เรื่อง มรรคานิรันดร์หมื่นบรรพกาล
อาวุโส่าอู่ ปรายตามอง จางหู่หยิน
เขาพลางหันหน้าส่งสัญญาณกับศิษย์เอกผู้หนึ่ง ก่อนที่ศิษย์ผู้นั้นจะพยักหน้าตอบรับอย่างสงบนิ่ง
ร่างของศิษย์ผู้นั้น พลันกระโจนออกจากแท่นชมการประลอง พุ่งดิ่งลงสู่สังเวียนเบื้องล่างประหนึ่งเหยี่ยวฟ้า สายตาของเขาเยียบเย็นและแน่วแน่ เผชิญหน้ากับบุรุษผู้ท้าทายอย่างไม่หวั่นเกรง
“ข้าน้อย ตงฟาง สหายยุทธ์ชี้แนะด้วย"
เสียงของเขาดังราบเรียบดุจน้ำแข็ง ทั้งยังเปี่ยมด้วยมารยาทอันแน่วแน่ เขาโค้งตัวเล็กน้อยตามธรรมเนียม ขณะที่ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายเฉียบคมออกมาประหนึ่งคมกระบี่พันเล่มจ่ออยู่เหนือคอผู้ชม จนผู้คนรอบสังเวียนต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง
ตึงง! ตึง ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงกลองรบ ถูกตีรัวๆ เป็นสัญญาณให้เริ่มการประลอง
ทั้งสองกลับยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิมอย่างน่าประหลาด… มิได้เคลื่อนไหวแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่ารอบกายกลับปรากฏลมปราณกระบี่หมุนวนเป็นเกลียวคลื่น เสียดแทงอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิวราวกับร้อยกระบี่ร้องประสาน ดั่งพายุที่ไร้รูปลักษณ์กำลังปะทะกันกลางเวหา
เจียวหรงพลันเอ่ยขึ้นอย่างงุนงง “เหตุใดพวกเขา…”
ขณะเดียวกัน จ้าวจื่ออวิ๋นที่มองจากมุมหนึ่งของลานประลอง กลับเผยสีหน้าฉายแววสนใจ ดวงตาเปล่งประกาย
“นี่มัน! กระบี่ไร้มลทิน…”
แม้เสียงของจ้าวจื่ออวิ๋นจะแผ่วเบา ทว่าเจียวหรงที่อยู่ข้างกับได้ยินชัดเจน พลันเบิกตากว้าง หรี่สายตาอย่างพินิจพิเคราะห์ไปยังจางหู่หยิน พลางรำพึงกับตนเองในใจ
“กระบี่ไร้มลทินงั้นหรือ?…”
พรึ่บ!
เปลือกตาของตงฟาง พลันเปิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน แววตาวาววับราวกับเพชรน้ำค้าง เขาชักกระบี่ล้ำค่าออกมาจากฝัก กระบี่สะท้อนแสงแดดส่องประกายเย็นเยียบ
จากนั้นพริบตาเดียว เขาพลันพุ่งทะยานไปยังด้านหลังของจางหู่หยินอย่างไร้สุ้มเสียง ประหนึ่งสายลมเคลื่อนไปในยามราตรี กระบี่แทงทะลุจากด้านหลังของจางหู่หยินในพริบตาเดียว
จ้าวจื่ออวิ๋นแสยะยิ้มเย้ย “ดูเหมือนการต่อสู้จะรู้ผลแล้ว…”
ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น เจียวหรงได้แต่ขมวดคิ้วแน่น แต่ไม่ทันเอ่ยถามใดๆ
เสี้ยวอึดใจต่อมา ร่างของจางหู่หยินพลันสลายกลายเป็นหมอกสีขาว ลอยคว้างในอากาศราวกับไม่เคยมีอยู่จริง ก่อนที่หมู่เมฆเหนือสังเวียนจะพลันแหวกตัวออก เผยให้เห็นกระบี่สีขาวขนาดมหึมาพุ่งทะยานจากท้องนภาลงมา!
ฟิ้ววววว…
กระบี่นภาฟาดลงประหนึ่งสายฟ้าฟาด พุ่งตรงสู่ตงฟาง
ตูม...!!!
แต่ทว่า คลื่นพลังฝ่ามือของอาวุโส่าอู่ กลับแผ่ซ่านออกมาปะทะเข้ากับกระบี่มหึมาอย่างแม่นยำ
เสียงระเบิดสะเทือนฟ้าสะท้านปฐพี ก่อให้เกิดแรงอัดกระจายรอบสังเวียน ก่อนที่ปราณทั้งสองจะสลายหายไปราวกับละอองควัน
“พอเท่านี้เถอะ! เจ้านับว่าผ่านการทดสอบแล้ว…”
เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ ดังกังวานไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางความเงียบงันและความตื่นตะลึงของผู้ชมทั่วทั้งลาน
จ้าวจื่ออวิ๋นยืนเอามือไพล่หลัง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ดวงตาลึกล้ำเปี่ยมดั่งห้วงเหวลึกไร้ก้น
“ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นกระบี่ไร้มลทิน! ที่โลกภายนอก เขาเกี่ยวข้องอันใดกับ… จักรพรรดิขาว! อย่างนั้นหรือ? ”
“สหายจ้าว... รู้จักจางหู่หยินผู้นี้อย่างนั้นหรือ?” เจียวหรงถามอย่างสงสัย พลางหรี่ตาไปทางจ้าวจื่ออวิ๋น
จ้าวจื่ออวิ๋นจึงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวสายลมยามเหมันต์
“คนข้าไม่รู้ที่มา… แต่กระบี่เมื่อครู่ นับว่ารู้จักเป็นอย่างดี…”
หลังจากคู่ของจางหู่หยินและตงฟางจบลง
ก็มีจอมยุทธ์นิรนามอีกหลายคนขึ้นไปท้าประลองกับศิษย์ของสำนักอัคคีวายุ แต่ล้วนแล้วแต่พ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นท่า มิอาจฝืนผ่าน หนึ่งก้านธูปได้สักคน
ก่อนที่สายตาทั้งลานประลองจะพุ่งไปยังร่างเล็กผู้หนึ่งที่สืบเท้าขึ้นบนสังเวียนอย่างสงบนิ่ง ท่ามกลางกลิ่นอายแห่งความประหลาดใจและคลางแคลงใจ
“เด็กงั้นหรือ? อย่าบอกนะว่า… เจ้าเด็กนั่นต้องการจะท้าประลอง?”
เสียงกระซิบดังระงมไปทั่วลานประลอง ราวกับระลอกคลื่นแห่งความไม่เชื่อ
เด็กน้อยในชุดคลุมสีดำขลิบแดงทำการโค้งคารวะอย่างสง่างาม ปราณจากร่างแผ่วบางทว่าแฝงไว้ด้วยพลังเร้นลับ
“ข้าน้อย… กู่ไท่หมิง! ต้องการประลองพลังกายา ศิษย์พี่โปรดชี้แนะ!”
“ศิษย์พี่? ยังไม่ได้ประมือ แต่เจ้าเด็กนั่นกลับเอ่ยคำเรียก ศิษย์พี่”
ผู้คนที่ได้ยินพลันรู้สึกว่าคำกล่าวของเด็กน้อยช่างอวดดีและยโสอย่างยิ่ง กล่าวราวกับว่าตนเองได้เป็นศิษย์ของสำนักแล้ว ทั้งที่ยังมิได้เริ่มประลอง
ทว่า… แววตาของกู่ไท่หมิง กลับสงบนิ่งดั่งสระส่องจันทร์ ปราศจากความหวาดหวั่นใด ๆ
ไม่นานนัก ศิษย์เอกผู้มีรัศมีพลังกายแข็งแกร่งราวหินผาหมื่นปี ก็เดินลงมายังสังเวียนอย่างหนักแน่น ก้าวเดินแต่ละย่างก้าวราวกับสะเทือนพื้นหินให้สั่นไหว กลิ่นอายพลังดุดันมั่นคงราวกับศิลาใหญ่ที่มิอาจแตกสลาย
ถู่หนาน ศิษย์เอกผู้ฝึกฝน ‘กายาเทพอัคคี’ วิชากายาอันลือเลื่องที่หาผู้ทัดเทียมได้ยากในเมืองหงเฟิ่ง
บัดนี้ เขากำลังยืนประจันหน้ากับเด็กน้อยร่างบาง ผู้หาญกล้าท้าทายเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย
“ถู่หนาน! เขาลงมือแล้ว… เจ้าเด็กน้อยนั่น ได้ตายแน่!…” มีคนโผล่งขึ้น
บนงสังเวียนการประลอง
ทั้งสองยืนประจัญหน้ากันอย่างไม่เกรงกลัว ปราณแห่งพลังปะทะกันโดยมิได้เคลื่อนไหวแม้ปลายเส้นผม
“สหายจ้าว คิดเห็นอย่างไร?” เจียวหรงกล่าวถามเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ
จ้าวจื่ออวิ๋นตอบเสียงเรียบ แววตาสงบเยือกเย็นราวธาราน้ำแข็ง “ยากจะคาดเดา…”
เจียวหรงพลางขมวดคิ้ว ดวงตาไม่อาจละไปจากสังเวียน พลางเอ่ยแผ่วเบา “อย่างนั้นหรือ… แสดงว่า… เด็กนั่นไม่ธรรมดาสามัญ! งั้นหรือ?”
“เจ้าหนู... แม้ว่าเจ้าจะเป็นเด็ก ข้าก็จะไม่ออมมือให้หรอกนะ!”
ถู่หนานกล่าวเสียงต่ำ น้ำเสียงหนักแน่นราวกับอสนีบาตสะท้อนจากฟากฟ้า
แต่กู่ไท่หมิงกลับตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ศิษย์พี่อย่าได้กังวล ข้าเองก็ต้องการให้ท่านทุ่มสุดกำลังอยู่แล้ว…”
น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ทว่าแฝงเร้นด้วยความมั่นใจ สิ้นเสียง กู่ไท่หมิงพลันใช้กำปั้นทุบลงไปยังพื้นลานประลอง
ตูมมม!!...
พื้นหินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เงาร่างของวานรเพลิงขนาดสามจั้งพลันผุดทะยานขึ้นจากเงาหลังของเขา ร่างอสูรร้อนระอุด้วยเปลวเพลิงสีแดงเข้มที่ลุกโชติช่วงราวกับจะเผาแผ่นฟ้าทั้งผืน ทำเอาผู้คนทั่วทั้งลานประลองอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง
“อะไรกัน! วานรเพลิงกัมปนาท?”
อาวุโสใหญ่ ่าอู่ ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง เสียงอุทานของเขาสั่นสะท้านไปถึงเหล่าผู้อาวุโสที่ล้วนลุกขึ้นยืน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตระหนก ราวกับได้ประจักษ์ถึงสมบัติล้ำค่าที่สูญหายไปนับร้อยปี
เจียวหรงจับจ้องไปยังสังเวียนพลันกล่าวขึ้นด้วยเสียงกังวาน
“ลูกหลานตระกูลใดกัน? สามารถนำอสูรสวรรค์มาให้อนุชนรุ่นเยาว์ผสานจิตได้… ที่มาของเจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดาเป็นแน่…”
จ้าวจื่ออวิ๋นมิได้กล่าวคำใด หากแต่ ในแววตานั้น กลับทอประกายบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ และไม่สามารถเอ่ยกับผู้ใดให้ล่วงรู้ได้
ถู่หนานยืนเผชิญหน้ากับเงาร่างวานรเพลิงขนาดมหึมาอย่างไม่หวาดหวั่น
“แม้อายุยังน้อย แต่เจ้ากลับสามารถบรรลุถึงระดับมรรคาอสุรา… น่าเสียดายนัก ที่เจ้าพึ่งจะผสานจิตไปได้ไม่นาน พลังยังคงไม่เสถียรเท่าใดนัก…”
กล่าวจบ ถู่หนานจึงพุ่งปราดออกไปประดุจพยัคฆ์คำราม พลังฝ่ามือแผ่คลื่นความกดดันมหาศาลเข้าใส่วานรเพลิงอย่างเต็มแรง
หมัดของวานรเพลิงเองก็พุ่งสวนออกไปอย่างบ้าคลั่ง
ตูมมม!!...
เสียงปะทะสนั่นสะเทือนเลือนลั่น ระลอกคลื่นพลังจากการปะทะ กวาดล้างออกไปทั่วบริเวณ แรงอัดกระแทกส่งให้ทั้งสองฝ่ายเหยียดฝีเท้าถอยหลังพร้อมกันหลายก้าว
“แข็งแกร่ง! ดูเหมือนว่าพลังของทั้งสองจะสูสีกันมาก…”
เสียงฮือฮาดังระงมในลานประลอง แววตาของผู้ชมแต่ละคนเปล่งแสงเจิดจ้าด้วยความตื่นเต้นราวกับได้เห็นเทพยุทธ์ปะทะกันอย่างแท้จริง
กู่ไท่หมิงแสดงสีหน้าขึงขัง พุ่งทะยานออกไปพร้อมเงาร่างวานรเพลิงอีกครา ร่างของเขากับเงาอสูรใหญ่เบื้องหลัง ราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เปลวไฟสีแดงเข้มพลันแผดเผาจนลานประลองสะท้านสะเทือน
"หมัดกัมปนาท!"
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??