เรื่อง รวมเรื่องสั้นเก่าๆที่เคยเขียน
เวลา 13.40 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2013ฝน-่าใหญ่ได้ตกลงมาในเขตที่อยู่อาศัยของชนเผ่าปกาเกอะญอ หลังฝนหยุดตกเมฆฝนเหล่านั้นก็ลอยผ่านไปที่อื่น ทว่า ได้มี"เมฆสีแดง"กลุ่มใหญ่ลอยผ่านมา....
ฝนสีแดงได้ตกลงมาจากเมฆสีแดงกลุ่มนั้น น้ำสีแดงที่ตกลงบนพื้นมันค่อยคืบคลานเข้ารวมตัวกันกับหยดน้ำกลายเป็นผืนน้ำสีแดงขนาดใหญ่ค่อยๆคืบคลานเข้าไปดูดกลืนวัตถุสิ่งของผู้คนและสัตว์ในหมู่บ้านแห่งนั้น
"เมี๊ยว!!!!!!" "โฮ่งๆๆๆๆๆ!!!!!โฮ่ง!!!!โฮ่ง!!!!!" "ว๊าย!!!!" "ช่วยด้วย!!!!" "อ๊าก!!!!" เมื่อหมู่บ้านถูกดูดกลืนจนหมดสิ้นน้ำสีแดงก็ระเหยตัวเองกลายเป็นไอสีแดงขึ้นไปบนฟ้ารวมตัวกับเมฆสีแดงตามเดิม แล้วลอยหายไปจากท้องฟ้า
.....2 มกราคม 2013 19นาฬิกา 00นาที
หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง ได้มีฝนตกในตอนนั้น....
และเมื่อฝนหยุดตก เมฆสีแดงได้โจมตีที่นั่น มันดูดกลืนทุกอย่างในนั้นจนหมดสิ้นทั้งหมู่บ้าน
บ้านของอัศวิน และ อลินดา วันที่3 มกราคม 2013 เวลา 9นาฬิกา 00นาที
ซ ร ซ ร ฟ ฟ ร ด ซ ร ดรด ฟฟม มซร (<---โน๊ตเพลงของเพลงของรายการหนึ่งของโทรทัศน์ช่องหนึ่ง)
"อลินดา เราไปเที่ยวอควาเรี่ยมกันมั๊ย"
"หนูไม่ใช่แฟนพี่นะ....."
"เอ่อ....เดี๋ยวนะ..." ที่น่าตลกคืออัศวินหน้าแดงเฉย
เวลา 12นาฬิกา 45นาที ของวันเดียวกัน
ณ อควาเรียมในจังหวัดชลบุรี
อัศวินและอลินดาเดินผ่านอ่างดาวทะเลไป... โดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าน้ำในอ่างดาวทะเลเป็นน้ำสีแดง
เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในอควาเรียม ทุกคนในที่นั่นต่างก็แตกตื่นวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย อลินดาเห็นดังนั้นจึงว่า"เขาหนีอะไรกันน่ะ" อัศวินเห็นดังนั้นจึงวิ่งไปข้างนอกกับอลินดาและภาพที่อยู่ต่อหน้าทั้งสองคนนั้นคือ ผืนน้ำสีแดงขนาดใหญ่กำลังดูดกลืนสิ่งก่อสร้างและผู้คนจำนวนหนึ่งถนนซีเมนต์,ตึกที่ก่อด้วยปูน,รูปปั้นคอนกรีต อัศวินและอลินดาตกใจกลัวเป็นอันมากจึงพากันไปหนีไปที่อื่นจนรอดพ้นผืนน้ำสีแดงมาได้
เวลา 13 นาฬิกา 38นาที เมฆสีแดงลอยอยู่เหนือจังหวัดกรุงเทพและฝนสีแดงก็ตกที่นั่นแล้วเข้ากลืนกินทุกสิ่งในนั้นเหล่าผู้คนและสัตว์แตกตื่นป็นอันมาก ถุงลอยปลิวว่อนไปทั่วฟ้า รถคว่ำชนกันเอง ผู้คนเหยียบกันตายบนผืนน้ำสีแดงที่หลั่งไหลอยู่บนพื้นผิวโลก ของใช้ของกินทุกสิ่งอยู่บนถนนสิ้น ตึกรามบ้านช่องสิ่งมีชีวิตนั้นถูกดูดกลืนไปเสียสิ้น ที่คลังแสงกองทัพอากาศประเทศไทย น้ำสีแดงได้กลืนเครื่องบินรบGrippenไปลำหนึ่ง แต่เครื่องบินลำนั้นเกิดระเบิดขึ้นน้ำสีแดงที่คลังแสงของกองทัพอากาศจึงระเหยกลายเป็นไอสีแดงขึ้นไปบนฟ้า ขณะเดียวกัน จากการโจมตีของน้ำสีแดงทำให้ปั๊มน้ำมันทุกแห่งเกิดระเบิดขึ้นทั่วทั้งกรุงเทพ น้ำสีแดงจึงระเหยกลายเป็นไอสีแดงรวมตัวกับเมฆสีแดงบนฟ้าแล้วลอยหายไป
รายการข่าวโทรทัศน์ทุกช่องต่างออกมารายงานข่าวเรื่องการโจมตีของเมฆสีแดงและน้ำสีแดงภายหลังจากเกิดเหตุเพียงแค่5นาที
"ครับ ตอนนี้เราอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยนะครับ เมฆและฝนสีแดงได้โจมตีที่นี่ อย่างที่เห็นนะครับข้างหลังผมท่านผู้ชมจะเห็นว่า อนุสาวรีย์ชัยได้หายไปแล้วนะครับ และบนพื้นจะพบกกับซากสิ่งมีชีวิตที่เสียชีวิตจากการโจมตีของน้ำสีแดง ตอนนี้พบยอดผู้เสียชีวิต3,058ราย และผู้บาดเจ็บ180,000ราย.......... .........."
วันที่4 มกราคม 2013
ตอนนี้ก็ยังคงมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับเมฆฝนสีแดงและข่าวนี้ต่างก็ดังไปทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์จากทุกด้านแม้กระทั่งผู้ที่ทำงานค้นหาสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวจากทุกประเทศทั่วโลกต่างมารวมตัวกันที่ประเทศไทยเพื่อค้นหาคำตอบเรื่องที่เมฆฝนสีแดงออกอาละวาด โดยจัดตั้งทีมกันที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจัดประชุมกันที่ที่ประชุมที่นักวิทยาศาสตร์ชาวไทยคนหนึ่งสร้างมันขึ้นมา โดยมีล่าม20คนคอยแปลภาษาต่างๆให้
"เรื่องเมฆฝนสีแดงนั่น เป็นปรากฏการณ์ลึกลับทางธรรมชาติแบบหนึ่งที่วิทยาศาสตร์ยังไม่อาจอธิบายได้ ถ้าเราไขความลับเรื่องเมฆฝนสีแดงนี้ได้ก็จะไขปริศนาทางธรรมชาติที่ยังอธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาตร์บนโลกนี้ได้"นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันพูดขึ้น
"เมฆฝนสีแดงนั่น....อาจเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นบนโลก"นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นกล่าวตาม
"โทษนะครับ ผมไม่เห็นด้วย มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหรือเป็นเพราะสภาพอากาศแปรปรวนหรอกนะครับ ถ้าดูจากการกระทำของเมฆฝนสีแดงเราสามารถสรุปได้ทันทีว่ามันเป็น สิ่งมีชีวิต ครับ" ดร.ปฏิพัทธิ์ ชื่อเล่น จอห์นนี่ นักวิทยาศาสตร์ชาวไทยแย้งขึ้น
"เอ่อ ขอโทษนะครับ แต่....คุณมีหลักฐานอะไรครับ?" นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาเอ่ย
"เหตุการณ์ไงครับ เหตุการณ์คือหลักฐานชั้นยอด เรารู้ได้ทันทีว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต มันดูเป็นสิ่งมีชีวิตมากเกินไปซึ่งขัดกับลักษณะของสิ่งไม่มีชีวิตอย่างน้ำ"ดร.ปฏิพัทธิ์ตอบ
"ถ้าอย่างนั้น ที่มันดูดกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวมันก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งชีวิต....มันต้องการอาหาร....."นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียกล่าวขึ้น
"แล้วเราจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต.....?...." นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษพูดขึ้น
"เรื่องนั้นผมจะหาหลักฐานและข้อมูลมาให้ดูเองครับ ตอนนี้เวลา12นาฬิกาตรงแล้วครับ ต้องเลิกประชุมแล้วละครับ ถ้าต้องประชุมอีกเมื่อไหร่ผู้ดูแลการประชุมจะแจ้งไปให้ทุกท่านทราบนะครับ ขอบคุณครับ"
เมื่องานประชุมเลิก จอห์นนี่เตรียมตัวไปหมู่บ้านปกาเกอะญอแห่งหนึ่งในแถบทางภาคเหนือ
วันที่ 5 มกราคม 2013 เวลา6นาฬิกา 00นาที
จอห์นนี่เดินทางมาถึงหมูบ้านปกาเกอะญอแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่เดียวกันกับที่ถูกเมฆฝนสีแดงโจมตีเป็นที่แรก สิ่งที่เขาเห็นก็คือทุกสิ่งในหมู่บ้านแห่งนี้ได้หายไปทั้งหมดเหลือเพียงบ้านที่พังไปแล้ว10หลังเท่านั้น
เขาถ่ายวีดีโอสภาพของหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ เมื่อเขาเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งเขาเห็นน้ำสีแดงเกาะอยู่บนหม้อ เมื่อเขาจะถ่ายวีดีโอหยดน้ำสีแดงค่อยๆไหลมาหาเขา เขาหยิบมะเขือบนพื้นลูกหนึ่งมาวางไว้ข้างหน้าน้ำสีแดงนั้น น้ำสีแดงก็ดูดกลืนมะเขือเข้าไป แล้วมันก็ค่อยๆตรงมาหาเขา เขาจึงจุดไม้ขีดไฟที่ร่วงลงบนพื้นในบ้านหลังแล้วทิ้งใส่น้ำสีแดงนั้น น้ำสีแดงนั้นก็ค่อยระเหยกลายเป็นไอสีแดงอยู่บนพื้น จอห์นนี่เห็นดังนั้นก็ออกมาข้างนอก ไอสีแดงนั้นก็ลอยออกมาจากบ้านแล้วขึ้นฟ้าไป
เวลา 6นาฬิกา 38นาที
จอห์นนี่กำลังจะเดินทางกลับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทว่าพอกำลังจะลงเขาเมฆฝนสีแดงได้ค่อยๆลอยเข้ามาโจมตีที่นั่นและอัศวินกับอลินดาก็อยู่ที่นั่นด้วย ทั้งคู่กำลังจะถูกเมฆฝนโจมตีจอห์นนี่ไปรับตัวทั้งคู่ไว้ได้ทันก่อนที่จะถูกเมฆฝนโจมตี
"คุณมาเที่ยวใช่ไหมครับ หลบเข้าไปในป่าก่อนครับ จะหลบเมฆฝนสีแดงได้ง่ายกว่า"จอห์นนี่กล่าวขึ้น แล้วทั้งสามคนก็เข้าไปในป่า หลบหนีเมฆฝนสีแดงไปเรื่อยๆจนกระทั่งพ้นเมฆฝนสีแดงแล้ว จอห์นนี่จึงกล่าวขึ้นมาว่า "ผมขอตัวไปก่อนนะครับ"
"ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ"
เวลา 21 นาฬิกา 58นาที
จอห์นนี่เดินทางกลับมาถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้ดูแลการประชุมก็แจ้งเข้ามาว่า จะเริ่มการประชุมในวันพรุ่งนี้ เวลา15นาฬิกาตรง
6 มกราคม 2013 เวลา 15นาฬิกา 00นาที
"เอาละครับ ตอนนี้ผมมีหลักฐานและข้อมูลเพียงพอที่จะอธิบายได้ว่าเมฆฝนนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตจริง" จอห์นนี่พูดขึ้นแล้วเปิดวีดีโอที่ตนบันทึกตั้งแต่สภาพหมู่บ้านที่เสียหายไปจนถึงน้ำสีแดงที่ยังตกค้างอยู่ระเหยกลายเป็นไอ
"การโจมตีครั้งแรกของเมฆฝนสีแดงเกิดขึ้นที่หมู่บ้านของชนกลุ่มน้อยแห่งหนึ่ง ครั้งต่อมาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง ครั้งที่สามที่ชลบุรี น่าประหลาดที่การโจมตีทั้งสามครั้งนั้นได้ลงในเว็บไซต์ข่าวออนไลน์แต่กลับไม่มีใครแชร์ข่าวพวกนั้นเลย กลายเป็นข่าวที่ไม่ดังนักส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะลงในเว็บไซต์ที่ไม่ได้โด่งดังนักในขณะที่การโจมตีที่กรุงเทพกลับเป็นข่าวดังในทั่วโลก และแน่นอนว่าเมฆจะลอยกลับไปหาที่ๆมันเกิดขึ้นมาเองไม่ได้ แต่ในขณะที่ผมไปถ่ายวีดีโอนี้อยู่นั้น มันโจมตีที่นั่นด้วย"
เมื่อทุกคนได้ยินจอห์นนี่พูดดังนั้นต่างฝ่ายต่างก็มองตากัน....
"หากดูจากแผนที่จะพบว่า มันโจมตีจากทางเหนือลงมาใต้ แล้วมันก็กลับจากทางใต้ขึ้นไปข้างบน ซึ่งดูไม่เหมือนกับว่ามันจะเป็นสิ่งไม่มีชีวิตแต่ดูเหมือนสิ่งมีชีวิตมากกว่า นอกจากนี้ ในตอนท้ายของคลิปเมื่อมันโดนไฟมันก็มีปฏิกริยากลายเป็นไอ ซึ่งสิ่งไม่มีชีวิตโดยปกติแล้วมักจะไม่ตอบสนองต่อความร้อนหรือสิ่งเร้าทุกชนิด ในขณะที่สิ่งมีชีวิตมีปฏิกริยาตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้น เช่นพืชเมื่อมันได้รับแสงน้อยก็จะเอนเข้าหาแสงเพื่อให้ได้รับแสงให้มากที่สุด นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ยืนยันได้ว่ามันเป็น สิ่งมีชีวิต"จอห์นนี่กล่าวต่อ
"แล้วถ้ามันเป็นเพียงแค่แก๊สหรือสสารอะไรบางอย่างขึ้นมาล่ะ?"นักวิทยาศาสตร์อเมริกากล่าวถาม
"ถ้ามันเป็นเพียงแค่สสารหรือแก๊สจริงๆมันจะไม่เป็นเหมือนอย่างที่น้ำฝนสีแดงเป็น ในวีดีโอจะเห็นว่า มันค่อยๆออกมาจากนอกบ้านแล้วขึ้นไปบนฟ้าทั้งหมด ซึ่งแก๊ซหรือสสารอะไรก็ตามต่อให้ระเหยกลายเป็นไอก็ไม่อาจขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ทั้งหมดนะครับ อันที่จริงต้องพูดว่า ใช่ว่ามันจะขึ้นไปบนฟ้าอย่างฉับพลันจนสังเกตุเห็นได้ชัดแบบน้ำฝนสีแดงนะครับ"จอห์นนี่กล่าวตอบ
"ถ้าอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ"นักวิทยาศาสตร์รัสเซียพูดขึ้น
"แล้วมีโอกาสที่มันจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวหรือเปล่าครับ"นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นถาม
"มีครับ เพราะเราไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ที่มีลักษณะเป็นแก๊สหรือเป็นน้ำที่มีชีวิตมาก่อน"จอห์นนี่ตอบ
"ถ้ามันมาจากต่างดาวจริงๆมันก็เป็นหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง"นักวิทยาศาสตร์อังกฤษกล่าวขึ้น
"ใช่แล้ว" นักวิทยาศาสตร์เยอรมันกล่าวเสริม
ทันใดนั้นโทรทัศน์ก็รายงานข่าวด่วนเกี่ยวกับเรื่องเมฆฝนสีแดง ผู้ดูแลการประชุมเข้ามาแจ้ง จอห์นนี่จึงเปิดโทรทัศน์
"ตอนนี้เมฆฝนสีแดงกำลังมาที่เกาะเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้วค่ะ สถานีรถไฟอยุธยาได้ถูกเมฆฝนสีแดงทำลายไปแล้วค่ะ........."
"ว่าไงนะ!!!?"นักวิทยาศาสตร์อเมริกากล่าวขึ้น
"กำลังมาที่นี่เนี่ยนะ!?"นักวิทยาศาสตร์บราซิลพูดออกมาด้วยความตกตะลึง
"เรารู้แค่ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ไมรู้วิธีจัดการมันเนี่ยสิ"นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเอ่ย
"วิธีจัดการ....."เมื่อจอห์นนี่ได้ฟังนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นพูดขึ้นเขาจึงนึกบางอย่างขึ้นได้
"ขอข้อมูล ข่าว ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตอนที่เมฆฝนสีแดงโจมตีกรุงเทพหน่อยครับ ผมได้ยินมาว่าก่อนที่เมฆฝนสีแดงจะหายไปมันกลายเป็นไอ ผมต้องการรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"จอห์นนี่พูดกับผู้ดูแลการประชุมผู้ดูแลการประชุมจึงเอาหนังสือพิมพ์หลายฉบับมาให้ และจอห์นนี่ก็อ่านข่าวเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเมฆฝนสีแดงจนครบทุกฉบับ
"ผมรู้แล้ว"
"อะไรเหรอ?"นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นถาม
"ก่อนที่น้ำสีแดงจะระเหยทั้งกรุงเทพ 10นาที เครื่องบินลำหนึ่งของกองทัพอากาศลำหนึ่งเกิดระเบิดขึ้นหลังจากนั้นน้ำสีแดงก็ระเหยกลายเป็นไอ 5นาทีหลังจากเครื่องบินลำนั้นระเบิด ปั๊มน้ำมันทุกแห่งทั่วกรุงเทพเกิดระเบิดขึ้นพร้อมกัน น้ำสีแดงก็ระเหยกลายเป็นไอสีแดงในทันที และวีดีโอที่ผมบันทึกได้มันก็ระเหยกลายเป็นไอเพราะไฟจากไม้ขีดไฟ"
"นั่นก็หมายความว่า มันแพ้ความร้อน"นักวิทยาศาตร์รัสเซียพูดขึ้น
"ใช่แล้วครับ ถ้าเราให้ความร้อนให้กับมันเราต้องจัดการมันได้แน่"จอห์นนี่กล่าวตอบ
"ท่านผู้ชมคะ ตอนนี้เมฆฝนสีแดงเข้าไปในเกาะเมืองแล้วค่ะ....."
"บ้าเอ๊ย"นักวิทยาศาสตร์อเมริกากล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกบัดซบ
"ทุกท่านครับ เราต้องรีบหนีออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุดแล้วละครับ" เมื่อจอห์นนี่พูดขึ้นดังนั้นแล้ว ทุกคนจึงเตรียมตัวแล้วหนีออกจากเกาะเมืองพร้อมกัน แล้วฝนสีแดงก็ตกลงในที่แห่งนั้น มันดูดกลืนทุกอย่าง เมื่อผืนน้ำสีแดงเดินทางไปที่ใด ทุกสิ่งแถบนั้นก็ถูกดูดกลืน เหล่าผู้คนและสัตว์ต่างร้องเสียงโหยหวน จากนั้นผืนน้ำสีแดงก็ระเหยตัวเองกลายเป็นไอขึ้นไปบนฟ้า บนพื้นมี.... เลือดสีแดงสดนองท่วมพื้น โครงกระดูกและหัวกะโหลกที่ยังมีอวัยวะเหลือข้างใน ดวงตา กระเพาะอาหาร ตับ ลำไส้ฉีกขาดกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นถนนทุกหนแห่งเปี่ยมไปด้วยรอยเลือด
เวลา16นาฬิกา 00นาที นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้อพยพประชาชนและให้ทังสามเหล่าทัพเตรียมตัวต่อสู้กับเมฆฝนสีแดงและเรียกตัวทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้ทำการศึกษาเมฆฝนสีแดงทุกคนไป
"ทุกท่านครับ ท่านนายกรัฐมนตรี"
"ที่ผมเรียกพวกคุณนักวิทยาศาสตร์จากทุกประเทศทั่วโลกมาพร้อมกันในวันนี้ คือ เนื่องจากเรื่องเมฆฝนสีแดงสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ผมอยากจะให้พวกคุณจัดการเรื่องนี้ให้ ก่อนอื่นนะครับ ผมอยากจะทราบข้อมูลเบื้องต้นของเมฆฝนสีแดงหน่อย"
"ครับท่าน ท่านครับ เมฆฝนสีแดงนั่นเป็นสิ่งมีชีวิต เนื่องจากมันมีปฏิกริยาตอบสนองเหมือนกับพวกสิ่งมีชีวิตมากกว่าสิ่งไม่มีชีวิตมากกว่าน้ำหรือสสารทั่วไป การโจมตีครั้งแรกเกิดขึ้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่สองที่ภาคกลาง ครั้งที่สามที่ภาคตะวันออก ครั้งที่สี่และครั้งที่ห้าคือภาคกลางและเหนืออีกครั้งค่อนข้างชัดเจนว่ามันคือสิ่งมีชีวิตแน่นอนเพราะมันมีความคิด และที่มันดูดกลืนทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวมันอาจเป็นไปได้ว่ามันต้องอาหารครับ" จอห์นนี่กล่าวขึ้น
"อืม แล้วมันมีชื่อป่ะ ถ้ามันเป็นสิ่งมีชีวิตต้องมีชื่อ"
"โคโลยูโดะ ครับท่าน"
"อืม ถ้างานพวกคุณต้องทำงานกับกระทรวงกลาโหมนะ เริ่มงานวันนี้ได้เลย"
"ครับ"
7 มกราคม 2013 เวลา 6นาฬิกา 30นาที
ณ ที่ประชุมกระทรวงกลาโหม
"เมฆฝนสีแดงนั่นสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตเป็นอย่างมากอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เราต้องเตรียมมาตรการรับมือกับเมฆฝนสีแดงโดยเร็วที่สุด ข้อมูลที่เรามีอยู่ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่า โคโลยูโดะ แพ้ความร้อน แต่ว่าเราจะให้ความร้อนกับมันยังไง" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวขึ้น
"อันที่จริง เราสามารถใช้ระเบิดธรรมดาจัดการกับมันได้ เรื่องที่เราควรทำในตอนนี้คือการค้นหา ตำแหน่งของมันมากกว่านะครับ" จอห์นนี่กล่าวขึ้น
"แล้วเราจะหาตำแหน่งมันยังไงได้ล่ะ" รองรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกล่าวถาม
"การพยากรณ์อากาศไงครับ โคโลยูโดะมีลักษณะเป็นเมฆฝนและลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศ นั่นหมายความว่าดาวเทียมพยากรณ์อากาศจะจับตำแหน่งของมันได้แน่นอน ในตอนนี้ที่เราต้องทำคือระบุตำแหน่งของมันแล้วค่อยคิดวิธีการจัดการกับมันต่อไปครับ"
วันที่8 มกราคม 2013 เวลา 11นาฬิกา 50นาที
ด้วยการจับตำแหน่งโคโลยูโดะด้วยดาวเทียมพยากรณ์อากาศทางกองทัพจึงสามารถจับตำแหน่งมันได้ว่าตอนนี้ โคโลยูโดะ กำลังอยู่ที่ภูเขาหัวโล้นลูกหนึ่งในจังหวัดนครนายก ทางกองทัพจึงไปที่นั่น
เวลา 12 นาฬิกา 50นาที เมฆสีแดงก็ลอยลงมาบนพื้นดิน
"อะไรว่ะนะ"ทหารนายหนึ่งกล่าวขึ้น
"ทำไมมันไม่ตกลงมาเป็นฝนก่อนล่ะ?"นักวิทยาศาสตร์รัสเซียพูดขึ้นอย่างสงสัย
จากนั้นกลุ่มเมฆสีแดงก็ค่อยเปลี่ยนรูปร่าง เป็นบ้านหลังหนึ่ง แล้วค่อยมีผู้คนวัวควายเพิ่มเข้ามาซึ่งตรงกับลักษณะของสิ่งที่มันดูดกลืนไปทั้งสิ้น
"นี่มันหมายความว่า.......เมฆสีแดงเปลี่ยนรูปร่างของตัวเองได้เหรอเนี่ย"นักวิทยาศาสตร์เยอรมนีกล่าวออกมา
"แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมมันต้องดูดกลืนอย่างอื่นด้วย"นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นสงสัย
"แล้วมันจะเปลี่ยนรูปร่างของตัวเองไปทำไมกัน"นักวิทยาศาสตร์อเมริกาพูดขึ้น
"หรือว่า...มีความเป็นไปได้ว่า มันต้องการมีรูปร่างที่แน่นอน.........?"จอห์นนี่เอ่ย
"รูปร่างที่แน่นอน?"นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลียงุนงง
"โคโลยูโดะ มีรูปร่างที่ไม่แน่นอน.....นั่นหมายความว่าบางที...มันอาจจะอยากได้รูปร่างที่แน่นอนเลยดูดกลืนทุกสิ่งเข้าไป"จอห์นนี่ตอบ
"ก็หมายความว่าที่มันทำไป เพราะอยากจะมีรูปร่างที่แน่นอนเป็นของตัวเอง?"นักวิทยาศาสตร์รัสเซียกล่าว
"อาจใช่ ที่มันดูดกลืนทุกสิ่งเข้าไปก็เพื่อจะได้สร้างเป็นรูปร่างที่แน่นอนของตัวเอง"
ยังไม่ทันไร เมฆสีแดงที่เปลี่ยนรูปแล้วก็มุ่งหน้าตรงมาหาพวกเขา ทางกองทัพจึงตัดสินใจยิงใส่มัน เต็มกำลัง
"ยิง!"
สิ้นเสียงคำสั่ง ปืนใหญ่ของรถถังก็ยิงใส่กระหน่ำไปอย่างไม่ขาดสาย ระเบิดใส่เมฆสีแดงกลุ่มนั้น เมฆสีแดงหายไปส่วนหนึ่ง แต่ที่เหลือก็ลอยขึ้นฟ้าไปก่อน แล้วลอยหายไป
"ให้ตายสิวะ เราจัดการเจ้าเมฆฝนบ้านั่นบนท้องฟ้าไปเลยไม่ได้เลยหรือไง!?"ทหารนายหนึ่งพูดขึ้นมา
"อาจได้"จอห์นนี่พูดตอบกลับ
"ถ้าเราเอาระเบิดติดไว้กับลูกโป่งให้มันลอยไปหาโคโลยูโดะ เราอาจจัดการมันบนท้องฟ้าได้"
วันที่ 9 มกราคม 2013 เวลา 15นาฬิกา 00นาที
ทางกองทัพจัดเตรียมระเบิดผูกไว้กับลูกโป่งแล้วใช้เชือกผูกระเบิดทุกลูกติดไว้กับเสาไม้ ที่ทุกรกร้างแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก ด้วยข้อมูลจากดาวเทียมพยากรณ์อากาศทำให้คาดเดาได้ว่าอีก 30นาทีโคโลยูโดะจะมาถึงที่นั่น
15นาฬิกา 31นาที
โคโลยูโดะมาถึงที่นั่น และลอยอยู่เหนือระเบิดที่ติดลูกโป่งไว้พอดี มือสไนเปอร์จึงยิงตัดเชือกทันที ระเบิดจึงลอยขึ้นไป และระเบิดขึ้น
เมฆสีแดงค่อยๆหายไปเรื่อยๆ ทว่า ทันใดนั้น เมฆสีแดงก็รวมตัวกันแล้วค่อยๆลอยเข้าไปโจมตีพวกเขา จึงต้องถอย
"ให้ตายสิ เกือบโดนมันฆ่าแล้ว"นายทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
"เจ้าเมฆเวรเอ๊ย จะฆ่ามนุษย์ให้หมดทุกคนเลยไงวะ!?"นายทหารอีกคนก็เอ่ยขึ้น
"สัตว์ประหลาดเมฆสัตว์ประหลาดฝนต่างหากล่ะครับ"จอห์นนี่ตอบ ทางกองทัพถอยไปยิงไปจนเมฆฝนสีแดงนั้นลอยกลับขึ้นฟ้าไปจนหมด
"เฮ้ย แล้วเราจะหนีไปไหนวะ?"นายทหารนายหนึ่งเอ่ยขึ้น
จอห์นนี่จึงตอบว่า"เมฆฝนสีแดงมันอยู่บนชั้นบรรยากาศจะลอยไปไหนมาไหนก็ได้ดังนั้นเรากลับไปเริ่มต้นใหม่ที่กรุงเทพดีกว่าครับเราต้องเตรียมแผนใหม่" ทั้งหมดจึงเดินทางกลับกรุงเทพ
วันที่10 มกราคม 2013
ณ การประชุมการจัดการเมฆฝนสีแดง
"เจ้าเมฆนี่ฤทธิ์มันเยอะเกินแล้ว เราจะสู้มันได้ยังไง"รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวขึ้น
"พวกเราก็ลองกันทุกวิถีทางแล้ว เจ้าโคโลยูโดะมันร้ายมาก เรารู้ว่าจุดอ่อนของมันคือความร้อนแต่ทุกครั้งที่เราใช้ความร้อนโจมตีมันมันก็โจมตีเรากลับทันที ทำยังไงเราถึงจะกำจัดโคโลยูโดะได้สิ้นซาก?"รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
"ผมว่านะ เราต้องรวมแสงอาทิตย์หรือแสงอะไรก็ได้ด้วยเลนส์นูนแล้วยิงลำแสงออกไปเผาเมฆฝนสีแดงนั้นให้ระเหยไปเลย"จอห์นนี่พูดขึ้น
"งั้นใช้วิธีนี้แล้วกัน เราต้องการเลนส์นูนที่ใหญ่ที่จะเผาโคโลยูโดะให้หมดได้ รีบทำเลนส์นูนที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้กันเลย"รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพูดขึ้น
การประชุมจบลงทุกคนออกจากที่ประชุมและการผลิดเลนส์นูนที่ใหญ่ที่สุดก็เริ่มต้นขึ้น ทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องพักแต่พวกช่างเทคนิคทั้งหมดนั้นไปทำเลนส์นูนสำหรับจัดการโคโลยูโดะนั้นอยู่
ณ ห้องพักแรมของจอห์นนี่
จอห์นนี่อยู่ในห้องพักแล้วเขาก็เดินตรงไปหน้าต่างที่ปิดอยู่ เขาเห็นเมฆสีแดงอยู่บนท้องฟ้าและเห็นอัศวินกับอลินดาอยู่ที่ถนนจอห์นนี่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งออกจากห้องพักไปหาอัศวินกับอลินดาทันที
"นั่น คุณคือคนที่มาช่วยเราเมื่อตอนนั้นนี่"อัศวินกล่าวขึ้น
"ใช่ ผมสงสัยตั้งแต่ตอนไปภูเขานั่นแล้ว คุณไปทำอะไรที่นั่น? ไปที่นั่นยังไง? ที่นี่อีก คุณมาทำอะไรที่นี่?"จอห์นนี่พูด
"ตอนเราไปที่อควาเรียมในชลบุรี เจ้าเมฆฝนสีแดงนั่นโจมตีเราที่นั่น เราเลยพยายามหนีแต่เจ้าน้ำสีแดงที่มาจากเมฆฝนสีแดงนั่นมันเกาะถนน ตึก ทุกที่เลย วิ่งไปซักพักมีถนนสายหนึ่งที่ไม่โดนน้ำสีแดงโจมตีเราเลยขึ้นรถประจำทางหนีไปเราไม่รู้จะไปไหนเราเลยเลือกไปที่ภูเขาลูกนั้นแต่เจ้าเมฆฝนสีแดงนั่นก็โจมตีเราที่นั่นอีกจนกระทั่งคุณมาช่วย มีคนๆหนึ่งขับรถมาเขาก็กำลังหนีเมฆฝนสีแดงนั่นเหมือนกันเราเลยติดรถเขามาตัดสินใจจะกลับบ้านแต่ที่บ้านของเรามีแอ่งน้ำสีแดงอยู่แล้วน้ำสีแดงในแอ่งนั่นก็ค่อยๆมาหาเรา เราก็ติดรถคนอื่นมาจนถึงตอนนี้แหละค่ะ"อลินดาตอบ
จอห์นนี่จึงว่า"โอเค เข้าใจล่ะ"
"เราขอพักห้องคุณได้ไหมคะ?"อลินดาตอบ
"ได้สิ"จอห์นนี่ตอบ
"ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ?"อลินดาถาม
จอห์นนี่จึงตอบว่า"จอห์นนี่น่ะ"
แล้วจอห์นนี่ก็พาอัศวินกับอลินดาไปที่ห้องพัก ส่วนเมฆสีแดงนั้นทางกองทัพยิงดอกไม้ไฟขึ้นไปบนฟ้าจนเมฆสีแดงลอยกลับไปยังทิศทางเดิมที่มันลอยมา
"เหตุการณ์เมฆฝนโจมตีนี่เหมือนธรรมชาติลงโทษเลยนะ"อัศวินพูดขึ้น
จอห์นนี่จึงพูดว่า"ธรรมชาติลงโทษมนุษย์มาตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว"
"คุณจอห์นนี่คิดว่าเจ้าเมฆฝนสีแดงนี่คือการลงโทษจากธรรมชาติจริงหรือเปล่าคะ?"อลินดาถามขึ้น
"ผมไม่รู้"จอห์นนี่ตอบ
"ถ้ามนุษย์โดนเมฆฝนสีแดงทำลายมนุษย์จนหมดอาจจะดีต่อโลกนี้มากกว่าก็ได้ มนุษย์ทำลายธรรมชาติจนยากจะแก้ไข คนที่ออกมาพูดอย่างงั้นอย่างงี้โจมตีพวกทำลายธรรมชาติก็ไม่เคยแก้ไขอะไรเลยแถมยังทำลายธรรมชาติซะเองอีกต่างหาก มนุษย์สูญพันธ์ซะได้ก็ดีถึงปัญหาจะไม่หายไปแต่ก็ไร้ซึ่งสิ่งที่จะก่อปัญหาต่อ"อลินดาพูดขึ้นอีก
"เชื่อสิ ว่าไอ้คนที่ว่าไอ้คนที่พูดต่างๆนาๆนั่นน่ะก็คือตัวการที่คอยทำลายธรรมชาติล่ะ คิดจะแก้ไขหรือเปล่า? ก็ไม่"จอห์นนี่พูดตอบกลับ
"คุณจอห์นนี่คะ คิดว่าการทำลายเมฆฝนสีแดงคือเรื่องดีแล้วเหรอคะ?"อลินดาถาม
อัศวินได้ฟังดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า"เราโดนเมฆฝนสีแดงนั่นโจมตีมานะ"
อลินดาจึงพูดขึ้นว่า"โธ่ พี่ก็ กองทัพโจมตีเมฆฝนสีแดงนี่ทีไรมันก็โต้กลับได้ทุกที หนูว่าถึงคราวที่ธรรมชาติอยากให้มนุษย์สูญพันธ์แล้วล่ะ"
ทันใดนั้นจอห์นนี่ก็พูดแทรกขึ้นมาว่า"ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า?"แล้วจอห์นนี่ก็พูดต่อว่า"มนุษย์ต่อสู้กับธรรมชาติหลายพันปีก่อนแล้ว"จากนั้นจอห์นนี่ก็พูดต่ออีก"ผมอยากรู้ว่า ทำยััังไงมนุษย์ทำยังไงมนุษย์กับธรรมชาติถึงจะเลิกสู้กันมากกว่า"
อลินดาฟังจอห์นนี่พูดแล้วจึงพูดขึ้นว่า"เป็นคำถามที่หาคำตอบยากจริงๆนะคะ"
วันเดียวกัน(10 มกราคม 2013) เวลา18นาฬิกา
ทางกองทัพสามารถผลิตเลนส์นูนที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง1เมตรจำนวน3ชิ้นได้สำเร็จแล้วเตรียมพร้อมติดขาตั้งให้กับเลนส์ทุกอันปิดผ้าคลุมเอาไว้ก่อนและเตรียมพร้อมไฟฉายขนาดใหญ่สำหรับให้เลนส์นูนรวมแสง
ณ ห้องพักของจอห์นนี่
โทรศัพท์ของจอห์นนี่ดังขึ้น จอห์นนี่ก็รับโทรศัพท์
"ครับ เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ"
"เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ/คะ?"อัศวินกับอลินดาถามจอห์นนี่ขึ้นพร้อมกัน
"ทางกองทัพทำเลนกองทัพทำเลนส์นูนขนาดใหญ่พิเศษสำหรับรวมแสงจัดการเมฆฝนสีแดงเสร็จแล้วน่ะ"
"ไปด้วยได้ไหมคะ?"อลินดาถามขึ้น
"โธ่เอ๊ย อลินดา"อัศวินพูดขึ้น
"โธ่เอ๊ย พี่ก็ เราเผชิญเจ้าเมฆฝนสีแดงนี่กี่รอบแล้ว หนูเองก็เริ่มท้อ เจ้าเมฆฝนสีแดงนี่มันไปได้ทุกที่ หนูไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ยิ่งเจอเจ้าเมฆฝนสีแดงนี่เท่าไหร่หนูก็รู้สึกว่าเรากำลังหนีธรรมชาติอยู่ เรากำลังสู้ธรรมชาติ นั่นมันเหมือนเราหนีตัวเองอยู่ นั่นมันเหมือนเราทำร้ายตัวเองอยู่ เพราะเราเองก็คือธรรมชาติ"อลินดาพูดตอบกลับ
จอห์นนี่จอห์นนี่ได้ยินอลินดาพูดดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า"นั่นสินะ เราสู้กับธรรมชาติมาโดยตลอดแต่ไม่มีใครตระหนักเลยซักคนต่อให้ตระหนักก็ไม่คิดจะแก้ไขอะไร"
แล้วจอห์นนี่ก็ไปยังที่ทำการกระทรวงกลาโหมเพราะกองทัพตัดสินใจเอาเลนส์นูนใหญ่พิเศษไปไว้ที่นั่นอลินดาก็ตามจอห์นนี่ไปอัศวินจึงตามน้องสาวของเขาไปด้วย
จอห์นนี่ อลินดา อัศวินไปถึงที่ทำการกระทรวงกลาโหมก็เป็นตอนที่ทุกคนในที่ประชุมกำลังรอฟังข้อมูลการเคลื่อนไหวของโคโลยูโดะจากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุวิทยาอยู่พอดี
"เราได้ตำแหน่งมันแล้ว มันก็กำลังมาที่กรุงเทพนี่แหละ อีก1ชั่วโมง มันก็จะมาถึงสะพานพระราม8แล้ว รีบไปที่นั่นกันเถอะ ตอนนี้ถนนไร้รถพอดีเลยด้วย"
แล้วทางกองทัพก็ยกทัพไปสะพานพระราม8ทันทีพร้อมทั้งนักวิทยาศาสตร์ที่มาสืบสวนเรื่องเมฆฝนสีแดงรวมทั้งจอห์นนี่อัศวินอลินดาก็ไปที่นั่นด้วย เมื่อไปถึงแล้วตอนนั้นท้องฟ้ายังไร้ซึ่งเมฆสีแดงอยู่แล้วเมฆสีแดงก็ลอยมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพมา
"เปิดผ้าคลุมเลนส์ออก"สิ้นคำสั่งนายทหารก็เปิดผ้าคลุมเลนส์ทั้งสามอันออกแล้วเปิดไฟฉายขนาดใหญ่ส่องใต้เลนส์นูนแล้วรวมลำแสงของเลนส์ทั้ง3อันไปยังจุดเดียวกันที่โคโลยูโดะจุดที่ลำแสงไปโดนเมฆสีแดงนั้น เมฆสีแดงก็ค่อยหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันใดนั้นก็มีฝนสีแดงตกลงมาจากเมฆสีแดง
"แย่ล่ะ มันกำลังกลายเป็นฝน"นายทหารคนหนึ่งพูดขึ้น
"มันกำลังโจมตีเมืองที่ฝั่งนั้นเอาเลนส์นูนสองอันไปทำลายเจ้าน้ำสีแดงที่ฝั่งนั้น อีกอันไว้ทำลายเมฆสีแดงจากฝั่งนี้"สิ้นสุดคำสั่งนายทหารทีี่คอยคุมเลนส์นูนสองอันก็ไปอีกฝั่งจนหมดแล้วทำการเปิดไฟฉายส่องเลนส์นูนให้รวมลำแสงทำลายน้ำสีแดงของอีกฝั่งนั้นจนน้ำสีแดงนั้นระเหยกลายเป็นไอไปรวมกับเมฆสีแดงบนท้องฟ้า
เมื่อเห็นเหตุการณ์ในขณะนั้นอลินดาก็ถามจอห์นนี่ว่า"เราจะกำจัดเมฆฝนสีแดงจริงใช่ใหมคะ?"
"ใช่"จอห์นนี่ตอบ
"นี่คือการกระทำที่ดีที่สุดแล้วจริงๆเหรอคะ?"อลินดาถาม
"ผมก็อยากแน่ใจเหมือนกัน"จอห์นนี่ตอบ
"อลินดา เธอคิดจริงเหรอว่าเมฆฝนสีแดงเป็นบทลงโทษจากธรรมชาติ?"อัศวินถาม
"คิดว่างั้นแหละค่ะ"อลินดาตอบ
แล้วอลินดาก็ถามจอห์นนี่ว่า"การที่มนุษย์เอาชนะธรรมชาติเนี่ยมันดีแล้วเหรอคะ?"
"นั่นสินะ"จอห์นนี่ตอบ แล้วจอห์นนี่ก็พูดว่า"เราทิ้งขยะลงทะเล เราทิ้งขยะเกลื่อนกลาดไปทั่ว เราทำลายชั้นบรรยากาศ เราทำลายชั้นโอโซน เราปล่อยแก๊สพิษไว้ในอากาศเพื่อให้พวกเราหายใจเอาแก๊สพิษพวกนั้นเข้าไปเอง แต่ไมีใครสนใจ ไม่มีใครแก้ไขอะไรเลย เจ้าพวกโง่"
อีกฝั่งนั้นน้ำสีแดงถูกลำแสงยิงจนระเหยกลับไปรวมกับเมฆสีแดงจนหมดส่วนเมฆสีแดงก็ถูกลำแสงไปเรื่อยๆจนกระทั่งเมฆสีแดงนั้นหายไปจนหมดสิ้นจากท้องฟ้า
อลินดาถามจอห์นนี่ว่า"การทำลายเมฆฝนสีแดงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเหรอคะ? มันเหมือนกัมันเหมือนกับว่าเราพยายามเอาชนะธรรมชาติเลย"
จอห์นนี่จึงตอบไปว่า"ใช่ มันเหมือนเราพยายามเอาชนะธรรมชาติ แต่ผมไม่รู้ว่ามันถูกต้องเปล่า ไม่รู้จริงๆ" จบ
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??