เรื่อง Short Erotic
“พี่แบล็ค! ม-มาแล้วค่ะ แฮ่กๆ!”
เสียงเรียกตะกุกตะกักของฉันดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าที่รีบวิ่งตามไปยังหน้าหอพักหญิง พี่แบล็คที่ยืนรออยู่ที่รถตรงหน้าหอหันมาเหล่มองก่อนจะหยุดยืนกอดอก เห็นชัดว่าคิ้วเขากระตุกนิดๆ เหมือนหงุดหงิดอะไรอยู่
“รีบวิ่งออกมาแบบนั้นอยากสะดุดหน้าทิ่มตั้งแต่เช้ารึไง?”
วันนี้ฉันกับพี่แบล็คมีนัดไปดูหนัง ตอนแรกก็กะไปเจอกันที่ห้างแต่เขาบอกว่าจะมารับที่หอเองแล้วฉันก็ไม่ได้ติดอะไรเลยตอบตกลงไป
“ก็หนู…กลัวพี่รอนาน”
พี่แบล็คมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาคมกริบจ้องมาหยุดอยู่ตรงเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์สีเทาตัวโคร่งที่ฉันใส่อยู่กับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย
ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสื้อตัวนี้ไม่ใช่ของตัวเอง และก่อนที่ฉันจะคิดหาคำแก้ตัวได้เสียงต่ำของเขาก็ดังขึ้น
“มีเสื้อตัวนี้ด้วยหรอ? ไม่ยักจะเคยเห็น”
“เอ๊ะ?” ฉันสะดุ้งคอหดไปเองโดยอัตโนมัติพลสงก้มดูตัวเอง
จริงด้วยแฮะ “หนูรีบเลยไม่ได้ดูน่ะค่ะ”
“รีบ? หมายความว่าไอ้เสื้อตัวนี้ก็ไม่ใช่ของเธอน่ะสิ”
พี่แบล็คขยับเข้ามาใกล้จนฉันต้องถอยหลังเล็กน้อย “ว่าไง”
ได้แต่กลืนน้ำลายที่เหนียวปากลงคอ เอาไงดี ถ้าฉันบอกความจริงว่าเสื้อตัวนี้เป็นของพี่โยมีหวังได้โดนเขาโกรธแน่ๆ อีกอย่าง ฉันไม่อยากให้พวกเขาทะเลาะกัน เหมือนครั้งนั้น
“ของผมเองครับ อยากใส่ด้วยมั้ยพี่?”
ฉันหันขวับไปตามเสียงพบพี่โยเดินเข้ามาพร้อมกล่องข้าวในมือ ใส่เชิ้ตเปิดกระดุมบนสองเม็ดตามสไตล์ พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉันไม่เคยรับมือทันเลยสักครั้ง
“เห็นไลน์เงียบ เลยเอาข้าวเช้ามาให้ครับ เรายังไม่ได้กินใช่มั้ย?”
ระหว่างพี่แบล็คที่จ้องเงียบๆ กับพี่โยที่ยื่นกล่องข้าวมาให้พร้อมรอยยิ้ม “เอ๊ะ…คะ…ขอบคุณค่ะ…” ฉันรับกล่องมาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วแอบหลุบตามองที่ใส่อยู่
ไม่ทันแล้วมั้งที่จะแถว่าไม่รู้ของใคร
พี่แบล็คยังคงมองฉันนิ่งๆ สายตานิ่งจนฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กอนุบาลโดนเรียกไปหน้าเสาธง
“ถ้าชอบใส่เสื้อของคนอื่นนักครั้งหน้าก็บอกด้วยละกัน จะได้เตรียมไว้ให้”
“ห๊ะ…คะ?”เงยหน้าขึ้นมองเขา พี่แบล็คไม่ตอบแต่หันหลังเดินนำไปยังลานจอดรถเงียบๆ ทิ้งฉันให้ยืนมึนอยู่กลางลาน พร้อมกับพี่โยที่ยิ้มขำข้างหูเบา ๆ ว่า
“ดูเหมือนพี่ว๊ากเขาจะไม่ชอบที่เสื้อพี่ไปอยู่บนตัวเรานะ”
ฉันหันไปมองพี่โยตาโต หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้ “พี่โยอย่าพูดแบบนั้นสิคะ หนูไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ”
“พี่รู้” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มบาง “แค่แกล้งพูดไปงั้นแหละ”
ฉันเบะปากน้อยๆ อย่างนึกเขินปนหมั่นไส้
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ ไว้เจอกันนะครับ”
บอกลารุ่นพี่หนุ่มเสร็จก็เดินตามหลังพี่แบล็คไปยังลานจอดรถ เขายืนอยู่ข้างรถคันเดิม คันที่เคยนั่งไปเรียน ไปกินข้าว แล้วก็...บางคืน
“ขึ้นรถสิ”
เสียงห้วนๆ ของเขาดังขึ้นโดยไม่หันมามอง แต่ประตูฝั่งข้างคนขับถูกเปิดรอไว้แล้ว
ฉันรีบเดินไปนั่งอย่างว่าง่าย มือยังกอดกล่องข้าวที่พี่โยให้ไว้แน่น
พี่แบล็คออกรถโดยไม่พูดอะไรมีแค่เสียงเพลงเบาๆ จากวิทยุกับบรรยากาศอึมครึมที่ฉันไม่กล้าทำลาย
ฉันแอบมองคนข้างๆ เห็นมือเขากำพวงมาลัยแน่นกว่าปกตินิดหน่อย
“เอ่อ…หนูจะเอาเสื้อตัวนี้ไปซักแล้วพับคืนให้พี่โยนะคะ”
“ไม่ต้อง”
คำตอบสั้นๆ ทำเอาฉันสะดุ้งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา พี่แบล็คปรายตามามองครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“เธอไม่ต้องเอาไปคืน”
“ทำไมล่ะคะ? เสื้อนี่ของพี่โยนะคะ”
เขาเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดเสียงเรียบพร้อมกับยกยิ้มร้ายเหมือนพวกตัวร้ายที่นึกแผนเด็ดๆ ออก
“เพราะฉันจะหาวิธีเอาคืนมันเอง”
ฉันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ รู้สึกเหมือนอุณหภูมิในรถลดลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“แล้วก็กินข้าวให้หมดก่อนหนังเริ่มด้วย”
“ค่ะ” ฉันก้มหน้าตอบ แล้วเปิดกล่องข้าวที่พี่โยให้ช้าๆ ในหัวเต็มไปด้วยคำถามและความรู้สึกวุ่นวายปนอบอุ่นแบบที่อธิบายไม่ได้
หรือว่าเรากำลังถูกแย่งตัวอยู่กันนะ?
เสียงป๊อปคอร์นดังกรอบแกรบในความมืดของโรงหนัง ฉันนั่งตัวเกร็งอยู่ข้างๆ พี่แบล็คที่ไม่พูดอะไรตั้งแต่เดินเข้ามาทั้งที่เป็นคนเลือกหนังเองแท้ๆ พอเข้ามานั่งก็แค่ยื่นถังป๊อปคอร์นมาให้กับน้ำหนึ่งขวดจากนั้นก็นั่งไขว่ห้างมองจอเฉยๆ
เหลือบมองหน้าด้านข้างของเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนสายตากลับมายังจอภาพยนตร์ตรงหน้า
แต่แทบไม่รู้เลยว่าหนังกำลังพูดถึงอะไร เพราะใจมัวแต่คิดเรื่องเสื้อ เรื่องพี่โย แล้วก็เรื่องท่าทีเงียบๆ ของพี่แบล็คตอนนี้
“กินให้หมดนะ ฉันไม่ชอบถือของเหลือกลับ”
เสียงทุ้มของคนข้างๆ ทำเอาฉันสะดุ้งจนเผลอกัดป๊อปคอร์นเสียงดังไปเม็ดนึง
“คะ…ค่ะ”
จู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้รู้งี้ดูเสื้อให้ดีก่อนซะก็ดี
“ยังคิดมากเรื่องเสื้ออยู่รึไง” พี่แบล็คเอ่ยขณะสายตายังจดจ่ออยู่กับขอภาพยนต์ที่กำลังฉายโฆษณาอยู่
“หนูเปล่านะคะ.” ฉันรีบตอบอัตโนมัติ แต่พอเห็นหางคิ้วเขายกขึ้นนิดๆ ก็รู้ทันทีว่าตัวเองโป๊ะไปเต็ม ๆ
เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างคนที่รู้ว่าเรากำลังโกหกไม่เก่งเอาซะเลย ฉันเบือนหน้าหนีแล้วจิ้มน้ำดูดกลบอาการเขิน
แต่วินาทีถัดมากลับมีเสียงพูดดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาฉันหันไปตามทันที
“เฮ้ยยยย ไอ้แบล็ค บังเอิญชะมัดเลยวะ”
เสียงนี้!?
“พี่โฟลท?”
ฉันอุทานเบาๆ พอเห็นคนพูดโผล่มาจากแถวด้านหลังพร้อมถังป๊อปคอร์นไซซ์ใหญ่และแก้วน้ำที่ดูเหมือนจะกินไปแล้วครึ่งแก้ว
“โอ้โห มีมาเดทกันสองคนด้วย ไม่ชวนเลยน้า~” เขายักคิ้วให้ฉันแล้วยิ้มกว้างก่อนจะหันไปแซวเพื่อน
“สาวน้อย ไหนเราบอกจะไปเดตกับพี่ไงคะ ทำไมถึงมานั่งตุ้มปุ๊กอยู่กับไอแบล็คได้ล่ะ จะหักอกพี่รึไงคะ”
“มึงจะดูหนังหรืออยากโดนเตะออกจากโรง?” พี่แบล็คเหลือบมองเพื่อนชายด้านหลัง
“โห เดือดเลยว่ะ” พี่โฟลทหัวเราะแล้วเอื้อมมือมาหยิบป๊อปคอร์นในถังของฉันไปเม็ดหนึ่งแบบหน้าตาเฉย
“โอ๊ะ รสนี่รสโปรดพี่”
ฉันหลบสายตาได้แต่นั่งเงียบไม่กล้าพูดอะไร เพราะรู้ว่าถ้าขืนพูดอะไรตอนนี้มีหวังพี่แบล็คลุกเตะพี่โฟลทจริงแน่
“ไปนั่งที่ตัวเองได้แล้วไอ้โฟลท” พี่แบล็คว่าเสียงนิ่งแต่ฟังดูโคตรเย็นยะเยือก
“จ้าๆ ไม่กวนแล้วจ้าา~” พี่โฟลทยกมือสองข้างขึ้นแล้วหัวเราะคิกคักขยับกลับไปที่นั่งตัวเอง
ฉันหันกลับมาแล้วเงียบอยู่อีกพัก พี่แบล็คขยับเอนหลังก่อนจะหันไปจดจ่อกับหนังตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรต่อ
อึดอัดในอกแฮะ อยากจะออกจากที่นี่เร็วๆ จัง
หลังหนังจบพี่แบล็คลุกขึ้นก่อนโดยไม่พูดอะไร เขาเดินนำออกจากโรงหนังไปเงียบๆ เหมือนตอนขามาไม่มีผิด
ฉันมองแผ่นหลังกว้างของเขาแล้วรีบลุกเดินตามไปเงียบๆ กล่องป๊อปคอร์นในมือแทบจะไม่พร่องคงเพราะความรู้สึกในใจวุ่นวายเกินกว่าจะกินอะไรลง
ยังไม่ทันจะเดินถึงประตูโรงหนังดี เสียงคุ้น ๆ ก็ลอยมาตามหลัง “ไอ้แบล็ค~ เดี๋ยวก๊อนน!”
พี่โฟลทวิ่งตามหลังมาก่อนจะคว้าคอเพื่อนชายจนพี่แบล็คถึงกับต้องยกมือขึ้นมายันหน้าพี่โฟลทให้ออกห่าง
“เป็นไรของมึงเนี่ย มาดูหนังด้วยกันทั้งที ไม่คิดจะคุยกับน้องมันเลยรึไง”
พี่แบล็คหมุมันมองเพื่อนข้างๆ แอบเห็นมุมปากของเขากระตุกขึ้นเหมือนพยายามข่มความรำคาญสุดชีวิต
“ถ้ามึงจะตามมากวน ก็กลับไปเลย”
“อะไรอ่า ใจร้ายป่ะเนี่ย นี่กูพยายามช่วยมึงอยู่นา” พี่โฟลทยังไม่เลิก ตามมาเดินขนาบข้างเพื่อนตัวเองแล้วเริ่มบ่นต่อ
“ช่วยตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ ก่อนมาช่วยคนอื่น”
“โถ่เพื่อน ปากร้ายใส่กูอีกล่ะ” พูดจบพี่โฟลทก็เบี่ยงตัวเดินข้ามพี่แบล็คแล้วมายืนเท้าเอวตรงหน้าฉันแทน
“ว่าแต่เรานี่เงียบจังเลยนะ นึกว่าเป็นต้นไม้ปลูกประดับโรงหนังแล้ว โดนพี่ว้ากมันดุเอารึไง” เขาหรี่ตามองฉันแล้วยิ้มแบบรู้ทัน
“เอ่อ…เปล่าค่ะ แค่…”
“หืม? แค่อะไร” พี่โฟลทเลิกคิ้วรอคำตอบจากปากของฉัน
ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ ว่าที่สาเหตุที่พี่แบล็คไม่ยอมคุยกับฉันเพราะโกรธเรื่องเสื้อ กลัวพี่โฟลทจะไปเค้นจากพี่แบล็คอแล้วพี่แบล็คจะอารมณ์เสียเอส
“จะกลับได้ยัง หรือจะนั่งเม้าท์ต่อ?”
“กะ-กลับค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ฉันตอบเสียงดังทันทีราวกับโดนจี้ พร้อมรีบเดินไปหาพี่แบล็คทันทีโดยไม่ลืมที่จะหันมาบอกลาพี่โฟลท
เหลือบมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าที่เหมือนมีบรรยากาศมาคุปล่อยออกมาจากตัวเขาพลางลอบกลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคอ
ดูท่าพี่แบล็คจะโกรธฉันจริงๆ แล้วล่ะ
ฉันนั่งอยู่บนรถของพี่แบล็ค มือหนึ่งก็กดเล่นกล่องข่าวของพี่โยไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่านเกินไป
“ดูจะชอบกล่องข้าวของไอ้โยจังนะ” ประโยคที่แสนจะเย็นชาทำเอาฉันสะดุ้งเล็กน้อย
ฉันเงียบไป ไม่รู้จะตอบยังไงดีแล้วรถก็จอดติดไฟแดงพอดี แสงไฟสีแดงส่องเข้ามาในรถเหมือนจะทำให้บรรยากาศมันอึดอัดขึ้นไปอีก
“หนู…แค่ ไม่อยากให้ฟุ้งซ่าน…แค่นั้นเองค่ะ”
“หรอ คนที่ควรจะฟุ้งซ่านมันควรเป็นฉันสิ ไม่ใช่เธอ”
บรรยากาศในรถจากตอนแรกที่อึดอัดอยู่แล้วตอนนี้มันกลับยิ่งอึดอัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก อยากจะออกไปจากตรงนี้เร็วๆ จัง
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของพี่แบล็คให้เขาต้องหยิบมันขึ้นมาดูก่อนสีหน้าเขาจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วปมแล้วโยนมือถือลงตกฉัน
“ไปเที่ยวกับมันด้วย?”
หยิบมือถือเขาขึ้นมาดูพบว่าเป็นโพสต์ของพี่โยที่เขาพาฉันไปเที่ยวชลบุรีล่าสุด “ค่ะ”
“ทีกับฉันชวนทีไม่เคยจะว่าง ทีกับมันนี่ไปทั้งทะเลไปทั้งห้าง เหอะ! โคตรลำเอียงเลยว่ะ”
จู่ๆ เขาก็พูดประชดแรงๆ ไปจนฉันรู้สึกตัวร้อนๆ ที่ตาค่อย ๆ รื้นน้ำตา ฉันพยายามเก็บไว้ไม่ให้มันไหลออกมาแต่ก็ทำไม่ได้
“ทะ-ทำไมพี่พูดแบบนี้อ่ะ แค่หนูใส่เสื้อพี่โยแค่นี้พี่ถึงกับต้องด่าหนูเลยหรอ”
สุดท้ายฉันก็ปล่อยโฮอออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ผู้ชายอะไรทำไมถึงได้ใจร้ายกันขนาดนี้นะ แค่ฉันเผลอหยิบเสื้อพี่โยมาใส่มันถึงกับต้องด่าต้องว่ากันเลยหรอ
เกลียด…เกลียดพี่แบล็คที่สุดเลย
“หยุดร้องเดี๋ยวนี้”
“ฮึก!” แม้จะพยายามกลั้นน้ำตาเท่าไหร่แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเลยสักที ยิ่งกลั้นน้ำตายิ่งเอ่อออกมาไม่หยุด
เสียงจิ๊ของคนข้างๆ ที่บ่งบอกว่าหงุดหงิดก่อนจู่ๆ เขาจะดึงคอเสื้อฉันเข้ามาใกล้แล้วจูบฉันอย่างแรง
“หยุดร้องซะ ถ้าไม่หยุด พี่จะเอาเธอตรงนี้เลยนะ”
อุณหภูมิสูงจนหน้าแดงผ่าวก่อนจะเผลอตีไหล่เขาไปที “ทะ-ทะลึ่ง!”
พี่แบล็คยิ้มมุมปากพลางเอื้อมมือไปหยิบถุงเสื้อที่วางอยู่บนเบาะหลัง โยนลงมากองไว้บนตักฉัน
“ใส่ซะ” ฉันหยิบเสื้อขึ้นมาดู เห็นเป็นเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้าตัวใหญ่ ผ้าหนานุ่มน่าจะสบาย
“แต่หนูใส่เสื้ออยู่นะคะ ทำไมต้องใส่ตัวนี้ด้วย?”
“ก็ถอดสิ หรือจะใส่ทับไปก็ได้นะ ไม่ได้ห้าม” เขาตอบอย่างไม่แคร์เลยสักนิดแต่มันไม่ได้ทำให้ฉันได้เข้าใจกระจ่างเลย
“ทำไมหนูต้องถอดด้วยอ่ะคะ อีกอย่าง เราก็ยังอยู่ในรถนะ จะให้ถอดได้ไง”
พี่แบล็คถอนหายใจเฮือกใหญ่ จิ๊ปากก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นมาหน่อย “ได้! ไม่ถอดใช่มั้ย”
พี่แบล็คเหยียบคันเร่งขยับรถเลี้ยวเข้าไปจอดที่ลานจอดรถของซูเปอร์มาร์เก็ต เขาจอดรถสนิทดีแล้วก่อนจะปลดเข็มขัดออก แล้วหันขวับมาทางฉันอย่างรวดเร็ว
“จะทำอะไรคะ!” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อเขาพุ่งตัวเข้ามาหาแบบไม่ให้ตั้งตัว มือหนาเอื้อมเข้ามาถอดเสื้อฉันออกอย่างหน้าตาเฉย
“หยุดดด! บะ-บ้าเหรอ! นี่มันที่สาธารณะนะ!” ฉันพยายามดึงเสื้อคืน แต่ก็สายไปแล้ว เสื้อของฉันถูกเขากระชากพ้นตัวในเวลาไม่กี่วินาที
ฉันยกแขนขึ้นกอดอกตัวเองแน่นด้วยความตกใจและเขินจนแทบอยากมุดเบาะหนี
เขาเป็นบ้าอะไรเนี่ย จู่ๆ ก็มาถอดเสื้อฉันเฉย แล้วแบบนี้จะไม่ให้อายได้ยังไง
“ไม่ต้องใส่แม่งล่ะ ถอดแม่งให้หมดเลย” เขาพึมพำเสียงต่ำ ดวงตาคมจ้องฉันอย่างไม่ละไปไหน
“พี่แบล็ค!”
ฉันเรียกเขาเสียงสั่น พยายามตั้งสติ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ร่างของเขาก็โน้มเข้ามาใกล้แล้วคว้าคอฉันเข้าไปหา ริมฝีปากร้อนจัดของเขาประกบลงมาบนริมฝีปากฉันทันที แรง ดุดัน และเต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง
ฉันเบิกตากว้างก่อนจะหลับตาลงอย่างเผลอตัว มือหนึ่งยันอกเขาไว้แต่ไม่ได้ผลนัก ความวูบวาบร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งตัว หัวใจเต้นกระหน่ำจนอายจะให้เขาได้ยิน
มือหนาสัมผัสลูบไล้ที่หลังก่อนจะได้ยินเสียงดังแก๊กก่อนที่ชุดชั้นในของฉันจะค่อยๆ หลวมก่อนถูกอีกคนปลดออกมาจนหลุดออกมากองบนตัก
ริมฝีปากร้อนผละออกก่อนจะไล้ลงมาเรื่อยๆ แล้วมาหยุดที่ยอดอก
“อื้อ!!” ลิ้นร้อนลากวนรอบยอดอกกระตุ้นให้ฉันเสียวเล่นก่อนจะดูดและบีบเค้นราวกับกระหายน้ำนมจากอก
“อึ่ก! พ-พี่แบล็ค เดี๋ยวคนอื่นเห็น อื้อ~”
“อือ~”
พอริมฝีปากของเขาผละออกแต่ยังไม่ทันให้ฉันได้หายใจหายคอเขาก็ประกบปากลงมาอีกรอบแต่คราวนี้ดุเดือดกว่าเมื่อกี้
ลิ้นร้อนสอดเข้ามาในโพรงปาก กวาดสำรวจจนทำเอาหายใจแทบไม่ทันจนต้องยกมือทุบไหล่เป็นสัญญาณ
“แฮ่กๆ!”
“เอาในนี้ได้ป่ะ”
“พี่แบล็ค!” ฟาดไหล่แกร่งไปอีกที คนอะไรทะลึ่งได้ขนาดนี้เนี่ย เหลือจะเชื่อเลยจริงๆ
“มันเจ็บนะเว้ย หน้าแดงแบบนี้แสดงว่าหายโกรธแล้วอ่ะดิ”
“อะ-อืม” มุมปากร้ายยกยิ้มก่อนจะยื่นใบหน้ามาจุ๊บที่ริมฝีปาก “แสดงว่าเอาได้”
“ทะลึ่ง! อ๊ะ!” จะง้างมือฟาดแต่คราวนี้เขาดันรวบแขนฉันไว้ได้ “ตีอยู่นั่นแหละมันเจ็บนะเว้ย หันก้นมาเดี๋ยวนี้ ฉันจะตีคืน”
“พี่แบล็คทะลึ่ง!”
“บอกว่ามันเจ็บไงวะ ตีอยู่นั่นแหละ”
“ก็-”
ครืด~
เสียงโทรศัพท์ของพี่แบล็คดังขึ้นจนทำให้เราทั้งคู่จนการสนทนา พี่แบล็คเอื้อมมือไปหยิบก่อนจะกดรับ
“ว่า จิ๊! อะไรของมึงอีกเนี่ย เห้อ~ เออๆ นั่งรอเฉยๆ ไป เออ”
พี่แบล็ควางสายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะปรายตามามองฉันที่ยังนั่งหอบหายใจอยู่เบาๆ จากจูบร้อนรุ่มเมื่อครู่
“ใส่เสื้อตัวนี้” เขาพูดสั้นๆ พร้อมกับยัดเสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ามาทางฉัน
เหลือบมองเสื้อตัวเดิมที่ยังอยู่บนตักตัวเอง เสื้อตัวโคร่งของพี่โยที่เฉันใส่มาเมื่อเช้า
ยังไม่ทันได้ถามอะไรพี่แบล็คก็เอื้อมมือมาดึงเสื้อของพี่โยก่อนจะโยนลงเบาะหลังราวกับมันเป็นแค่เศษผ้า
“อ๊ะ!”
“รีบใส่ซะ ไอ้ริทรออยู่” น้ำเสียงฟังดูเร่ง แต่สายตาแอบกรุ่นบางอย่างที่ฉันอธิบายไม่ถูก
หลังจากเปลี่ยนเสร็จเขาก็ออกรถทันทีโดยไม่พูดอะไร ฉันนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองเสื้อที่พาดเบาะหลังอย่างรู้สึกผิด ๆ ยังไงก็ไม่รู้
“หวงเหรอ” หันไปถามคนข้างๆ อย่างสงสัย เพราะดูจากพฤติกรรมก่อนหน้าดูเหมือนเขาจะหวงฉันจริงๆ
“หืม?” เขาเหลือบมองฉันแวบหนึ่ง “ก็แค่อยากให้ใส่ของฉันบ้าง” เขาว่าพลางยกมือข้างหนึ่งมาขยี้หัวฉันเบา ๆ
ชัดเจนเลย หวงชัวร์ๆ
จู่ๆ ก้อนเนื้อในอกก็เกิดเต้นแรงขึ้นมาดื้อๆ นี่ฉันกำลังเขินเขาหรือนี่ แย่ล่ะ
“ของฉันน่ะ ใส่แล้วอุ่นกว่าเยอะ เชื่อดิ”
ฉันหันไปมองเขา กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาก็แค่ยิ้มมุมปากแบบร้ายๆ ที่มักใช้ปิดบทสนทนาเสมอ แต่หัวใจฉันกลับเต้นแรงกว่าเดิม
เห้อ~ สุดท้ายก็แพ้เขาอยู่ดี
พอใจเข้ามาถึงคอนโดพี่ริท พี่แบล็คก็ถึงกับสบถออกมาเสียงดังทันที
“ไอ้ริท นี่มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย! โอ๊ย~ กูเป็นบ้
สภาพมันดูเละจริงๆ ทั้งกระทะไหม้จนหลุดจากเตา พื้นก็เปียกน้ำเละเทะ เพดานยังมีรอยควันอีก เละจนนึกว่าพี่ริททำสงครามมาเลย
ส่วนพี่ริทก็ยืนทำหน้าง่วงราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกตอ ต่างกับพี่แบล็คที่ตอนนี้กำลังโมโหสุดๆ ไปเลย
“หัดทำกับข้าว ทำผิดสูตร เลยเป็นงี้”
“มึงทำผิดสูตรยังไงเนี่ยห๊ะ”
“ยูทูป แต่ไม่เห็นเหมือนในคลิปเลย” พี่แบล็คถึงขั้นกุมขมับก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“กูบอกแล้วใช่มั้ย ว่าทำไม่เป็นก็อย่าฝืนทำ มึงทำทีไรก็เละทุกทีเลย ไปนั่งเฉย ๆ ที่โซฟาเลยไป!”
ฉันได้แต่ยืนมองเฉยๆ ไม่รู้จะช่วยยังไงดีกลัวไปช่วยแล้วจะเละกว่าเดิม
รู้สึกเหมือนมีคนมองก่อนจะหันไปพบว่าเป็นพี่ริทที่ยืนจ้องกันอยู่
“เอ่อ…มีอะไรหรอคะ”
“ทำไมมาอยู่กับแบล็คได้” ฉันแอบอมยิ้มเบาๆ “เราไปดูหนังกันมาน่ะค่ะ”
พี่ริทหลุบต่ำมองเสื้อที่ฉันใส่อยู่ทำให้ฉันเผลอยกมือขึ้นกอดตัวเองอัตโนมัติ
หรือพี่ริทจะรู้ว่าฉันใส่เสื้อของพี่แบล็คอยู่ ตายล่ะ เขาต้องเข้าใจผิดคิดเป็นอย่างอื่นแน่ๆ
แต่ยังไม่ทันจะได้แก้ตัวพี่แบล็คก็เรียกขึ้นมาก่อน “นานา! มาช่วยหน่อยดิ!”
“ค่ะ! ขอตัวก่อนนะคะ”
ฉันเดินตามพี่แบล็คเข้าไปในครัวอย่างเก้ๆ กังๆ พยายามจะช่วยเก็บเศษซากสนามรบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นครัวของมนุษย์ พื้นยังลื่นๆ อยู่เลย ดีที่ไม่ลื่นหัวทิ่มไปก่อน
“พี่คะ กระทะนี้จะเก็บยังไงอะ มันแยกออกเป็นชิ้นๆ เลย”
ส่วนของตัวกระทะกบด้ามจับละลายแยกออกจากกันแถมยังไม่มีเศษไหม้ของกระทะกับเศษอาหารกระจายอยู่เต็มพื้น
“วางไว้ก่อน เดี๋ยวจัดการเอง” พี่แบล็คตอบ มือก็คว้าถังขยะมาเก็บเศษซากพลางส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ
ฉันเลยหันไปกวาดสายตามองรอบๆ แล้วบ่นเบาๆ กับตัวเอง ดูท่าจะเจองานหนักแล้วสิ
“คุ้นๆ” ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นจากด้านหลัง
ฉันหันขวับไปเจอพี่ริทยืนพิงประตูครัวทำหน้านิ่งๆ พอดูดีๆ เหมือนว่าสายของเขากำลังจับจ้องมาที่เสื้อที่ฉันใส่อยู่
“เสื้อนี่ ของไอ้แบล็คป่ะ”
“ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ” จู่ๆ พี่ริทก็เดินเข้ามาใกล้ฉันก่อนจะเอื้อมมือมาจับชายเสื้อที่ใส่อยู่ทำเอาฉันต้องถอยหนีเล็กน้อย
“พี่ก็เคยใส่เหมือนกันนะ”
“?” คำตอบของพี่ริททำเอาฉันงงงวยสุดๆ
เพี๊ยะ!
“เลิกมั่วได้แล้ว เดี๋ยวจะโดนหนักกว่านี้”
ฉันยืนอึ้งอยู่ตรงกลาง พยายามใช้สมองประมวลผลคำพูดพี่ริท หมายความว่าไง เคยใส่ หรือว่า
“เอ่อ สองคนเคยอยู่ด้วยกันเหรอคะ? แล้วแบบ…เคยใส่เสื้อสลับกันด้วย?”
“ถามจริงนี่คิดไปถึงไหนเนี่ยห๊ะ?”
“ก็…”
“เฮ้อ” พี่แบล็คหันมาทำหน้าปวดหัวก่อนจะถอนหายใจยาวแบบโคตรเหนื่อย “ก็แค่เคยอยู่ด้วยกันตอนปีหนึ่งเพราะไม่มีห้อง แล้วเสื้อก็โดนมันขโมยไปใส่เองแค่นั้นเอง”
“อ๋อ” ฉันพยักหน้าช้าๆ “แต่ทำไมตอนพี่ริทพูด มันดูเหมือนแบบ…มีอะไรอ่ะ”
“เลิกคิดแปลกๆ ได้แล้วนานา นิสัยหมอนั่นเป็นยังไงก็รู้อยู่”
ฉันอ้าปากจะพูดอะไรอีก แต่พี่ริทกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อนด้วยน้ำเสียงกวนประสาทที่สุดในโลก
“วันนั้น…ตอนที่ไปกินเหล้า รู้ตัวอีกทีกูก็กลายเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ของมึงไปแล้ว…”
เพี๊ยะ!
“แล้วหน้ามึงสิ! พูดมากนักนะ มาช่วยกูเก็บนี่!!”
เสียงโบกรอบสองตามมาทันทีก่อนพี่แบล้คจะเอื้อมมือมาลากคอเสื้อของพี่ริทให้ไปจัดการเศษซากที่ตัวเองทำเอาไว้
ส่วนได้แต่ฉันยิ้มเจื่อนๆ อย่างน้อยก็โล่งใจที่ไม่เป็นอย่างที่คิดล่ะนะ
หลังจากใช้เวลาเกือบชั่วโมง พื้นครัวที่เคยสกปรกจะซากที่พีาริททำไว้ก็ดูสะอาดเอี่ยมขึ้นมาทันตา กลิ่นไหม้ก็เบาบางลงบ้างแล้วถึงจะยังมีกลิ่นติดเสื้ออยู่บ้างก็เถอะ
ฉันวางผ้าเช็ดมือไว้ตรงเคาน์เตอร์แล้วทิ้งตัวนั่งแปะลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า “พี่ริทเล่นซะเหมือนระเบิดลงครัวเลยนะคะ”
“ทอดไข่เจียว แต่ผิดสูตร” พี่ริทพูดพร้อมเทน้ำใส่แก้ว ก่อนยื่นให้ฉัน
“แค่ไข่เจียวเองเหรอคะ!?” ฉันถึงกับเบิกตากว้าง เอาจริงดิ
“อืม แล้วใส่ผงฟูผิดเป็นเบกกิ้งโซดา”
รุ่นพี่พูดพลางยกมือขึ้นมาป้องปากหาวก่อนพูดเสียงเนือย ๆ “มันสีขาวเหมือนกัน ใครจะไปรู้…”
“พี่ควรจะรู้สิคะ! ข้างฉลากก็มีเขียน” พี่แบล็คที่นั่งฟังอยู่ถึงกับถอนหายใจ
“ทีหลังถ้าหิวก็สั่งเดริเวรี่เอาเหอะ อย่าเข้าครัวเลย ไฟไหม้บ้านมันไม่ตลกหรอกนะ”
“ก็แค่หัดไว้…เผื่อ…ทำให้ใครสักคนกิน” พี่ริทตอบกลับเรียบ ๆ โดยไม่ลืมส่งสายตานิ่งเรียบมาทางฉัน
“แค่ยัยเด็กคนเดียวกูเลี้ยงได้ มึงไม่ต้องเสือกเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
“ใจร้าย”
“เออ กูใจร้าย รับไม่ได้ก็ไปผูกคอตายใต้ต้นมะเขือไป”
“ชิ”
ฉันมองทั้งสองคนที่โต้กันเหมือนเด็กๆ แล้วเผลอยิ้มออกมาเอง นึกเอ็นดูทั้งคู่ ไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของแก๊งพี่เขาสักเท่าไหร่ จะมีก็แค่นานๆ ทีเท่านั้น
แต่ทันใดนั้นสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเศษไข่เจียวไหม้ตรงมุมโต๊ะที่ลืมเก็บ
“เอ่อ… พี่ยังลืมเก็บอีกที่นึงนะคะ…” ฉันชี้นิ้วพลางหัวเราะแห้งๆ พี่แบล็คหันไปตามที่ฉันชี้แล้วถอนหายใจออกมาอีกรอบ
“ไอ้ริท มึงไปเก็บเศษของมึงไป”
“เก็บให้หน่อย ขี้เกียจ” พี่ริทพูดพลางหย่อนก้นลงบนโซฟาในห้องก่อนพี่แบล็คจะเดินไปโบกหัวอีกคนดังลั่นจนพี่ริทขมวดคิ้วยกมือเกาหัว
“ขี้เกียจควยอะไร! ไป! ทำเองหัดรับผิดชอบเองมั่ง”
“ฮือ~”
“ฮือพ่อมึงอ่ะ เลิกบ่นแล้วไปซะ!”
“เชอะ”
ฉันได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหน้าอีกครั้งขณะมองสองรุ่นพี่ผลัดกันโต้คารมเหมือนเด็กประถม แต่อย่างน้อย…ในความวุ่นวายนั่นก็คงมีความอบอุ่นแถมมาเล็กๆ ล่ะมั้ง
พี่ริทนอนแผ่อยู่กลางพรมพับผ้าในห้องรับแขกอย่างกับตุ๊กตาผ้าไร้วิญญาณ ข้างๆ มีหมอนข้างกอดแน่นอยู่ในอ้อมแขน ร่างสูงดูหมดแรงจากการทำความสะอาดครัวเมื่อกี้ แต่คนที่ดูน่าจะเหนื่อยที่สุดน่าจะเป็นพี่แบล็คนะ
ดูสิ นั่งหมดแรงอยู่บนโซฟาเนี่ย
“นวดให้หน่อย” เสียงเรียกนั้นชัดเจนว่าหงุดหงิดปนล้า
“เอ๊ะ? เดี๋ยวนี้ใช้งานกันเลยเหรอคะ” ฉันแกล้งยิ้มขำแต่ก็เดินไปยืนนวดให้เขาตามคำขอ
ไหล่พี่แบล็คแข็งจริงจัง นวดไปฉันก็แอบสงสารอยู่หน่อยๆ เหมือนเขาจะแบกโลกทั้งใบเอาไว้
“พี่แบล็คทำกับข้าวเป็นมั้ยคะ?” ฉันถามขึ้นเบาๆ ระหว่างที่ใช้นิ้วโป้งกดบริเวณบ่าเขาเบาๆ
“ไม่อ่ะ ถามทำไม” เขาตอบเรียบๆ ก่อนจะเอียงศรีษะซ้ายทีขวาทีเพื่อคลายความเมื่อยล้า
“อยู่บ้านมีคนทำให้กิน อยู่หอก็สั่งเอาไม่ก็ลงไปกินใต้หอจะไปทำเป็นได้ไง”
ก็ไม่แปลก เพราะถ้าดูตามนิสัยของพี่แบล็คกับพี่ริทด้วยคิดว่าต่อให้ทั้งคู่ทำอาหารเป็นก็คงไม่ทำหรอก เพราะขี้เกียจ
“ทำไม จะทำกับข้าวมาให้มันรึไง?”
เขาถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ท่าทีเหมือนจะหาว่า ‘มัน’ นั่นคือคนที่นอนกอดหมอนอยู่กับพื้น
ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบไปตามตรง “ว่างๆ หนูสอนพี่ก็ได้นะคะ จะได้ไม่ต้องกินแต่ของเดลิเวอรี่”
พี่แบล็คเงียบไปเขาเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ มองฉันด้วยสายตานิ่งๆ จนฉันเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง
“มะ-มีอะไรเหรอคะ?” ฉันถามพลางชะโงกหน้าไปดู สีหน้าพี่แบล็คดูไม่เหมือนเดิม มัน...นิ่งเกินไป
“ชอบไอ้ริทหรอ”คำถามนั้นเล่นเอาฉันชะงักมือไปนิด
“ค่ะ พี่ริทน่ารักดีถึงแม้บางทีจะติดขี้เกียจไปหน่อย”
เสียงจิ๊เบาๆ ดังขึ้นจากลำคอเขา พี่แบล็คเบือนหน้าหนีไปอีกทาง มือเขายกขึ้นขยี้ผมตัวเองแรงจนกลัวว่ามันจะหลุดออกมา
“เอ่อ...หนูพูดอะไรผิดรึเปล่าคะ”
เขาไม่ตอบในทันทีมีแต่เสียงถอนหายใจหนักๆ บ่งบอกว่าเขากำลังพยายามควบคุมอะไรบางอย่างอยู่
อะไรอ่ะ ฉันทำอะไรผิดหรอ
“พี่แบล็ค...?”
“เด็กบ้า…” เขาพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง มันเบาเสียฉันจับใจความไม่ได้เลยสักนิด
ฉันยืนนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะมีเสียงขยับตัวของพี่ริททำให้ต้องหันไปดู แต่ยังไม่ทันได้หันไปมองพี่ริทจู่ๆ ก็มีมือมาคว้าแขนฉันแรงจนตัวเองกลิ้งตกลงไปยังตักของเขา
“พี่แบล็ค! ทำอะไรน่ะหนูตกใจนะ!” ฉันร้องขึ้นพร้อมกับฟาดแขนอีกคนไปทีนึง
“จะชมมันอะไรกันนักกันหนาห๊ะ”
เขาพูดเสียงต่ำข้างหูฉัน กลิ่นสบู่จางๆ กับลมหายใจร้อนๆ ทำเอาฉันตัวแข็งทื่อ “มันน่ารักขนาดนั้นเลยรึไงห๊ะ? น่ารักมากไม่ป้อนข้าวมันไปด้วยเลยล่ะ เผื่อมันจะชอบ”
“ม-ไม่ใช่นะคะ หนูไม่ได้—”
“อะไร ไม่ได้อะไร หืม?”เขาแทรกขึ้นทันทีด้วยน้ำเสียงดุดันแต่สีหน้ากลับกวนประสาทสุดๆ สรุปเขาจะหงุดหงิดหรือจะกวนกันเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้วนะ
“ก็หนู…” เจอแบบนี้ทำเอาไปไม่ถูกเลยแฮะ ก้อนเนื้อในออกก็เต้นแรงเสียเหลือเกิน ทำไงดี
ตอนนี้ฉันนั่งอยู่บนตักของพี่แบล็ค แขนเขาก็โอบไว้หลวมๆ มันทั้งอบอุ่นแล้วก็รู้สึกปลอดภัยนะ แต่ไม่รู้ทำไมความอบอุ่นจากร่างกายเขามันเหมือนจะเผาฉันได้ทุกเมื่อเลย
“ไม่ชอบเลยว่ะ ใจดีกับพี่คนเดียวได้มั้ยวะ”
ฉันชะงักไปทันที หูร้อนจี๊ ตัวเกร็งไปหมด มองหน้าพี่แบล็คก็ไม่ได้ไทำไมได้แต่ก้มมองพื้น
ทำไมเขาถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมาอ่ะ มันเขินนะรู้มั้ย
“พะ…พี่แบล็ค” ฉันเรียกชื่อเขาเสียงเบาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“อะไร เขินหรือไง”
เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะขยับหน้าเข้ามาใกล้แล้วเกยคางกับไหล่จนฉันต้องหันหน้าหนีเพราะความเขิน
“ปะ-เปล่าสักหน่อย”
หัวใจฉันยังเต้นรัวไม่หยุด ลมหายใจของพี่แบล็คที่เป่ารินอยู่ข้างต้นคอทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะละลาย หัวมันเบาไปหมด ใจมันโหว่งเหมือนจะหล่นลงไปในอะไรสักอย่างที่ลึกและอุ่นจนถอนตัวไม่ขึ้น
ฉันไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ยว่าเขากำลังกอดฉันแน่นขึ้นเรื่อยๆ แล้วคำพูดพวกนั้นมันหมายคววามว่ายังไง ใจดีกับพี่คนเดียวได้มั้ยวะ
มัน...มันจะทำให้ฉันใจสั่นเกินไปแล้วนะ
ฉันยังไม่กล้าหันไปมองหน้าเขา มือก็จิกชายเสื้อของพี่แบล็คไว้แน่นเพื่อหาที่ระบายความสับสนนี้
“ขออะไรหน่อยได้มั้ย” เสียงเขาทุ้มต่ำดังอยู่ข้างหูทำเอาฉันสะดุ้งเฮือก หูร้อนวาบยิ่งกว่าตอนโดนแซวเมื่อกี้
“ขะ…ขออะไรเหรอคะ?” เสียงฉันเบาเหมือนกระซิบ ลุ้นจนกลืนน้ำลายแทบไม่ลง
“ขอแบบนี้”
ฉันยังไม่ทันได้หันกลับไปถามให้ชัดเจนก็รู้สึกได้ถึงริมฝีปากอุ่นๆ ที่แนบลงมากะทันหัน มันนุ่มและแนบแน่นจนฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“พะ-พี่แบล็ค!”
ขนาดท้วงแล้วอีกคนก็ยังยกคิ้วทำหน้านิ่ง นี่มันกวนประสาทกันชัดๆ เลยนี่ ฮือ~
หันมองรุ่นพี่ที่นอนแผ่หลากลางห้อง พี่ริทยังนอนอยู่ตรงนั้นเลยนะ ทำไมถึงมาจูบกันในสถานการณ์แบบนี้ล่ะ!!
“ตกลงนะ”
“อื้อ!!”
เขาไม่รอให้ฉันตอบก่อนจะทาบริมฝีปากลงมาอีกรอบ จูบของเขาไม่ได้เร่งรีบแต่มันลึกซึ้งจนรู้สึกวาบหวามไปทั่วท้อง ความอบอุ่นที่เขาส่งผ่านมาจากเรียวปากนั้นทำให้ร่างกายฉันอ่อนยวบจนแทบจะละลายไปกับอกแกร่ง
ฉันเผลอหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว มือที่จิกเสื้อเขาเมื่อครู่ตอนนี้กลับกำแน่นราวกับจะยึดเขาไว้
จนกระทั่งเขาค่อยๆ ผละออกจากจูบ ริมฝีปากของเรายังแนบชิดอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนฯ
“พี่แบล็ค…”
ฉันเรียกชื่อเขาเสียงสั่น ตอนนี้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว มือแกร่งแตะแก้มฉันเบาๆ นิ้วโป้งไล้ใต้ตาอย่างแผ่วเบาแล้วกระซิบเสียงทุ้ม
“ว่าไงครับ?”
ประโยคที่แสนนุ่มนวลที่ตั้งแต่รู้จักกันไม่เคยได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พี่แบล็คพูดประโยคแบบนี้ และพูดด้วยน้ำเสียงโทนนี้
เขินอ่ะ เขินจะตายอยู่แล้ว อยากจะหาที่มุดเอาหน้าซุกให้หายเขินเสียเหลือเกินแต่ก็คงทำไม่ได้เพราะโดนพี่แบล็คกอดอยู่
ฉันไม่รู้จะตอบเขายังไงเลยนอกจากเอาแต่ก้มมองแขนแกร่งที่กอดรัดตัวฉัน
“ที่เงียบคือไร เขินหรอ”
ประโยคนั้นดังข้างหูก่อนที่จะโน้มหน้าเข้ามาอีกครั้ง ริมฝีปากแตะลงมาช้าๆ จูบของเขาหนักแน่นกว่าครั้งเมื่อกี้ ร้อนแรงกว่าและลึกซึ้งกว่า
ริมฝีปากเขากดแน่นลงมา ลมหายใจร้อนๆ ผสานกับจังหวะจูบที่เร่งเร้าขึ้นทีละนิด มือแกร่งที่โอบรอบตัวฉันไว้ก็เลื่อนขึ้นมาประคองท้ายทอยคอยนวดกระตุ้นให้ฉันเคลิ้มไปกับจังหวะจูบของเขา
“อื้อ~”
ฉันเผลอครางเสียงเบาออกมาโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกทั้งหมดตีกันไปหมด ทั้งวาบหวาม ทั้งหวิวไหวจนร่างแทบละลายไปกับอกแกร่ง มือฉันเผลอกำเสื้อเขาแน่นเพื่อหาที่ระบายความเสียวซาบซ่านที่กระจายอยู่ทั่วท้อง
“พี่แบล็ค…”
“ว่าไงครับ?”
ปลายนิ้วเย็นที่นิดๆ จากแรงพัดของแอร์เกลี่ยปอยผมที่หล่นลงมาข้างแก้มแล้วแตะอย่างแผ่วเบา
“เงียบ? เขินรึไง”
“อึ่ก!” ได้แต่กลืนน้ำลายที่เหนียวลงคอ มันพูดไม่ออกราวกับว่าเสียงของตัวเองถูกดูดกลืนหายไปจนหมด
“อือ…” เสียงครางเบาๆ ดังขึ้นจากพื้นห้องให้ฉันกับพี่แบล็คชะงักก่อนจะพากันหันไปมอง พี่ริทยังนอนอยู่ท่าเดิมกอดหมอนแน่นเหมือนเดิม ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด
ฉันเผลอกลั้นหายใจไปแวบหนึ่งแต่พอเห็นเขายังไม่ตื่นก็โล่งใจ เกือบแล้วเชียว
“มันถึงกับโล่งใจขนาดนั้นเลยรึไงห๊ะ ทำไม ไม่อยากให้มาเจอในสภาพนี้รึไง”
“ก็…ใครจะอยากให้มาเจอในสภาพที่…เอ่อ” จะพูดออกมาก็เขิน ถึงแม้ไอ้เรื่องแบบนี้จะผ่านมาเยอะแล้วแต่ถึงอย่างงั้นฉันก็ยังเขินอยู่ดี
“เงียบทำไม ตอบดิวะ”
“หนูไม่ได้หน้าด้านแบบพี่สักหน่อยนี่” ได้แต่พึมพำเบาๆ ไม่กล้าตอบเสียงดัง ฉันไม่ได้หน้าด้านแบบเขาสักน่อยนี่ ที่จะสามารถพูดเรื่องแบบนี้ได้ออกมาหน้าตาเฉย
“อะไรนะ นี่ด่าฉันหรอห๊ะ!”
“ว๊าย!!”
ยังไม่ทันจะได้แย้งจู่ๆ พี่แบล็คก็จับฉันทุ่มลงกับโซฟาก่อนจะขึ้นคร่อมพร้อมกับจับแขนทั้งสองข้างล็อคขึ้นเหนือหัวแล้วเอื้อมมือมาบีบคางเบาๆ เพื่อล็อคหน้าไม่ให้ไปไหน
“เมื่อกี้พูดว่าอะไรห๊ะ ตอบมาดิ”
“อื้อ!! นะ-หนูเปล่านะ”
“แน่ใจ?” มือแกร่งที่บีบคางจู่ๆ ก็เลื่อนนิ้วโป้งสอดเข้ามาในปากพร้อมกับกดลิ้นลงมา
“อื้อ!!”
“ว่าไง หืม?”
“อึ่ก!” นิ้วโป้งของเขาถอนออกก่อนจะลงลูบไล้ตามริมฝีปากล่างอย่างแผ่วเบาแต่มันกลับทำให้อุณหภูมิในร่างกายของฉันร้อนระอุเสียเหลือเกิน
“หึ หายใจแรงเชียวนะ ยัยเด็กน้อย”
มือแกร่งลากนิ้วไปตามสันกรามลงมาผ่านคอระหงผ่านไหปลาร้าแล้วลากวนอยู่ตรงเนินอกด้านบน
สายตาดุคมหลุบต่ำมองร่างกายของฉันที่ตอนนี้มันโผล่ออกมานอกเสื้อผ้าจนเกือบหมดตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
คนตรงหน้าก้มชิมยอดอกพร้อมกับบีบเค้นราวกับจะให้น้ำนมออกมา
“พะ…พี่แบล็ค เดี๋ยวก่อน..อื้อ!”
เสียงสั่นกลืนน้ำลายแทบไม่ลงพลางเหลือบมองไปยังพื้นที่พี่ริทยังนอนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง
“หึ กลัวมันตื่นรึไง?” เขาผละปากอออกไม่พอยังใช้ลิ้นเลียริมฝีปากยิ่งทำให้เขาดูเซ็กซี่เสียจนใจฉันเต้นแรงจนจะหลุดออกมาเลย
“ปะ-เปล่า”
“ยับเด็กขี้โกหก”
ฉันยังได้หายใจไม่ทันทั่วท้องริมฝีปากร้อนก็ก้มลงมากอบกุมอก มิวายเขายังใช้ลิ้นร้อนเขี่ยกระตุ้นยอดอกทำให้ทั่วท้องของฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียวซาบซ่านที่จนต้องเกร็งตัวรับความเสียว
“อื้อ!!”
ริมฝีปากร้อนผละออกให้ฉันได้หายใจหายคอ “เขา…เขาอยู่ตรงนั้นนะคะ” ฉันหันไปกระซิบเบาเหมือนจะเตือน
“แล้ว?” เขาตอบเสียงต่ำก่อนจะเลื่อนใบหน้าซุกลงมาตรงซอกคอให้ฉันสะดุ้งนิดๆ
“แต่หนูกลัวว่าเขาจะ…” ฉันยังพูดไม่ทันจบ ริมฝีปากของเขาก็แนบลงบนต้นคออย่างแนบแน่นพร้อมเสียงจูบเบาๆ ที่ทำให้ร่างฉันสั่นไหว
“น่าสนุกดีนี่ ก็ลองมันตื่นขึ้นมาสิ เดี๋ยวโชว์แม่งเลย” น้ำเสียงเขาเจ้าเล่ห์ปนขรึมจนน่าขนลุก ริมฝีปากแตะไปทั่วผิวฉันไล่จากคอขึ้นมาจนถึงข้างหู
“พะ-พี่แบล็ค…อื้อ!!” มือที่เคยผลักกลับกลายเป็นเกาะแขนเขาไว้แน่น ท้องน้อยเต็มไปด้วยความรู้สึกวาบหวามเต็มไปหมดจนหายใจไม่ทั่วท้อง
มือแกร่งลูบไปทั่วแผ่นหลังไล่มาจนถึงขอบกางเกงก่อนเขาจะจัดการดึงมันออกโดยใช้เพียงแค่มือเดียว
“ดะ-เดี๋ยวก่อนพี่แบล็ค”
“อะไร”
“พี่จะทำอะไรน่ะ”
“นี่ยังไม่รู้อีกรึไง” เขาตอบด้วยใบหน้านิ่งสนิทแล้วจับขาของฉันแยกออกก่อนจะก้มลงมาเชียดชิมกลีบกุหลาบ
ทันทีที่ลิ้นสัมผัสกับกลีบร่องความอุ่นของลิ้นมันทำให้ฉันต้องเกร็งตัวลิ้นร้อนตวัดไปมาอย่างชำนาญราวกับกำลังสำรวจด้านในให้ทั่วถึงพร้อมกับจิกลงกลุ่มผมสีดำเพื่อระบายความเสียว
“อื้อ!!”
เสียงขยับตัวของพี่ริทที่นอนอยู่ให้ฉันต้องหันไปมอง “พะ-พี่แบล็ค พี่ริท-อ๊าส์!!”
ยังไม่ทันจะได้บอกจู่ๆ เขาก็สอดนิ้วแกร่งเข้ามาในตัวก่อนจะซอยถี่จนฉันร้องเสียงหลง
“ใครให้พูดชื่อมันตอนนี้หืม?”
“อ๊าส์!!”
นิ้วแกร่งเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนตัวจะกระตุกเกร็งพร้อมกับปล่อยน้ำในตัวออกมา
พี่แบล็คยกนิ้วที่เปรอะเปื้อนน้ำสีขาวขุ่นขึ้นมาก่อนจะดูดชิมราวกับว่ามันเป็นของหวาน และด้วยท่าทางของมันยิ่งทำให้ดูเซ็กซี่เข้าไปอีก
“อึก” ฉันได้แต่กลืนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคอ แค่เหตุการณ์เมื่อกี้ฉันก็ทำให้ฉันใจเต้นแรงจนแทบตะหลุดออกมาจากอกแล้ว แล้วท่าทางที่มัน sex appeal ของเขามันยิ่งกระตุ้นก้อนเนื้อในอกให้เต้นแรงกว่าเดิมเข้าไปอีก
ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวจู่ๆ พี่แบล็คก็เอื้อมมาดึงขาของฉันลากเข้าไปชิดก่อนจะสอดอะไรบางอย่างเข้ามาในตัว
”อ๊าส์!! พะ-พี่…แบล็ค” แก่นกายที่อยู่ในตัวขยับช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้น
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ สะ-เสียว”
“อืม~”
สะโพกแกร่งของเขาเร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ให้หน้าอกที่เปลือยเปล่าสั่นคลอนจนต้องยกแขนขึ้นมาหยุดมันไว้ แต่ก็ได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเพราะพี่แบล็คก็มาดึงแขนของฉันออกทำให้เผยเห็นหน้าอกที่กำลังกระเพื่อมจากแรงกระแทก
พี่แบล็คกระแทกสะโพกเข้ามาด้วยความแรงที่ทำเอานฉันต้องหาที่จิกเพื่อระบายความเสียว แล้วเป็นจังหวะเดียวกันที่พี่ริทขยับตัวยกมือขึ้นมาขยี้ตา
“อ๊าส์! อ๊าส์! อ๊าส์! พะ-พี่แบล็ค-!”
มือหนาเอื้อมมาปิดปากฉันแน่นก่อนจะกระหน่ำกระแทกเข้ามาจนเสียงของเนื้อสัมผัสของเราทั้งคู่กระทบกันดังแข่งกับแอร์ก่อนเราทั้งคู่จะเสร็จกิจพร้อมกัน
“อือ~” เสียงงัวเงียของพี่ริทกับดวงตาปรือของเขาที่ทำเอาฉันต้องแอบเหลือบมองเพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ ก้อนเนื้อในอกสั่นระรัวกว่าตอนที่ฉันกับพี่แบล็คมีอะไรกันเมื่อกี้อีก
“กลัวมันตื่นมาเจอขนาดนั้นเลยรึไง” เสียงแหบต่ำกระซิบข้างใบหูทำเอาสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันขวับไปมองพี่แบล็คที่ก้มลงมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“กลัวสิคะ หนูเขามาเห็นตอนเรา…เอ่อ…”
มุมปากร้ายยกขึ้นพร้อมกับแค่นหัวเราะก่อนจู่ๆ เขาจะกระแทกสะโพกแรงๆ เข้ามาทีนึงจนทำให้ฉันเผลอร้องออกมา
“อ๊ะ!-!!”
“หืม?”
พี่ริทที่กำลังงัวเงียหันซ้ายทีหันขวาก่อนเขาจะหลับตาแล้วนอนต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกับหันไปยกมือฟาดอีกคนที่เอาแต่ยกยิ้มร้ายตรงหน้า
“พี่แกล้งหนูทำไมเนี่ย ดีนะพี่ริทไม่รู้เรื่อง”
“เหอะ! กลัวมันมาเจอเราเอากันขนาดนั้นเลยรึไงห๊ะ”
“พะ-พี่แบล็ค!” ไม่พูดเปล่า เขายังขยับสะโพกเข้าออกถี่ๆ จนฉันต้องยกมือดันหน้าอกเพื่อบอกให้เขาหยุด
“อึก!!”
“ครางออกมาสิ จะกลั้นทำไม่ ครางออกมาให้ไอ้ริทตื่นเลย” นิ้วโป้งเลื่อนสอดเข้ามาในปากบังคับให้ฉันเปิดปากออก “อ๊าส์~”
ความเสียวซาบซ่านกลับมาอีกรอบพร้อมกับแรงกระแทกที่ใส่มาไม่ยั้ง “อ๊าส์! อ๊าส์! อ๊าส์! หนู-หนู…ไม่ไหวแล้ว…อื้อ!!!”
สุดท้ายก็เสร็จอีกรอบ พี่แบล็คถอนแก่นกายออกก่อนจะหันไปจัดการตัวเอง ส่วนฉันก็ได้แต่นอนหมดแรงอยู่บนโซฟา แม้จะขยับตัวไม่ค่อยไหวแต่ก็รับรู้ได้ว่าช่วงหว่างขาของตัวเองมันเหนอะหนะจนรู้สึกอยากจะเดินไปอาบน้ำซะเดี๋ยวนี้เลย
“อืม~เมื่อกี้เสียงอะไร”
เสียงของคนตรงพื้นห้องให้เราทั้งคู่ต้องพากันหันไปมอง เป็นพี่ริทที่ลุกขึ้นมานั่งในสภาพที่หัวฟูตาปรือ
“เสียงแมวข้างห้อง ทำไม นอนไม่หลับไง” พี่แบล็คหันตัวไปมองเพื่อนตัวเองพร้อมกับแอบโยนเสื้อผ้าของฉันที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมาให้
ฉันที่กลัวว่าเขาจะลุกขึ้นมาเลยรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่ แล้วจังหวะนั้นเองพี่แบล็คก็เหลือบมามองพร้อมกับขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียง
‘หลับซะ’
ฉันไม่เข้าใจที่เขาจะสื่อหรอกนะ แต่ก็เลือกที่จะทำตามไปก่อนเพราะกลัวว่าพี่ริทจะจับได้
เสียงเท้าเดินย่างเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คิดว่าน่าจะเป็นพี่ริทที่เดินมา
“น้องนอนไม”
“นอนให้มึงถามไง”
“หรอ”
“เออ ไปล้างหน้าล้างตาไป จะปล่อยให้คราบน้ำลายติดปากไปถึงเมื่อไหร่ห๊ะ”
“นาน”
“-วยเถอะ จะทุเรศก็ให้มันเบาๆ หน่อย อย่าทำตามไอ้โฟลทมากเดี๋ยวจะกลายเป็นบ้าแบบมัน”
“อือ”
เสียงเท้าที่คาดว่าน่าจะเป็นของพี่ริทค่อยๆ เดินห่างออกไปจนไม่ได้ยิน ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อสอดส่อง พอพลว่าพี่ริทไม่อยู่ก็ถอนหายใจโล่ง
“มันต้องโล่งใจขนาดนั้นเลยรึไง ถ้าจะกลัวมันเห็นขนาดนั้นทีหลังเวลาจะเอากันจะได้เอาถุงขยะมาคลุมหัวมันก่อนจะได้ไม่ตื่นมาเห็น”
”โหดร้าย นั่นเพื่อนพี่นะ”
“ก็เออไง ทำไม สงสารมันรึไงห๊ะ” ฉันได้แต่เบะปาก พี่แบล็คนี่ก็โหดร้ายเสียจริง
“หืม?” เสียงของอีกคนให้หันไปมองพบว่าพี่ริทเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว “ตื่นแล้ว?”
“ค่ะ ขอโทษที่มารบกวนนะคะพี่ริท หนูก็ไม่ได้ขออนุญาตก่อน” ความจริงยังไม่ทันขออนุญาตด้วยซ้ำ แต่พี่แบล็คเนี่ยสิ เล่นดึงลงโซฟาเองเลย
“อือ ช่างเถอะ”
พี่ริทเดินทำหน้าง่วงไปตรงพื้นกลางห้องที่นอนเมื่อตอนแรกก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนหมอนแผ่หลา
“นี่มึงจะนอนอีกเรอะ”
“อือ ง่วง”
“ง่วงแล้วตื่นมาทำเชี่ยอะไร นอนตายไปเลยไป!” ไม่พูดเปล่าพี่แบล็คขว้างหมอนที่อยู่โซฟาใส่พี่ริทอย่างหมั่นไส้แต่อีกคนดันรับได้ก่อนจะเอาหมอนใบนั้นมากอดหน้าตาเฉยแล้วหลับไป
อะไรของเขาล่ะนั่น
เหมือนทุกอย่างจะจบลงแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งแต่ก็ต้องชะงักเมื่อดันหันไปเจอพี่แบล็คที่มองฉันอยู่ด้วยสายตาที่ราวกับจะกลืนกินกันให้ได้
“เอ่อ…มีอะไรหรอคะ”
“เธอนี่…” เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนจู่ๆ จะคิ้วขมวดปม “มีอะไรรึเปล่าคะ”
“จิ๊! ช่างมัน” พูดจบเขาก็ลุกพรวดออกไปไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ปล่อยให้ฉันนั่งงงอย่างไม่เข้าใจ
อะไรของเขาเนี่ย จู่ๆ มาหงุดหงิดใส่กันเฉย งงใจจริงๆ
เหลือบมองพี่ริทที่นอนหลับกอดหมอนอยู่ที่พื้นห้องพลางเท้าแขนกับพนักพิงโซฟา
พี่ริทตอนหลับก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย
“shit!!”
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??