เรื่อง เส้นทางอสุรา
บที่ 76 ฤกษ์แห่งการถอนแค้น
เฉินซือหยางมุ่งหน้าไปยังเขตตะวันตกของเมืองหลวงอีกครั้ง เหตุี่มันต้องรีบมุ่งไปเป็นเพราะี่ตรงนั้น ี่ี่มันได้รับมือกับพลังโจมตีของสตรีปริศนา ดาบบรรพตคั่นฟ้าของมันร่วงหล่นอยู่ ตลอดรายทางฝีเท้าี่ก้าวออกของชายหนุ่มมิเคยตก ร่างกายี่บาดเจ็บของมันแม้รู้สึกติดขัดอยู่บ้างแต่ก็ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วจึงไม่ส่งผล หากเป็นผู้อื่นอาการบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้นอย่างน้อยก็ต้องนอนซมเป็นสัปดาห์ แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งและการฟื้นฟูทางร่างกายในตอนนี้ของมันดูจะเพิ่มพูนขึ้นไปอีกระดับแล้ว
ใช้เวลาไม่นานสัมผัสถึงการมีอยู่ของตัวดาบก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ดาบไม้ของมันยังคงอยู่ี่เดิม แต่สิ่งี่ไม่เหมือนเดิมก็คือ มีพลังจิตวิญญาณแปลกปลอมพยายามี่จะสะกดข่มตัวดาบอยู่ มีคนบางผู้กำลังฝืนยกดาบบรรพตคั่นฟ้าของตน
ด้วยสถานี่แห่งนี้ยังถูกปิดตายจากสำนักยุทธ์หมื่นภูษา ผู้คนทั่วไปจึงมิได้วนเวียนผ่านมาทางนี้ ศิษย์ของสำนักยุทธ์หมื่นภูษาเองก็ไม่ปรากฏตัวแต่อย่างใด แล้วเป็นผู้ใดี่กำลังพยายามจะยกดาบของมัน
ยิ่งเข้าใกล้ตัวดาบ ความแจ่มชัดในพลังจิตวิญญาณสรรพสิ่งของดาบจึงมิใช่สิ่งเดียวี่เฉินซือหยางรับรู้ได้ ตอนนี้มันได้สัมผัสถึงระดับพลังจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามี่กำลังฝืนยกดาบของตนแล้ว
คนผู้นั้นกลับมีพลังจิตวิญญาณระดับเหนือสามัญ!
หากเป็นก่อนหน้า เหนือสามัญคือระดับพลังี่ชายหนุ่มไม่อยากยุ่ง เพราะหากต่ำกว่าเหนือสามัญมันสามารถี่จะต่อกรได้ ทว่าบัดนี้มันมีพลังจิตวิญญาณแล้ว ความแข็งแกร่งของมันเพิ่มพูนกว่าเดิมอีกระดับ เช่นนั้นขอแค่มิใช่ตัวตนระดับสตรีปริศนาผู้นั้น มันก็ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรง ฝีเท้าของเฉินซือหยางจึงมิได้ชะงักลงเพื่อรอดูท่าทีแต่อย่างใด เพียงชั่วอึดใจมันก็ไปถึงบริเวณซากปรักหักพังทางตอนเหนือของเขตตะวันตก
ร่างในชุดคลุมดำของเฉินซือหยางเหินลง เสียงชุดคลุมตีลมทำให้บุรุษย่างสู่วัยชราผู้หนึ่งี่กำลังออกแรงจนสุดความสามารถเพื่อยกดาบต้องหยุดชะงัก มันมองไปี่บุรุษหนุ่มก่อนกล่าววาจาออกมา
“เป็นเจ้าจริงๆ"
แม้รูปร่างแลใบหน้าของบุรุษย่างสู่วัยชราตรงหน้าออกจะไม่คุ้นตา ทว่าน้ำเสียงของมันช่างคุ้นหูยิ่ง อีกทั้งพิณโบราณี่มันสะพายอยู่ ทำให้เฉินซือหยางต้องร้องอ้อขึ้นมาในใจ พลางจดจ้องรูปร่างหน้าตาของคนเบื้องหน้าอย่างถี่ถ้วน
“ท่านคงจะเป็นหนึ่งในสามสรรพเสียงแห่งขุนเขา บุรุษผู้ใช้พิณเป็นอาวุธสินะ”
พอเฉินซือหยางกล่าววาจา เสียงฝีเท้าอีกสองสายก็ก้าวเดินออกมาจากมุมหนึ่งของซากปรักหักพัง ชายหนุ่มจึงมองไปยังเสียงฝีเท้า ค่อยกล่าวต่อ
“ี่แท้ก็อยู่กันพร้อมหน้า สามสรรพเสียงมิห่างกันอย่างแท้จริง"
บุรุษย่างสู่วัยชราสามผู้ปรากฏกายล้อมรอบเฉินซือหยาง ครานี้พวกมันเผยตัวอย่างแจ่มชัดมิได้นั่งในรถม้าดังเดิม จึงเป็นครั้งแรกี่เฉินซือหยางได้มองคนเหล่านี้อย่างเต็มตา เพราะสู้กันในครานั้น นอกจากจะเป็นคืนเดือนมืดแล้วยังมีฝนตก มันจึงไม่มีโอกาสได้จดจำรูปพรรณสัณฐานของคนเหล่านี้เท่าใดนัก ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามของคนทั้งสาม รู้เพียงแต่ว่าผู้คนยกย่องมันเป็นสามสรรพเสียงแห่งขุนเขา
บุรุษี่ดูอาวุโสี่สุด ด้านหลังสะพายกลองหนังหนึ่งใบ มันมองเฉินซือหยางพร้อมกับความรู้สึกี่เจ็บปวดราวถูกกระตุ้นขึ้นตามรอยแผลเป็นี่ถูกตัดเฉือนบนร่างกาย แผลเหล่านี้ล้วนเกิดจากน้ำมือของซุนหลง ก่อกำเนิดจากอาวุธคู่กายี่เป็น-่าพิรุณนั่น พวกมันทั้งอับอาย เสื่อมเสียเกียรติ และพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ชื่อเสียงบารมีี่สั่งสมถูกลดทอนไม่เหลือชิ้นดี รางวัลี่วาดหวังอันตธานหายไปในพริบตา ทั้งี่เรื่องราวควรไปได้ดีและจบลงอย่างรวดเร็วแล้วแท้ๆ แต่สิ่งี่พวกมันกำลังจะได้กลับถูกขัดขวางโดยตัวบัดซบผู้หนึ่ง เพราะตัวบัดซบนั่นพวกมันจึงได้รับเพียงคำตราหน้ามาแทน
“คิดว่าต้องพลิกแผ่นดินหาตัวบัดซบเช่นเจ้าอย่างยากเย็นแล้วเสียอีก ไม่คิดว่าจะมาเจอง่ายๆ เช่นนี้”
เสียงของบุรุษี่ถือขลุ่ยเลาหนึ่งในมือก็กล่าวเสริม
“พอได้ทราบว่ามีคนี่ไร้พลังจิตวิญญาณและใช้ห้าดาบ พวกเราก็ต้องถ่อมาไกลถึงเมืองหลวง ในใจได้แต่ภาวนาให้เป็นเจ้า เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วการดั้นด้นมาของพวกเราก็ไม่นับว่าเสียเปล่า”
บุรุษผู้ถือพิณโบราณกล่าวข่มขู่
“ี่เมืองจรดเมฆาเจ้าอาจมีี่คุ้มกะลาหัว แต่ในเมืองหลวง สถานี่แห่งนี้ไม่มีี่ให้เจ้ามุดหัวได้อีกแล้ว วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า และอีกไม่นานพวกข้าก็จะส่งนายของเจ้าอย่างซุนหลงติดตามไป ความแค้นและความอับอายในวันนั้น พวกเราจะล้างให้เสียสิ้น!”
เฉินซือหยางสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากคนทั้งสามี่ฉายชัด คนเหล่านี้คิดหมายสังหารมันจากก้นบึ้ง แววตาทั้งสามคู่นั้นเต็มเป็นด้วยความอาฆาตี่มิอาจร่วมโลก มิว่าอย่างไรพวกมันก็มิอาจดำรงอยู่บนโลกเดียวกันกับตนได้อีกแล้ว
“เช่นนี้นี่เอง ข่าวคราวของข้าคงหลุดมาจากสำนักคุ้มภัยกระทิงเหล็กนั่นสินะ”
เสียงของผู้ี่ถือพิณตอบปัด
“จะมาจากี่ใดก็ไม่สำคัญ ี่สำคัญคือเจ้าต้องตายสถานเดียว”
แล้วบุรุษี่ถือขลุ่ยก็เอ่ยขึ้น
“จงจดจำนามของพวกเราไว้ จะได้เอาไปแจ้งต่อปรโลกได้ถูก"
ขณะี่สามสรรพเสียงแห่งขุนเขาจะเอ่ยนามก่อนลงมือตามธรรมเนียมชาวยุทธ์ เฉินซือหยางพลันทอประกายตาี่คมวาวเจิดจ้า ก่อนกล่าวเสียงทุ้มต่ำตัดบท
“ไม่จำเป็น เมื่อคราลอบสังหารคน พวกเจ้าก็เอาแต่มุดหัวในรถม้ามิเห็นจะรักษาธรรมเนียมเช่นนี้”
แล้วสายตาของชายหนุ่มก็ปรากฏจิตสังหารอันเย็นเยียบ
“อีกทั้งข้าก็ไม่จำเป็นี่จะต้องจดจำชื่อคนตายทุกคน"
บุรุษี่ถือพิณโบราณถลึงตาขึ้น
“วาจาสามหาว คิดว่ากำลังกล่าวต่อหน้าใคร!"
บุรุษี่ถือขลุ่ยก็ตวาดเสริม
“หรือทะนงตนว่าสามารถปลุกพลังจิตวิญญาณได้แล้วจักอวดดีอย่างไรก็ได้… เหอะ น่าหัวร่อ เพียงระดับสู่สามัญจักทำอะไรได้"
เฉินซือหยางเดินเฉียดผ่านบุรุษี่สะพายพิณโบราณผู้นั้น ก่อนคว้าดาบบรรพตคั่นฟ้าี่ปักบนพื้นดินขึ้นมา
“ออกจากกำแพงเมืองหลวงฝั่งตะวันตกไปไม่ไกล ี่นั่นมีขุนเขาและป่าใหญ่ น่าจะพอทำให้พวกเจ้าได้รู้ว่าข้าทำอะไรได้บ้าง"
สามสรรพเสียงแห่งขุนเขามองชายหนุ่ม แม้อยากหัวร่อในแววตาี่ราบเรียบนิ่งสงบราวกับไร้ความเกรงกลัวนั่น แต่พวกมันก็ไม่คิดประมาท คนผู้นี้พวกมันล้วนจดจำได้ ร่างกายของมันมีพลังทางกายภาพี่แข็งแกร่งมิใช่น้อย
“เลือกหลุมฝังศพของตนเองได้ดี”
เฉินซือหยางตอบออกไปอย่างฝีปากกล้า
“ทว่าพวกเจ้ากลับไม่มีรถม้าให้เป็นหลุมฝังตัวดั่งเช่นในคืนเดือนมืด จึงดูจะเป็นการฝังศพี่ไม่ดีนัก”
ถูกคำกล่าวถากถางจากบุรุษหนุ่ม คนทั้งสามถึงกลับเส้นเลือดปูดโปนบนขมับ รถม้าคันหรูเป็นี่ภูมิใจของพวกมัน เป็นสิ่งี่สร้างชื่ออีกด้านมาอย่างยาวนาน เสมอมานอกจากสามสรรพเสียงแห่งเครื่องดนตรี การต่อสู้ี่เพียงนั่งอยู่บนรถม้าของพวกมันก็เป็นี่กล่าวขานถึงอย่างหนาหู พวกมันเพียงนั่งภายในรถม้าก็สามารถสยบศัตรูได้นี่คือคำยกย่องจากผู้คน ทว่าในคืนเดือนมืด คืนี่วสันต์แรกมาเยือน พวกมันกลับสูญเสียรถม้าี่แสนภูมิใจ ทั้งถูกทำลายอย่างย่อยยับไร้หนทางต้าน การเอ่ยถึงรถม้าในคืนวันนั้น จึงเป็นอีกหนึ่งความอัปยศี่กัดกินใจของพวกมันไม่เสื่อมคลาย พวกมันถึงได้ไม่นั่งรถม้าอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
“ข้าซักทนไม่ไหวแล้ว!"
“ข้าก็เช่นกัน ขอฉีกร่างมันเสียตรงนี้!”
บุรุษี่ถือพิณโบราณหมายลงมือ แต่เฉินซือหยางไม่คิดี่จะสร้างความวุ่นวายในอาณาเขตของสำนักยุทธ์หมื่นภูษาแห่งนี้ มันกำลังไปได้ดีในสำนัก แผนการตามหามรกตก็กำลังถูกดำเนินไป จักให้เรื่องของสามสรรพเสียงแห่งขุนเขามาสร้างปัญหาไม่ได้ ทว่าหากจะปล่อยสามสรรพเสียงแห่งขุนเขาไป พวกมันก็เปรียบกับเป็นเสี้ยนหนามี่คอยทิ่มแทงมิรู้หาย อาจสร้างปัญหาในอนาคตไม่รู้จบ ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรมันต้องคลี่คลายเรื่องนี้ให้จบสิ้น
เมื่อคนทั้งสามคิดี่จะสังหารมันเพียงอย่างเดียว เมื่อคนทั้งสามมิอาจจะอยู่ร่วมโลกกับตนอย่างสงบสุขได้ มันก็ไม่จำเป็นี่จะต้องหาทางอยู่ร่วมโลกกับคนเหล่านี้ หากเลือกเป็นศัตรูคู่อาฆาตแล้วก็ให้ตายกันไปข้าง!
ยังมิทันี่เสียงพิณจะถูกบรรเลง เฉินซือหยางก็ทะยานร่างมุ่งออกจากเมืองหลวงทางประตูทิศตะวันตกไป สามสรรพเสียงแห่งขุนเขาจึงตะโกนไล่หลัง
“ตาม!”
เกิดเป็นสภาพสามเงาร่างไล่ตามหนึ่งบุรุษอย่างเอาเป็นเอาตาย เส้นทางี่มุ่งไปของเฉินซือหยางก็เลือกตำแหน่งี่ผู้คนสัญจรน้อยี่สุดเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายและปัญหาในภายหลัง แต่ปัญหาของชายหนุ่มเหมือนจะตามมาไม่รู้จบ โจทก์เก่าอย่างคนของสำนักคุ้มภัยกระทิงเหล็กได้เผอิญอยู่บริเวณนั้น การพุ่งผ่านไปของเฉินซือหยางพวกมันอาจรู้สึกตัวช้าและมองกลับมาไปทัน แต่จังหวะี่สามสรรพเสียงแห่งขุนเขาทะยานผ่าน พวกมันได้เห็นเข้าพอดี
“นั่นสามสรรพเสียงแห่งขุนเขามิใช่หรือ"
“พวกมันมาถึงเมืองหลวงแล้ว เช่นนี้คงมีคนี่จัดการตัวบัดซบซึ่งเล่นงานหัวหน้าทั้งสองของพวกเรา โดยี่มือของพวกเราไม่แปดเปื้อน”
“ว่าแต่พวกมันดูเร่งรีบราวกับว่ากำลังไล่ตามสิ่งใด”
คนจากสำนักคุ้มภัยกระทิงเหล็กมองหน้ากัน ก่อนโพล่งคำออกมา
“หรือว่า…”
“พวกมันทั้งสามค้นพบตัวบัดซบแล้ว”
“ได้อย่างไรกัน พวกเราแทบพลิกเมืองหลวงหามันมาครึ่งปีก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอย”
“เรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง ควรนำความไปบอกต่อท่านผู้นำก่อน”
เมื่อยังไม่มั่นใจในต้นสายปลายเหตุและท่าทีของสามสรรพเสียงแห่งขุนเขา คนจากสำนักคุ้มภัยกระทิงเหล็กจึงมิได้ร่วมวงติดตามไป พวกมันเพียงนำสิ่งี่เห็นนี้ไปรายงานแก่ผู้นำสำนักคุ้มภัยของพวกตนเท่านั้น นอกเมืองหลวงทางฝั่งตะวันตกจึงยังคงมีสภาพของการไล่ล่าสามต่อหนึ่งอยู่ เฉินซือหยางมุ่งออกไปจากเมืองหลวงให้ไกลี่สุดเท่าี่จะทำได้ ส่วนสามสรรพเสียงแห่งขุนเขาก็ต้องการฉีกกระชากร่างของบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าให้เร็วี่สุดเพื่อสางแค้นี่ฝังลึก
“อย่าคิดว่าจะหนีพ้น"
“พวกข้ามาไกลถึงเพียงนี้ ฤกษ์แห่งการถอนแค้นก็เปิดออกเช่นนี้ พวกข้าคงไม่คิดจะปล่อยให้ผู้ใดหนีรอดจากเงื้อมมือไป!”
ออกมาไกลจากเมืองหลวงพอสมควรแล้ว สามสรรพเสียงแห่งขุนเขาก็ไม่รีรอชักช้าอีก มันไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงกฎของเมืองหลวง ไม่จำเป็นต้องวางแผนี่จะลากตัวบัดซบผู้นั้นออกมา เป็นตัวบัดซบี่โง่งมเลือกหลุมฝังศพี่แสนประเสริฐของตนเอง พวกมันก็แค่สนองตอบอย่างเต็มกำลัง
พลังจิตวิญญาณี่กำจายจากฝ่ามือเตรียมเชื่อมประสานลงยังสายพิณ เสียงท่วงทำนองแห่งดนตรีกำลังจะถูกบรรเลงออก ระยะของพลังแม้ไกลห่างอยู่บ้างแต่ก็พอหยุดการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มได้ เพลงพิณครานี้มิได้หมายจะสังหาร แต่มันจะหยุดมิให้เป้าหมายสามารถหนีได้อีก
ทว่าเพลงพิณี่หวังหยุดการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มยังมิทันได้ถูกบรรเลง ฝีเท้าของชายหนุ่มกลับหยุดลงก่อนแล้ว เฉินซือหยางมันไม่ได้คิดจะหนีตั้งแต่แรก มันยืนยันอย่างหนักแน่นว่าขุนเขาแลป่าใหญ่แห่งนี้เหมาะแก่การฝังศพคน เช่นนั้นเมื่อมันมาถึงมันจึงได้ยืนตระหง่านพร้อมดาบจรดใต้หล้าี่เงื้อค้างอยู่ในมือ
ขอเพียงสามสรรพเสียงแห่งขุนเขาติดตามมาถึงรัศมีี่พอเหมาะ ดาบจรดใต้หล้าของมันก็พร้อมี่จะฟันออกทันที!
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??