อครู่อาจจักเป็คนของเชียงแสนก็เป็ได้หนาขอรับ”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันกับแสนรังสรรค์ ขอท่านเจ้าคุณโปรดไตร่ตรองด้วยเถิด” (พระยาเขตฯ เห็นตามแสนรังสรรค์)
“ข้าว่ามิน่าจักเป็ไรดอก แต่จักปล่อยให้เขามาตายบนเรือเยี่ยงนี้ก็ได้ไม่…”
พระยาเขตฯ เห็นด้วยกับที่แสนรังสรรค์เป็กังวล ซึ่งประเด็นกังวลนี้ ตัวเ้าะาศักดิ์ฯ เองก็คิดได้เช่น แต่ด้วยมีคนเจ็บเช่นนี้ หากไม่รีบขึ้นฝั่งเกรงว่าอาจจะแย่กว่านี้ก็เป็ได้ รวมถึงขวัญกำลังใจทหารทั้งหมดอาจจะเสียไปได้ด้วย ทั้งๆ ที่เพิ่งจะได้ขวัญกำลังใจดีมาจากการโต้กลับของบอสแล้วแท้ๆ
เ้าะาศักดิ์ฯ จึงคิดว่าในเมื่อมีทั้งบอส ทับและแสนอินฯ อยู่ การขึ้นฝั่งเมืองเชียงแสนครั้งนี้ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรมาก
‘มีทั้งแสนไซ แสนทับ แลแสนอิน เช่นนี้ คงจักมิเป็ไรดอกกระมัง คงต้องขึ้นฝั่งให้พวกเขารักษาตัวก่อนเป็ดี…’
---------------------------------------
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??