เรื่อง Short Erotic
เสียงพูดุ เสียงิ์คีย์บอร์ด เสียงาแฟปั่นที่ถูกดูดเสียงดังจนน่ารำคาญ ทั้งหมดนั้นเหมือนซาวด์เสียงประกอบ ASMR กล่อมนอนสำหรับผมเท่านั้น
ตอนนี้ผมแค่อยากหลับตาอยู่ตรงนี้วางหัวลงกับแขนข้างหนึ่งแล้วปล่อยให้สมองหยุดคิดเรื่องวุ่นวายแล้วหลับตาลง
“เฮ้ยไอ้ริท ตื่น!” เสียงเพื่อนโฟลทดังขึ้นข้างหูพร้อมแรงสะกิดจากหัวปากกาที่จิ้มลงบนหัวผมเบา ๆ ผมขมวดคิ้วแต่ยังไม่ลืมตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยสภาพที่พร้อมจะหลับทุกเมื่อ
“เอาแต่นอนอยู่นั่นแหละ ไปล้างหน้าล้างตาไป จะได้มาช่วยงาน”
ผมถอนหายใจยาวๆ ลุกขึ้นนั่งพลางบิดขี้เกียจ ขี้เกียจเกินกว่าจะเถียงกับคนเสียงดัง เลยหยิบมือถือแล้วเดินตรงไปห้องน้ำที่อยู่มุมตึก
ผมเปิดน้ำล้างหน้าช้า ๆ ก้มมองหยดน้ำที่ไหลผ่านมืออย่างเหม่อลอยก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินตามเข้ามา
“เมื่อยชะมัดเลยว่ะ งาน-่าอะไรเนี่ยเยอะแยะชิบหาย กะจะสั่งเผื่อปีหน้าเลยรึไง” พอเงยหน้ามองกระจกเห็นเป็นแบล็ค เพื่อนในกลุ่มของผมเอง
“เมื่อคืน”
“หือ?”
“ตอนที่กูหลับ…ที่โซฟา เสียงมัน...เอี๊ยดอ๊าด” แบล็คหันมองผมพลางเลิกคิ้วก่อนจะแค่นหัวเราะ
“อ่าห๊ะ แล้วมันทำไม ถามทำไมวะ” ผมยังคงล้างมือเรื่อยๆ ไม่หันไปสบตา
“สงสัย”เขาสบตาผมในกระจกพร้อมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ร้ายที่ผมไม่ชอบเอาซะเลย
“ก็ตามที่มึงคิดแหละ ก็แค่เล่นอะไรนิดหน่อย” เขาเอ่ยยานคาง “ทำไมวะ โกรธรึไง”
ผมหยุดมือชั่วคราวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขากลับด้วยสายตาเรียบเฉยแล้วสะบัดมือที่เปียกแฉะ
“เปล่า ก็สงสัย” เสียงผมเรียบนิ่งพอๆ กับหน้าตา ไม่ได้หลบหรือไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร
ก็ผมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว จริงๆ นะ ผมเดินออกจากห้องน้ำโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย ความจริงก็คือผมไม่ได้สนใจจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแบล็คหรือใครก็ตาม งานวันนี้เสร็จแล้วผมก็อยากกลับไปนอนแล้ว
ผมเดินไปที่ลานจอดรถมอไซค์ด้วยความคิดที่ว่างเปล่า มือคว้าหมวกกันน็อคขึ้นมาสวมแล้วหยิบกุญแจรถ ก่อนจะสังเกตเห็นร่างเล็กๆ ที่นั่งอยู่หน้าเซเว่นอีเลฟเว่น
นานา รุ่นน้องปี 1 ที่ดูจะเป็นที่ถูกใจของพวกเพื่อนๆ ผม
ผมจะเดินผ่านไปเฉยๆ ตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้ผมหยุดเท้าคือใบหน้าของเธอที่ดูแดงก่ำผิดปกติ ผมไม่ค่อยสนใจใครเท่าไหร่ แต่พอเห็นแบบนี้ก็รู้สึกว่ายังไงก็ต้องเดินเข้าไปดู ไม่งั้นเดี๋ยวไอ้พวกเพื่อนมาเห็นแล้วเดี๋ยวผมจะพลอยโดนด่าไปด้วย
ผมเดินเข้าไปหาเธอด้วยสีหน้านิ่งเรียบเหมือนเช่นเคย ยืนหยุดอยู่ข้างหน้าเธอก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบ
“เป็นไร”
นานาเงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสายตาตกใจเล็กน้อย ดวงตาโตกลมของเธอเป็นประกายเหมือนจะมีน้ำตาคลอไคล เธอเอามือปาดหน้าอย่างรีบร้อนพลางส่ายหน้า
“พ-พี่ริท สวัสดีค่ะ” เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย
ผมมองเธอด้วยสายตาเรียบๆ สังเกตเห็นว่าใบหน้าเธอยังคงแดงก่ำและดูไม่ค่อยสบาย “เป็นไข้หรอ”
“ปะ-เปล่าค่ะ” เธอส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น
โกหก คนโกหก ดูยังไงก็ไม่สบายชัดๆ
ผมไม่ตอบอะไร แค่ยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเฉยๆ นานาดูจะรู้สึกอึดอัดกับความเงียบของผมเลยพยายามลุกขึ้นจากม้านั่ง
“หนู…ขอตัวกลับก่อนนะคะอ๊ะ!”
แต่พอเธอลุกขึ้นได้ไม่กี่วินาที ร่างกายของเธอก็โซซัดเล็กน้อย เธอวิงเวียนก่อนจะทำท่าจะล้มลงข้างหน้า
ผมยื่นแขนไปรับตัวเธอทันทีก่อนจะลากแขนเธอให้ลุกขึ้นแล้วพาไปทางมอไซค์
“พี่ริทจะทำอะไรน่ะคะ”
ผมได้ไม่ตอบ แค่จัดการอุ้มเธอในท่าเจ้าสาวก่อนจะปล่อยให้เธอนั่งลงบนเบาะหลังของมอไซค์แล้วสวมหมวกกันน็อคให้ตัวเอง
“ใส่” ผมหยิบหมวกกันน็อคอันที่สองที่แขวนอยู่ข้างๆ ยื่นให้เธอ
“พี่ริท หนูจะไปเอง…แค่กๆ”
ผมมองเธอสักพักก่อนจะอุ้มเธอขึ้นวางบนเบาะหลังอย่างไม่เอาใจใส่คำโวยวาย ก่อนจะจับมือเธอให้โอบกอดเอวผมไว้แน่นๆ แล้วสตาร์ทเครื่องออกไปเลย
“พี่ริท! ว๊าย!”
เสียงโวยวายของคนด้านหลังแต่ก็ไม่ทำให้ผมสนใจ แค่ขับมอไซค์ออกจากลานจอดอย่างสงบ มือของนานาที่กอดเอวผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วของรถ
ตลอดทั้งทางผมไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย แค่ขับรถตรงไปหอพักหญิงด้วยความเร็วที่พอเหมาะ รู้สึกได้ว่านานาหยุดโวยวายแล้วแค่นั่งนิ่งๆ พร้อมกอดเอวผมไว้แน่นราวกับกลัวตกรถ
พอมาถึงหน้าหอพัก ผมจอดรถแล้วดับเครื่องนานาปล่อยมือออกจากเอวผมแล้วลงจากรถอย่างเงียบๆ
“ขอบคุณนะคะพี่ริท” เธอพูดเบาๆ พลางยื่นหมวกกันน็อคคืนให้ผม
ผมรับหมวกแล้วมองเธอเห็นว่าเธอยังคงหน้าแดงก่ำแถมใบหน้าสวยยังมีเหงื่อตามใบหน้าและมือเรียวอีก
“งั้นหนูขึ้นห้องก่อนนะคะ”
ผมยังไม่ขี่รถออกไปแต่นั่งมองแผ่นหลังเล็กเพื่อรอให้เธอขึ้นหอไป ประมาณห้านาทีผ่านไปาุ่น้องสาวก็โผล่มาที่หน้าต่างชั้นสองแล้วโบกมือให้ผม ผมยกมือโบกกลับเบาๆ แล้วเตรียมจะขี่รถกลับแต่ก็ต้องชะงักเพราะจู่ๆ นานาก็ไอแรงก่อนจู่ๆ จะทรุดลงกับพื้น
“จิ๊!!!” สุดท้ายผมก็ต้องขึ้นไปสินะ เห้อ ขี้เกียจจริง
พอขึ้นมาถึงห้องของรุ่นน้องสาว ห้องของนานาเล็กแต่เรียบร้อย มีเตียงเดี่ยว โต๊ะเรียน และตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ผมนั่งลงบนเก้าอี้พลางมองเธอที่นั่งขอบเตียง
“มียาไข้มั้ย”
“มีค่ะ อยู่ในตู้” นานาชี้ไปที่ตู้เล็กๆ ข้างเตียง
ผมลุกขึ้นเปิดตู้แล้วเห็นกล่องยาไข้ แต่พอจะหยิบออกมาผมก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ก็ไม่เคยดูแลใครนี่ ขนาดเพื่อนหรือคนในครอบครัวยังไม่เคยทำเลย
ผมถือกล่องยาอยู่ในมือด้วยใบหน้าที่ปั้นคิ้วขมวด แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินกลั้นหัวเราะจากคนที่นอนซมอยู่บนเตียง ต้องให้กินกี่เม็ดเนี่ย
ผมเปิดกล่องยาแล้วเทยาออกมา 5 เม็ด
“พี่ริท เยอะไปค่ะ แค่ 2 เม็ดก็พอ…แค่กๆ”
ผมมองยาในมือแล้วเก็บกลับไป 3 เม็ด เื 2 เม็ด แต่ผมยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่รู้จะทำอะไรต่อ
“แล้วไงต่อ” ผมหันไปถามเธอ
“ก็…กินยากับน้ำเปล่าแล้วก็นอนค่ะ” นานาพูดพลางพยายามกลั้นหัวเราะอีกครั้ง
ผมเดินไปหยิบแก้วน้ำที่อยู่บนโต๊ะมาให้เธอ แต่พอเธอจัดการกินยาเสร็จเรียบร้อยผมก็ยังยืนงงอยู่ข้างเตียง
“เอ่อ…พี่ริทกลับก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูนอนพักแล้ว” นานาเผมอ่ยด้วยเสียงที่แหบแห้ง
ผมไม่ได้กลับอย่างที่เธอบอกแต่เดินลือกเดินนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองเธอนอนลงบนเตียงแทน เพราะผมกลัวว่าเธอจะเผลอลุกแล้วเกิดล้มหน้าทิ่มขึ้นมาเดี๋ยวจะยุ่ง
“เอ่อ…พี่ริทคะ กลับเลยก็ได้นะคะ”
“นอนสิ”
”แต่…”
“นอน” กดเสียงต่ำเพื่อบังคับให้คนป่วยที่นอนซมอยู่บนเตียงนอนพร้อมกับมองเธอด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
หลังจากที่นั่งไปสักพักผมก็เริ่มเมื่อยก่อนจะเอนหลังพิงกับพนักพิงเพื่อคลายความเมื่อย เืบมองคนบนเตียงที่เหมือนจะนอนหลับไปแล้ว
ผมนั่งมองใบหน้าของนานาที่หลับไปแล้วด้วยสายตาที่เริ่มมีความสงสัย ว่าทำไมเวลาคนเราเป็นไข้ทำไมต้องหน้าแดงกับมีเหงื่อออกด้วย
ผมเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยสังเกตดูใบหน้าของเธอให้ดีขึ้น ผิวขาวของเธอยังคงแดงก่ำอยู่ ดูเหมือนจะเป็นแบบที่ไม่ใช่ไข้ธรรมดาเสียด้วยสิ
“อืม…” เสียงครางของคนบนเตียงพร้อมกับขยับตัวที่ร้อนรุ่มใต้ผ้าห่มก่อนเธอจะใช้ขาถีบผ้าห่มออก
“ร้อน…”
นานาพึมพำเบาๆ ใบหน้าเล็กๆ ขมวดคิ้วด้วยความร้อนรุ่ม เส้นผมบางส่วนเหนียวเปียกด้วยเหงื่อปรกลงมาบดบังใบหน้า
ผมจ้องมองเธออยู่พักใหญ่ ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มคืบคลานเข้ามาในใจ มันแปลกที่ผมจะนั่งดูแลใครแบบนี้ ปกติผมไม่ค่อยสนใจใครเลย แต่ทำไมตอนนี้ทำไมเธอถึงกลับดูน่ารักขึ้นมาทันตานะ
เส้นผมของนานาที่ปรกหน้าเหนียวเปียกด้วยเหงื่อส่ายไหวเบาๆ ตามลมหายใจ ผมมองแล้วรู้สึกอยากเอื้อมมือไปเขี่ย แต่ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ในที่สุดผมก็ยื่นมือออกไปช้าๆ ปลายนิ้วเขี่ยเส้นผมที่ปกคลุมใบหน้าเธอออกไปเบาๆ ผิวหน้าของเธอยังคงร้อนผิดปกติ แต่เมื่อได้เห็นหน้าเธอชัดขึ้น...
น่ารักจัง
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัวผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ผมถอนมือกลับมาอย่างรีบร้อน แล้วเอาแขนมาพาดหน้าผากตัวเอง
“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจยาวๆ
ทำไมผมถึงคิดแบบนั้น ปกติผมไม่เคยสนใจใครขนาดนี้ แต่พอเห็นเธอนอนหลับแบบนี้ มันนึกอดเอ็นดูไม่ได้
ผมเอาแขนออกจากหน้าผาก แล้วมองนานาอีกครั้ง เธอดูเหนื่อยหอบ ใบหน้าเล็กๆ ขมวดคิ้วด้วยความร้อนรุ่ม ริมฝีปากเล็กๆ ของเธอเปิดเล็กน้อย หายใจเข้าออกไม่สม่ำเสมอ
ทำไงดี่ะเนี่ย ต้องทำไงต่อ
สุดท้ายเลือกหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาวิธีลดไข้ในเน็ต นั่งไล่หาจนเจอ ‘วิธีลดไข้…’ ผมิ์ค้นหา แล้วอ่านไปเรื่อยๆ เช็ดตัวด้วยผ้าเปียก, ให้ดื่มน้ำเยอะๆ, ถอดเสื้อผ้าให้ร่างกายระบายความร้อนได้...
ผมเดินไปในห้องน้ำหยิบผ้าเปียกมาก่อนจะเดินกลับมาที่ข้างเตียง เริ่มต้นด้วยเช็ดหน้าผากและใบหน้าของเธอเบาๆ แต่พอเช็ดไปเรื่อยๆ ผมสังเกตเห็นว่าเสื้อของนานาเปียกโชกด้วยเหงื่อ แม้แต่ตรงคอเสื้อยังเปียกหมด
“เหงื่อออกขนาดนี้เหรอ…” ผมพิมพำเบาๆ พลางจ้องมองเสื้อที่เปียกชื้น
นั่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปจับชายเสื้อของเธอแล้ววิสาสะเลิกเสื้อเพื่อดูว่าเหงื่อออกแค่ไหน พอเปิดดูใต้เสื้อปรากฏว่าเหงื่อท่วมไปหมดเลย
นี่มันเปียกทั้งตัวแล้วนี่ แล้วต้องทำไง่ะ
จู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ หรือว่านี่คือความรู้สึกสงสัยอยากใคร่รู้ใคร่เห็น แต่ตอนนี้ต้องลดไข้ก่อน ไม่งั้นนานาอาจตายได้
หยิบมือถือขึ้นมาอ่าน เขาบอกว่าให้ถอดเสื้อผ้าให้ร่างกายระบายความร้อนได้ ผมเลยวางมือถือแล้วหันไปดึงผ้าห่มที่คลุมตัวเธอออก แล้วจัดการปลดกระดุมนักศึกษาทีละเม็ดออกจนเผยให้เห็นชุดชั้นในสีครีมกับผิวขาวเปลือยที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ผิวขาวสวยอมชมพูจนสุดท้ายก็อดทนไม่ไหวจนเผลอเอื้อมมือออกไปลูบไล้ไปตามผิวขาว
“อือ~”
คนบนเตียงครางร้องด้วยเสียงที่แหบแห้งพลางพลิกซ้ายพลิกขวาเพราะเหงื่อบนตัวมันทำให้เธอรำคาญใจจนนอนไม่สะดวก
ดูเธอจะทรมานมากเลยนะนั่น ผมควรทำไงดี
มือของผมค่อยๆ เอื้อมไปสัมผัสหน้าท้องขาวที่แบนราบ ค่อยๆ ใช้มือของตัวเองเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาเพราะพิษไข้อย่างเบามือ
“อื้อ!”
หน้าท้องที่แบนราบเกิดเกร็งขึ้นมา มือเรียวทั้งสองข้างของเธอกำที่นอนแน่นราวกับอัดอั้นอะไรสักอย่าง
จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งเข้ามาในหัวจะขยับมือขึ้นเหนือเอวแต่ก็ชะงักก่อนจะเปลี่ยนไปหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมเธอทั้งตัวจนมิด
“เฮ้อ…นอนดีกว่า” พูดจบก็พาตัวเองไปที่โซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคว่ำหน้าเพื่อสะกดอารมณ์และความคิดของตัวเองที่ตอนนี้มันเลยไปไกล
“กูบ้าไปแล้วแน่ๆ”
เสียงนาฬิกาเดินช้าๆ ในห้องเงียบสงัด ความรู้สึกหนักอึ้งบนเปลือกตาค่อยๆ เบาลงเมื่อไออุ่นจากพิษไข้จางหายไปทีละนิด นานาค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ สมองยังมึนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มึนมากจนขยับร่างกายไม่ได้
เพดานห้องสีขาวคุ้นตากลิ่นยาอ่อนๆ ลอยอวล และลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศ เธอกะพริบตาอีกครั้งก่อนจะพลิกตัวช้าๆ แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับภาพหนึ่งที่ทำให้มุมปากของเธอเผลอยกขึ้น
พี่ริทที่กำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟามุมห้อง ท่าทางนอนคว่ำหน้าพาดแขนกับพนักพิงอย่างคนหมดแรง ผมยุ่งนิดหน่อย เสื้อยังคงยับย่น คงนอนไม่สบายสิท่า
เอ็นดูจัง ขนาดนอนกอดหมอนยังน่ารักเลย
“อืม~” คนบนโซฟาขยับพลิกตัวพร้อมกระชับแขนกอดหมอนให้แน่นขึ้น
ว่าแต่เขานอนแบบนี้ทั้งคืนเลยหรอเนี่ย ไม่หนาวรึไง
ว่าแล้วก็พยุงตัวเองลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะทำเสียงดังจนปลุกเขาตื่น ก่อนจะก้าวไปเปิดตู้เสื้อผ้าข้างเตียงแล้วหยิบผ้าห่มผืนบางออกมา
เธอเดินไปใกล้โซฟาช้าๆ โน้มตัวลงห่มผ้าให้คนที่ยังนอนขดตัวแล้วใช้มืออีกข้างค่อยๆ จัดขอบผ้าห่มให้คลุมถึงไหล่กว้างของเขา
นานานั่งลงกับพื้นเบาๆ ข้างโซฟาพลางเอามือข้างหนึ่งเท้าคางไว้แล้วมองเขาด้วยความเอ็นดู
“ทำไมตอนตื่นไม่น่ารักแบบนี้มั้งนะ” เธอพึมพำเบาๆ ไม่ให้ไปรบกวนคนที่นอนอยู่
นั่งมองคนตรงหน้าอย่างไม่รู้เบื่อพลางนึกย้อนไปถึงวันที่เจอกันครั้งแรก ตอนแรกเธอเคยคิดว่าผู้ชายตรงหน้าคงเป็นคนเย็นชาเสียด้วยซ้ำ แต่พอได้ทำความรู้จักกลับกลายเป็นคนที่รู้สึกอบอุ่นจนน่าประหลาดใจ
ในห้องที่มีเพียงเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศและลมหายใจแผ่วๆ ของคนที่หลับอยู่ ความเงียบสงบเหมือนจะให้เธอคล้อยตาม นานาหลุบตาลงช้าๆ แล้วพิงหัวกับขอบโซฟา
“ขอบคุณนะคะ…พี่ริท”
“อือ”
เสียงตอบรับจากคนด้านหลังให้เธอรับรู้ แต่เดี๋ยวก่อนนะ…
พอหันไปก็พบว่าพี่ริทลืมตาแล้วนอนตะแคงหันหน้ามาทางนี้ทำให้ตอนเธอหันไปจมูกเกือบชนกัน
“ตะ-ตื่นแล้วหรอคะ”
“อือ นานแล้ว นอนไม่หลับ” พอได้ยินคำตอบก็ถึงกับช็อค “งะ-งั้น แสดงว่าได้ยินที่หนูพูดหมดเลย…หรอคะ”
“ตั้งแต่แรก”
จู่ๆ อุณหภูมิในร่างกายก็ร้อนรุ่มขึ้น ก่อนจะหลบสายตาคมนั่นพลางยกมือจับแก้มตัวเองเพื่อปกปิดใบหน้าที่กำลังแดงเพราะเขินอาย
งั้นแสดงว่าพี่ริทก็ได้ยินที่พูดหมดเลยน่ะสิ ตายๆๆๆ เขาต้องมองว่าฉันเป็นคนโรคจิตแน่ๆ ฮือ~
พี่ริทยันตัวลุกนั่งพลางขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วหาวเบาๆ ตัดภาพไปที่นานาที่ยังคงนั่งจ๋องหน้าแดงอยู่ข้างโซฟา มือยังแอบกุมแก้มตัวเองเหมือนพยายามซ่อนอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“มีไรกินมั้ย” เสียงงัวเงียจากคนที่เพิ่งลืมตาเต็มตาเอ่ยขึ้นพร้อมกับปรายตามองเธอนิดๆ
“เอ่อ…ของในตู้เย็นหมดแล้วค่ะ” นานารีบตอบเสียงเบา รู้สึกว่าตัวเองยังตั้งสติไม่ได้เต็มที่หลังจากเหตุการณ์เมื่อกี้
พี่ริทนิ่งไปครู่ สีหน้าง่วงๆ เหมือนยังอยู่ในโหมดครึ่งหลับครึ่งตื่นก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วเอนหลังกลับลงไปบนโซฟาดังเดิม
“งั้น…ขอที่อยู่หอหน่อย จะสั่งข้าว”
คำพูดเรียบง่ายแต่เล่นเอานานาสะดุ้งน้อยๆ สองมือลูบหน้าตัวเองแล้วรีบก้มหน้าหลบตาอีกครั้ง หัวใจเต้นแรงเหมือนยังไม่ยอมสงบสติอารมณ์
“จะ…จะสั่งจากมือถือหนูก็ได้นะคะ” เธอพูดเร็วๆ ขณะยื่นมือถือให้เขาโดยไม่กล้าเงยหน้ามอง
เพราะตอนนี้มันเขินจนหัวใจจะหลุดออกมาจากอกแล้วน่ะสิ
พี่ริทเืบตามามองเธอนิดหน่อยแล้วรับมือถือไปด้วยท่าทีเฉื่อยๆ เหมือนยังง่วงอยู่ แต่มุมปากกลับยกขึ้นบางๆ อย่างดูไม่ออกว่าแอบขำหรือแอบเอ็นดู
เสียงลมหายใจของตัวเองดังชัดเจนเกินไปเมื่อเธอยื่นมือถือให้เขา และพอได้ยินเสียงพี่ริทบอกว่า “สั่งให้แล้ว” มือของเธอก็รีบคว้ามือถือกลับมาแนบอกเหมือนถือของร้อน เธอไม่ได้กล้าสบตาเขาเลยจริงๆ
ก็มันเขินนี่นา…
“ขอบคุณนะคะ”
พี่ริทไม่ได้ตอบอะไร แค่เอนตัวกลับไปนอนบนโซฟาตามเดิมโดยหันหน้าเข้าพนักพิง แล้วปล่อยให้บรรยากาศเงียบงันอีกครั้ง มีเพียงเสียงนาฬิกาเดินช้าๆ กับเสียงแอร์ที่ยังคงดังเป็นระยะ
นานาลอบมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หันกลับมานั่งพิงกับโซฟา พยายามกลั้นใจไม่ให้ใบหน้าร้อนวาบไปมากกว่านี้
…แต่เงียบอยู่ได้ไม่ถึงห้านาทีเสียงทุ้มนุ่มของคนด้านหลังก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“นานปะ” สมองประมวลผลกับคำพูดของเขา คงหมายถึงว่าต้องรออาหารนานมั้ยสินะ
“เอ่อ…น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ”
เขาไม่พูดอะไรอีกแค่พลิกตัวกลับมาแล้วก็จ้องมาที่เธอแทน คราวนี้ทำเอานานาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเจอสายตานิ่งๆ อีกคนไม่ได้พูดอะไรแค่จ้องกันเงียบๆ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจมันเต้นเสียงดังจนได้ยินชัดกว่าพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องเสียอีก
“…พี่มองอะไรหรอคะ”
“ปากแดง”
“ฮะ?”
“หน้าแดงด้วย” เขาพูดต่อหน้าตาเฉยแล้วขยับมือมาแตะแก้มของเธอเบาๆ “ยังเขินอยู่เหรอ”
นานารีบเบือนหน้าหนี “ปะ…เปล่าค่ะ…”
พี่ริทยกแขนก่ายหน้าผากไว้พลางถอนหายใจเบาๆ คล้ายเหนื่อยหรืออาจแค่ขี้เกียจขยับแล้วพูดขึ้นมาเสียงเรียบ
“ของมาส่งแล้วป้อนด้วย หิวจนขี้เกียจขยับแล้ว”
นานาหันควับ “หา! พี่ริทล้อเล่นใช่ไหมคะ”
“ไม่”
“แต่ว่า—”
“ถือว่าตอบแทนที่นอนเฝ้า แล้วก็…ห่มผ้าให้”
น้ำเสียงไม่ได้ขอร้องแต่ก็ไม่ใช่คำสั่ง มันคือระดับพี่ริทแบบสุดๆ ที่พูดเหมือนไม่ใส่ใจแต่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธไม่ลง
นานาเม้มปากแน่นก้มหน้าก้มตาจนเกือบมุดเตียงหนี ในใจยังโวยวาย บ้าเอ๊ยยย ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วย จะให้ป้อนข้าวเหรอ ใกล้ขนาดนั้นเลยนะ!
ยังไม่ทันจะได้ตั้งสติเสียงฝ่ามือกระทบเบาะโซฟาก็ดังขึ้นเบาๆ ตามด้วยคำพูดที่ขยี้ใจไปอีกดอก
“มานอนตรงนี้ไหม”
“คะ?”
“แอร์ฝั่งนั้นมันโดน” เขาว่าเรียบๆ “ตรงนี้อุ่นกว่า”
นานาอยากจะตะโกนใส่หมอนสักทีแต่สุดท้ายก็แค่นั่งตัวเกร็งอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับไปไหน พี่ริทมองเธอสักพักก่อนจะหลุบตาลงช้าๆ
“ไม่มาก็ไม่เป็นไร”
“…”
“แต่ถ้าอยากมาก็มา ไม่ว่าหรอก”
แล้วเขาก็หลับตาลงแล้วปล่อยให้คนที่นั่งอยู่ข้างโซฟากุมอกตัวเองอยู่เงียบๆ เพราะหัวใจเต้นแรงไปหมด แถมคำพูดสุดท้ายนั่นมัน
“แต่ถ้าอยากมาก็มา” พูดแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า! ฮือออ~
เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชัน delivery ดังขึ้นเรียกสติของนานาที่กำลังกอดอกกลั้นความเขินอยู่เงียบๆ ให้เด้งตัวลุกขึ้นแทบจะในทันที
“ขะ...ของมาส่งแล้วค่ะ! เดี๋ยวหนูขอตัวลงไปเอาก่อนนะคะ”
เธอรีบสาวเท้าไปที่ประตูห้องก่อนจะรีบวิ่งลงลิฟต์ไปหยิบถุงอาหารจากโต๊ะหน้าห้องนิติ ก้มหน้างุดเพราะไม่กล้าสบตายามก่อนจะรีบเดินเข้าลิฟต์รีบกลับขึ้นมาพร้อมกับอาหาร
นานาวางถุงลงบนโต๊ะอาหารแล้วเริ่มจัดของออกมาทีละกล่อง แกะห่อข้าว ผัก น้ำจิ้ม และช้อนอย่างคล่องแคล่ว แต่ใจยังเต้นตุบๆ อยู่ตลอด เพราะความเขินจากตอนแรกมันยังคงวนเวียนอยู่ไม่ยอมหายไปสักที
“ห้าว~” เสียงยานคางจากรุ่นพี่หนุ่มที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมเสียงฝีเท้าหนักๆ ที่เดินใกล้เข้ามา
เธอหันไปเล็กน้อยก็เห็นพี่ริทในเสื้อยืดที่ยับกว่าเดิม เดินงัวเงียมาตรงโต๊ะอาหารก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเหมือนหมดแรงทั้งชีวิต สีหน้าเหมือนยังไม่ตื่นเต็มตาแต่ก็ไม่ได้หลับ
นานาวางจานไว้ตรงหน้าเขาแล้วกำลังจะยื่นช้อนให้ แต่จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาเสียงเรียบแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ป้อนหน่อยดิ”
มือที่ถือช้อนชะงักกลางอากาศทันที ใบหน้าของเธอขึ้นสีจัดราวกับใครสาดสีแดงใส่ตรงๆ
“เอ่อ…แต่”
“ป้อน” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง พร้อมหันมามองตรงๆ คราวนี้ดวงตาคู่นั้นเหมือนตื่นเต็มตาแล้วเพราะแววตาไม่ได้ง่วงอีกต่อไป
นานาอยากจะมุดเข้าไปใต้โต๊ะ “คือว่า…”
“ตอบแทนที่พามาส่งไง” พี่ริทพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงเหมือนไม่แคร์แต่คำพูดนั้นกลับทิ่มตรงใจเข้าอย่างจัง
นานาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะอุบอิบเบาๆ “หนูไม่ได้ขอให้พี่พามาสักหน่อย…”
คิดว่าเขาคงไม่ได้ยินแต่เธอประเมินเขาต่ำไป “หืม?” พี่ริทเลิกคิ้วนิดๆ เสียงต่ำกว่าปกติเล็กน้อย “ไม่พามาส่งเดี๋ยวก็เดินหน้าทิ่ม”
นานาเลิ่กลั่กหน้าแดงก่ำก่อนจะนั่งลงรีบทำท่าตักข้าวกิน
“เงียบ? เขินหรอ”
“ปะ-ป่าวสักหน่อยค่ะ-แค่กๆ” ยังไม่ทันไรด้วยความเขินจัดทำให้เธอสำลักข้าวจึงรีบหยิบขวดน้ำขึ้นมากิน
แต่คนตรงหน้ากลับมองเธอด้วยใบหน้านิ่งไม่ได้แสดงอาการอะไรก่อนจะลงมือกินข้าว
พอกินเสร็จนานาก็ลุกขึ้นเก็บกล่องข้าวและถ้วยน้ำจิ้มทั้งหมดอย่างคล่องแคล่ว เตรียมนำไปล้างในครัว ส่วนพี่ริทที่นั่งพิงโต๊ะอยู่ก็ลุกตามช้าๆ เดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังเธอ
“เดี๋ยวช่วยล้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูทำเองดีกว่า”
“ทำไม?”
พอนึกย้อนไปถึงวันก่อนที่เธอกับพี่แบล็คไปช่วยพี่ริททำความสะอาดห้อง วันนั้นเขาทำครัวเละแบบดูไม่ได้เลย พอนึกได้แบบนั้นขอทำเองดีกว่า เดี๋ยวจะจบด้วยสภาพแบบวันนั้น
พี่ริทเงียบไปแวบหนึ่งกระพริบจาปริบๆ มองรุ่นน้องสาวก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆ “สอนหน่อย”
นานาชะงักมือ “หือ?”
“ก็อยากช่วย แต่ไม่เป็น สอนหน่อย” เขาพูดตรงๆ พร้อมเดินอ้อมมาเปิดก๊อกน้ำแล้วคว้าฟองน้ำขึ้นมาแบบงงๆ มองหาน้ำยาล้างจานด้วยท่าทางไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร
“อันนี้ต้องเทน้ำยาก่อนค่ะ นิดเดียวก็พอ”
มือของเธอชี้ไปที่ขวดน้ำยาล้างจาน ทว่าแขนของทั้งคู่ก็ชนกันนิดหน่อยในระยะใกล้เกินคาดทำให้เธอชะงัก เผลอเงยหน้าขึ้นไปมองตาเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
สายตาคู่นั้น…มองมานิ่งๆ อีกแล้ว…
“ไงต่อ” เขาพูดขึ้นเบาๆ เรียดสติของเธอให้หลุดจากอาการเหม่อ “อะ…อ่าค่ะ งั้นพี่ลองล้างใบนี้ดูนะคะ” เธอยื่นจานเปล่าให้
พี่ริทรับไปพยายามล้างตามคำบอกของเธอ แต่ก็มีฟองกระเด็นบ้างน้ำกระจายบ้าง ให้นานาต้องคอยเอาผ้ามาเช็ดให้
“พี่อย่าถูแรงสิคะ มันกระเด็น”
“กลัวเลอะหรอ”
“ก็….ค่ะ หนูไม่ชอบครัวเลอะ” เขาเงียบไปนิดหนึ่งแล้วพึมพำเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง “งั้นต่อไปจะพยายามไม่ทำเลอะ”
“หือ? พูดว่าอะไรนะคะ?”
“เปล่า” เขาตอบหน้าตายแต่ดวงตากลับยังมองที่มือของเธอที่กำลังล้างช้อนต่อไป
บรรยากาศเงียบๆ อีกรอบ มันไม่ได้อึดอัดแต่เป็นความรู้สึกแปลกๆ อย่างกับว่าทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งจนได้ยินเสียงของหัวใจที่เต้นแรงจนดังทะลุออกมายังด้านนอก
นานายังคงล้างช้อนไปเรื่อยๆ พยายามไม่สนใจสายตาที่จับจ้องอยู่ตรงข้างๆ แต่ยิ่งเงียบเธอก็ยิ่งรู้สึกถึงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขาทั้งที่เราก็ไม่ได้ยืนใกล้กันขนาดนั้น
มือของเขายังคงวางอยู่บนขอบอ่างแต่เอนตัวเข้ามานิดๆ ราวกับจะมองว่าเธอล้างถูกวิธีรึเปล่าทว่าความใกล้นั้นทำให้บ่าของทั้งสองคนแทบจะชนกัน
“พี่ริท เอ่อ…ยืนห่างกว่านี้ก็ได้นะคะ” เธอพูดเสียงเบาแต่ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว
“ไม่อยากห่าง” คำตอบสั้นๆ แต่ตรงจนเธอหยุดมือไปชั่วครู่ “พี่พูดแบบนี้อีกแล้ว…”
“แบบไหน?”
“แบบ…” เธอกัดปากแน่น พยายามไม่สบตา
พี่ริทโน้มตัวเข้ามาอีกนิดจนหน้าของเขาอยู่ข้างแก้มเธอห่างกันแค่ไม่กี่เซน “แบบไหน่ะ”
ราวกับโดนรุ่นพี่อีกคนปั่นประสาทอยู่ ยิ่งเขาทำแบบนี้เธอก็ยิ่งอึกอัก เขินจนอยากจะมุดลงอ่างล้างจานเสียตอนนี้
แล้วจังหวะนั้นนานาก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจทำให้ปลายจมูกแทบชนกับปลายคางของเขา เธอที่รีบหลบตาแต่ก็ช้าไปแล้ว สายตาพี่ริทกำลังมองเธอชัดเจน ราวกับไม่ได้สนใจฟองน้ำในมือเลยสักนิด
“มือสั่น” เขาพูดเบาๆ
“ปะ-เปล่าค่ะ” นานาเอ่ยขณะที่กำลังหลบสายตาอันดุคมของเขา
“ให้ช่วยมั้ย เดี๋ยวไม่เสร็จ” เสียงของเขาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมอุ่นๆ ที่ข้างหู “พี่ริท…” เสียงของเธอสั่นนิดๆ หัวใจในอกก็สั่นด้วย
“ไหนบอกจะสอนล้างจานไง”
“ก็…หนูสอนอยู่นี่ไงคะ” เธอตอบพลางพยายามดันอกแกร่งของเขาให้ออกห่าง
“ฉันเรียนรู้ไว ถ้าเธอสอนดี” เขาว่าแล้วเขยิบตัวออกก่อนจะหันไปล้างจานในอ่างต่อราวกับเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แบบนี้ใช้ได้มั้ย?” เขาส่งจานมาให้เธอดู แต่ด้วยความเขินจากเหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้เธอสติหลุดจนทำให้พี่ริทต้องเรียกสติเธอให้กลับมา
“นี่”
“คะ! อะไรนะคะ” นานาสะดุ้งหันมามอง ก่อนจะเห็นจานสะอาดใบนั้นอยู่ในมือของเขา
“ใช้ได้รึยัง?” เขาถามเสียงเรียบ ใบหน้าก็เรียบสนิทเหมือนกัน
นานารีบก้มมองจานพยักหน้าหงึกๆ แล้วรับมันมาอย่างเก้ๆ กังๆ “คะ…สะอาดแล้วค่ะ เก่งมากเลย”
“อืม” พี่ริทรับคำแค่นั้นก่อนจะล้างต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ปลายนิ้วยังมีฟองค้างอยู่เขาหันมามองมือแล้วเปรยขึ้นเบาๆ
“มีรางวัลมั้ย?”
“เอ๊ะ?” นานาเงยหน้าขึ้นงงๆ แต่กลับต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าเขาใกล้จนเธอแทบหายใจไม่ออก
“ก็ฉันทำดี ต้องมีรางวัล” แม้ใบหน้าจะนิ่งเรียบแต่แววตาของเขาดูเจ้าเล่ห์
ให้หัวใจของเธอเต้นระส่ำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเหมือนโดนลากขึ้นรถไฟเหาะแล้วโดนปล่อยทิ้งกลางอากาศ และตลอดเวลาที่เื พี่ริทก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับกำลังจะแกล้งกันซะอย่างนั้น
ตอนแรกก็คิดว่าเขาคงเป็นคนเย็นชาที่ดูไม่สนอะไร แต่ตอนนี้คงต้องคิดใ่แล้ว่ะ
นิยายแนะนำ
นิยายแนะนำ
ความคิดเห็น
COMMENT
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดีบนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไปโดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา
0.00
0.00









userA???
???? ??? ? ???? ?? ??