ความรักของอลิน
โต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มตัวใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องกว้างสีขาวสะอาดตา บนโต๊ะเต็มไปด้วยหนังสือตัวอักษรเบลล์เล่มหนาวางทับซ้อนกันหลายเล่ม หญิงสาวหน้าตาสะสวยเจ้าของโต๊ะกำลังนั่งพิมพ์บางอย่างลงในคอมพิวเตอร์
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้กระดำกระด่างบุนวมเก่าคร่ำดูขัดแย้งกับการตกแต่งห้องอย่างสิ้นเชิง ปลายนิ้วเรียวขยับไปตามแป้นพิมพ์อย่างเป็นจังหวะคล่องแคล่ว เรือนผมสีดำสนิทยาวจรดกลางหลังถูกรวบไว้อย่างบรรจง หากมองอย่างผิวเผินคงไม่มีใครทราบว่าเธอเป็นคนพิการทางสายตา
อลินเคยเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติอย่างเช่นคนอื่นพึงมี ย้อนกลับไปเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว อลินในวัย 16 ปี กำลังสวยสดใสและทรงคุณค่า เธอเป็นดาวโรงเรียนเป็นนักกีฬาคนสำคัญในการลงแข่งขันเจ็ตสกีเยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย
แสงแดดจัดจ้ากระทบเกลียวคลื่นในทะเลสะท้อนเข้าตาจนต้องหยีตาคือวันที่อลินจำได้ไม่เคยลืม เธอกับเจ็ตสกีคู่กายสีเทาคาดดำข้างตัวเรือพาดอักษรสีดำสนิทตวัดเป็นลายไทยอ่านได้ความว่าสีหมอก
ก่อนลงแข่งขันเธอพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ แต่เมื่อการแข่งขันดำเนินไปได้ไม่นาน อลินรู้สึกหน้ามืดและแน่นหน้าอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอบอกตัวเองว่าการแข่งขันกำลังดุเดือดต้องอดทนฟันฝ่ากับคู่แข่งที่กำลังเบียดกระชั้นขึ้นมาตีคู่ให้ได้เสียก่อน แต่นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอนึกออก
เพดานสีขาวสะอาดตาและแสงจ้าจากหลอดไฟในห้องไอซียูคือสิ่งแรกที่อลินสัมผัสได้หลังจากเริ่มรู้สึกตัวในวันที่สามของอุบัติเหตุ จากนั้นจึงย้ายออกมาพักฟื้นอยู่ห้องพิเศษอีกนานร่วมเดือน ระยะเวลาช่วงนั้นเปรียบเสมือนนรกดี ๆ นี่เอง
หัวไหล่หลุด ขาข้างขวาหักต้องดามเหล็กไว้ตลอดชีวิต แขนข้างขวามีแผลค่อนข้างลึกยาวจนถึงข้อศอก ทั้งหมดนั่นยังไม่น่าตกใจเท่ากับสิ่งที่ได้ยินว่าดวงตาทั้งสองข้างอาจมองไม่เห็นไปตลอดชีวิต เธอกรีดร้องอย่างคลุ้มคลั่งอยู่หลายวันจนไม่มีเสียง
ชีวิตที่เคยรุ่งโรจน์ในช่วงวัยรุ่นดับลงทันทีที่อลินรักษาบาดแผลภายนอกหายจนเกือบเป็นปกติ แต่จิตใจกลับไม่สามารถยอมรับการสูญเสียได้ ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยมองเห็นแจ่มชัดกลับเหลือเพียงภาพลางเลือนโลกทั้งใบของอลินกลายเป็นสีดำ หัวใจของเธอแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
เป็นเวลาเกือบสองปีที่เธอต้องเข้ารับการบำบัดอาการทางจิตอยู่ในโรงพยาบาลด้านจิตเวช พ่อแม่คอยดูแลให้กำลังใจใกล้ชิดขนาดไหนก็ไม่อาจทำให้อลินรู้สึกดีขึ้นมา กาลเวลาล่วงผ่านทำให้เธอเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้ชินกับความมืดมิด หัดช่วยเหลือตัวเองทุกด้านจนกลายเป็นความท้าทายที่ต้องเอาชนะโดยที่ไม่อาจหลีกพ้น
อลินเริ่มเรียนอักษรเบลล์ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนที่เคยมองเห็น ทุกอย่างเริ่มใหม่ทั้งหมดแต่เธอกลับมีเป้าหมายใหม่ให้ตัวเอง
...ยืนด้วยตัวเองให้ได้อีกครั้ง ทำให้ทุกคนเห็นว่าความพิการไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต เธอมีคุณค่ามากกว่าจะอยู่ภายใต้เงามืดและความสิ้นหวังจนวันเวลาผ่านไปหลายปี
“สวัสดีค่ะคุณอรรจน์” อลินหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงแสลคสีดำขึ้นมาแนบหู แทบไม่ต้องบอกเลยว่าเป็นใคร เธอก็รู้ได้โดยสัญชาติญาตตั้งแต่ยังไม่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มปลายสาย
“ผมอยากชวนคุณไปเป็นนางแบบให้ผมหน่อย”
อรรจน์ ทิศาธร ช่างภาพอิสระพ่วงท้ายด้วยการเป็นอาจารย์พิเศษด้านการถ่ายภาพให้กับมหาวิทยาลัยชื่อดังของเชียงใหม่ เขาเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัวนักธุรกิจจากกรุงเทพมหานครที่มีความคิดนอกกรอบ
อลินชอบเสียงทุ้มห้าวของเขา ชอบอัธยาศัยและความเป็นสุภาพบุรุษของอรรจน์ แม้จะไม่รู้ว่าหน้าตาของชายหนุ่มเป็นเช่นไรแต่เขาก็ได้ความรักจากเธอไปแล้ว เขามาหาเธอที่มูลนิธิคนตาบอด เขตการศึกษาที่ 8 จะว่าไปก็ที่ห้องนี้แหละ เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯพาเขามาแนะนำและจากนั้นเธอก็เริ่มเปิดใจกับชายหนุ่มมากขึ้น
ผ่านมาเกือบสามเดือนอรรจน์ถึงยอมเล่าให้ฟังว่าพบเธอครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยที่เชิญเธอไปบรรยายพิเศษในหัวข้อ“ชีวิตไม่ท้อย่อมประสบความสำเร็จ” เขาสารภาพว่าเธอมีความพิเศษอยู่ในตัวจนตกหลุมรักตั้งแต่ตอนนั้น
ความรักที่บ่มเพาะอย่างช้า ๆ อลินบอกกับตัวเองว่าเธอมีความสุขเหลือเกินกับสิ่งที่อรรจน์ทำให้ เขามองเห็นความเป็นตัวตนของเธอมากกว่าความพิการเช่นคนอื่น ๆ
ไม่มีความลังเลสงสัยในน้ำเสียงยามสนทนา มีแต่ความจริงใจให้กัน อลินแน่ใจแล้วว่าเขารักเธออย่างไม่มีข้อแม้ ใบหน้าเปี่ยมสุขเต็มไปด้วยความหวัง
‘แต่งงานกับผมนะครับ’ วันหนึ่งเขาก็เอ่ยคำนั้นออกมา
กลิ่นหอมสดชื่นอบอวนอยู่ภายในรถยนต์ของอรรจน์วันสำคัญของชีวิตที่ทำให้อลินอดตื่นเต้นไม่ได้ เธอกุมมือเย็นเฉียบของตัวเองไว้บนตัก อาทิตย์ก่อนเขาไปพบพ่อแม่ของเธอปรึกษาเรื่องการแต่งงานและขออนุญาตพาเธอไปรู้จักกับครอบครัวของเขา พ่อแม่ของเธอยินดีหากแต่อลินรู้สึกว่าทั้งสองลังเลในตัวว่าที่ลูกเขย มารดาเคยปลอบว่าเธอยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นคือภาพลวงตาที่ผู้ชายหลายคนเข้ามาตีสนิท แต่พอรู้ว่าเธอเป็นคนพิการทุกคนก็มักหนีหายไป ครอบครัวของเธอจึงกังวลในเรื่องนี้ไม่น้อย แต่อรรจน์ยังยืนยันความคิดของตัวเองและจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาจริงใจ
ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีหายวับไปทันทีที่ก้าวเข้าสู่บ้านของอรรจน์ บรรยากาศชวนอึดอัดของทุกคนที่เข้ามาทักทายทำให้อลินรู้ว่าทุกคนที่นี่ไม่ต้อนรับคนพิการอย่างเธอ ความรักที่เต็มล้นในหัวใจแปรเปลี่ยนไปในบัดดล
...เธอกลัวการสูญเสีย การพลัดพรากจากคนที่รักโดยความเห็นแก่ตัวของคนรอบข้าง ทุกสิ่งรอบตัวบีบบังคับให้หัวใจเธอเจ็บปวด
ใบหน้าเรียวสวยยังแย้มยิ้ม ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจเธอกำลังคิดอะไร อรรจน์ก็ยังคงเป็นอรรจน์มีความเป็นสุภาพบุรุษ พยายามดูแลเธอเป็นอย่างดีคอยปลอบประโลมไม่ให้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องที่เธอกังวล
ไม่มีประโยชน์...อลินรู้ดี
ใครอยากจะได้สะใภ้ตาบอด ต่อให้เธอพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถยืนเคียงข้างลูกชายคนเล็กของครอบครัวทิศาธรได้ โลกของเธอกลับมาดำมืดอีกครั้งจนผู้คนภายนอกไม่อาจเข้าใจความรู้สึกแท้จริง
ความริษยาความเจ็บปวดเปลี่ยนเป็นความคลั่งแค้นสะสมมานานนับสิบปีกำลังกัดกินหัวใจอลินให้ทรมาน เธออยากกรีดร้องออกมาให้ดัง โทษโชคชะตาที่กำลังพรากทุกอย่างที่เธอควรได้รับไป อรรจน์คือผู้ชายเพียบพร้อมที่รักเธอจากหัวใจจนไม่อยากปล่อยมือจากคนดี ๆ อย่างเขา
อลินเก็บตัวอยู่แต่ในสวนดอกไม้หลังบ้านที่กำลังผลิบาน กลิ่นหอมอ่อนโชยแตะจมูกเป็นระยะ บ้านปูนชั้นเดียวหลังกะทัดรัดภายในเนื้อที่กว่ายี่สิบไร่เคยเป็นของยายมาก่อน มือบอบบางกอบดินสีดำสนิทขึ้นมาจากก้นหลุมเธอลงมือขุดหลุมขนาดใหญ่เพื่อเตรียมปลูกต้นพญาเสือโคร่ง ดอกไม้สีชมพูดอกเล็ก ๆ ที่เธอรักตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อลินชอบวิ่งเล่นใต้ต้นของมันยามสายลมพัดดอกสีชมพูอมขาวหลุดปลิว
อ่อนไหว และเปราะบาง เหมือนอะไรนะ!!
หัวใจของเธอไงอลิน...คำตอบของคำถามที่เธอตั้งขึ้นและตอบมันด้วยตัวเอง รอยยิ้มเย็นแย้มขึ้นที่มุมปากเล็ก ๆ กำลังมีความสุขกับสิ่งที่กำลังทำ
ห้องรับแขกขนาดเล็กตกแต่งด้วยชุดโต๊ะและเก้าอี้หวายบุนวมนุ่มนิ่มสีครีม อรรจน์ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอย่างเช่นทุกครั้งที่มาหาเธอ ภายในใจเป็นห่วงความรู้สึกของอลินไม่น้อยเมื่อพบว่าหญิงสาวเงียบไปหลังกลับจากเยี่ยมเยียนครอบครัวของเขา
“ผมเป็นห่วงลินนะไม่อยากให้คิดมาก ผมรักและพร้อมจะดูแลลินไปตลอดชีวิต”
“ครอบครัวคุณไม่สำคัญหรอกหรือคะ”
คำถามที่ได้ยินทำเอาอรรจน์เงียบไปนาน อลินหัวเราะออกมาเบา ๆ เธอรู้ว่าเขาลำบากใจ แต่เธอมีทางออกของปัญหาเสมอ
“ล้อเล่นค่ะ แค่คุณอรรจน์รักลินเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” อรรจน์ส่งยิ้มน้อย ๆ ให้แม้จะรู้ว่าเธอมองไม่เห็นก็ตาม
นี่เขาเมาแดดหรือยังไงถึงเริ่มเวียนหัวดวงตาพร่าลาย ภาพของอลินเริ่มแยกร่างเองได้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะเห็นอลินกำลังเดินอ้อมโต๊ะเข้ามาหา เธอพูดบางอย่างแต่เขากลับไม่ได้ยินมันสักนิด
แสงแดดยามบ่ายคล้อยแผดเผาใบหน้าเข้มที่นอนราบอยู่บนพื้นดิน อรรจน์พยายามปรับสายตาให้มองเห็นทุกสิ่งรอบกาย ตอนนี้เขารู้สึกกระหายน้ำจนลำคอแห้งผากชายหนุ่มขยับตัวได้เพียงเล็กน้อยรู้สึกเจ็บบริเวณข้อมือมากขึ้น รับรู้ว่าแขนของเขาถูกมัดไว้ด้วยอะไรสักอย่างที่ไม่อาจดึงให้หลุดเองได้
ยิ่งดึง ยิ่งเจ็บ เจ็บจนรู้สึกว่ามีแผลลึกอยู่ที่บริเวณข้อมือทั้งสองข้าง พยายามอย่างมากกว่าจะลุกขึ้นมานั่งได้ รู้ได้ตอนนี้เองว่าตัวเองหมดอิสรภาพอย่างแท้จริงเมื่อข้อเท้ามีเชือกไนล่อนผูกอย่างแน่นหนา
“ตื่นแล้วเหรอคะที่รัก”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลังก่อนที่ร่างบอบบางคุ้นตาจะมาหยุดยืนค้ำหัวอยู่ตรงหน้า อลินค่อย ๆ ย่อตัวลงใกล้ ๆ นี่เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมที่เห็นว่าอลินกำลังจ้องหน้าอยู่ ความสับสนเกิดขึ้นในใจคล้ายความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงแต่สิ่งที่มองเห็นตอนนี้คืออลิน แต่...ไม่ใช่ในแบบที่เขาเคยรู้จัก ชั่วพริบตาชายหนุ่มเห็นเธอยิ้ม
รอยยิ้มเยือกเย็นจนทำให้ขนอ่อนบริเวณท้ายทอยลุกชัน ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้อรรจน์กลัวผู้หญิงตรงหน้าจับใจ
อลินเหมือนรู้ความคิดของเขาเธอยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้าที่มีเศษใบไม้แห้งติด ค่อย ๆ จับออกทีละใบอย่างใจเย็น
“คุณหล่อมากนะคะอรรจน์ ไรหนวดสีเขียวจาง ๆ ของคุณลินก็ชอบค่ะ ลินรักทุกอย่างที่เป็นคุณ เสียดายนะคะที่ครอบครัวคุณรังเกียจความพิการของฉัน แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ปลายเสียงที่เคยหวานกระชากห้วนจนอรรจน์ตกใจ
“คุณ...ตาบอดไม่ใช่เหรอ” อรรจน์พยายามขยับปากเพื่อถามคำถามที่คาใจออกมา ฝ่ามือเหนียวหนืดเมื่อสัมผัสกับของเหลวที่ไหลออกมาไม่หยุด
อลินหัวเราะร่วนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เธอเดินอ้อมไปทางด้านหลังของเขา
“ค่ะลินตาบอด แต่ตาข้างซ้ายของลินเริ่มดีขึ้นมาหลายปีแล้ว เห็นสีหน้าของแม่คุณแสดงความรังเกียจลินชัดเจนมาก ๆ ลินผิดเหรอคะที่พิการ ครอบครัวคุณไม่มีทางยอมรับลิน...ไม่มีวัน” อลินกดเสียงต่ำจนดูเยือกเย็น เธอถอนหายใจปรับเสียงให้นุ่มนวลอย่างที่เขาคุ้นเคยอีกครั้ง
“แต่ลินมีวิธีที่จะทำให้ความรักของคุณอยู่กับลินตลอดไปคุณพูดว่าจะดูแลลินไปตลอดชีวิตไงคะ”
อรรจน์ขยับกายเล็กน้อยเมื่ออลินเดินกลับมายืนตรงหน้าพร้อมมีดเงาวับในมือ แสงแดดส่องกระทบโลหะสีขาวคมกริบที่ประมาณด้วยสายตาว่ายาวกว่าแปดนิ้ว
“ลิน...คุณต้องตั้งสติให้ดีนะครับ เรื่องนี้เราคุยกันได้” อรรจน์ละล่ำละลักบอก แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายมีเพียงแค่รอยยิ้มเยือกเย็นของเธอ เม็ดเหงื่อมากมายไหลจากไรผมเข้าตาจนรู้สึกแสบ
“ลินไม่อยากทำให้คุณเจ็บเลย แต่สัญญาค่ะว่ามันจะเจ็บนิดเดียวเท่านั้นเอง จากนั้นคุณจะอยู่กับลินตลอดไป”
อรรจน์รับรู้ถึงความปวดแปลบบริเวณหน้าอกที่มีดปลายแหลมทะลุผ่านเนื้อผ้าเข้ามา ก้มมองโลหะวาววับกดลึงลงไปในผิว ยิ่งขยับดิ้นรนยิ่งเจ็บปวด อลินกดมีดจนสุดแล้วดึงออกทันที เลือดมากมายไหลทะลักออกมาราวน้ำพุ เธออ่านหนังสือมาแล้วว่าขั้วหัวใจของคนเราอยู่ตรงตำแหน่งไหน
ร่างกายอ่อนแอจากการเสียเลือดที่ข้อมือทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อรรจน์พยายามหายใจเข้าปอดอีกครั้งแต่เป็นครั้งสุดท้ายรับรู้ถึงริมฝีปากอุ่นของอลินกดลงบนริมฝีปากของเขา มือของเธอกดเปลือกตาเขาลงอย่างแผ่วเบา อรรจน์ทำตามแต่โดยดี เขาเหนื่อยเหลือเกินร่างกายเจ็บปวดจนไม่รับรู้ความรู้สึกใดอีก
อลินใช้พลั่วกลบดินรอบ ๆ โคนต้นพญาเสือโคร่งต้นใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อสองวันที่แล้ว เธอลุกขึ้นยืนปัดมือตัวเองเพื่อให้ดินหลุดออก มองภาพต้นไม้แสนรักตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี หันไปมองต้นพญาเสือโคร่งอีกสามต้นที่กำลังแข่งกันผลิดอกบานสะพรั่งอยู่ภายในสวนดอกไม้ รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้า
...ผีเสื้อแสนสวยบินวนเกาะดอกไม้เพื่อหาน้ำหวานประทังชีวิต เธอก็เช่นเดียวกันกักเก็บความรักเปรียบเหมือนน้ำหวานหล่อเลี้ยงชีวิตมืดมนให้มีชีวิตชีวา จดจำภาพชายที่บอกรักเธอไว้ตราบนานเท่านาน
………………………..
จบ
ติดตามเป็นกำลังให้เอสด้วยนะคะ
เอสเปรสโซ่
สารบัญ
CONTENT
|
|
|
นิยายแนะนำ |
ดูทั้งหมด |
รายการรีวิว
REVIEW
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00

นิยายแนะนำสำหรับคุณ
ดูทั้งหมด
นิยายแนะนำสำหรับคุณ